สวัสดีเพื่อนๆพี่ไห้องบลูทุกท่านนะคะ เนื่องจากปีที่แล้วไปฟินกับซากุระแบบลุยเดี่ยวที่โซน Kansaiมาแล้วยังไม่สะใจ ปีนี้เลยรวมกลุ่มกับเพื่อนๆในที่ทำงานไปลุยแบบจัดเต็ม 12 วัน 11 คืน และเนื่องจากอาศัยข้อมูลจากห้องบลูไว้เยอะมากๆเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์บ้างเพื่อจะเป็นแนวทางให้เพื่อนๆคนอื่นที่อยากจะไปตามหาซากุระเหมือนกัน
ทริปนี้เป็นเราเดินทางกันวันที่ 6 เมษาและกลับวันที่ 17 เมษาลงโตเกียวกลับโอซาก้า ซึ่งหลังจากจองตั๋วไปแล้วก็พึ่งนึกได้ว่าซากุระบานจากใต้ขึ้นเหนือ แล้วนี่คือจองจากเหนือลงใต้ อืม…แบบนี้จะตามล่าซากุระสำเร็จมั้ย แต่จองไปแล้วเปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้ว เป็นทริปที่จองข้ามปีด้วยจองตั้งแต่ TAAX ยังไม่เปิดบินเลย ยังไงก็ถอยไม่ได้แล้ว 55 ซึ่งแพลนการเที่ยวของเราตอนแรกเราวางแผนกันว่าจะเที่ยวโดยใช้ JR Kanto Pass แต่หลังจากตามเช็คพยากรณ์ซากุระมาเรื่อยๆสรุปว่าปีนี้ซากุระบานเร็วมากๆ เราเลยทำแพลนที่ 2 แบบฉับพลับทันด่วนขึ้นมาก่อนไปเที่ยวประมาณ 2-3 อาทิตย์โดยใช้ JR EAST PASS ซึ่งวันแรกหลังจากไปเดินที่สวนอุเอโนะเราก็ตัดสินใจจะใช้แพลน 2 กันแบบ 100 เปอร์เซ็นต์
แพลนของเรา :
6 April 2015 : BKK-Haneda(Tokyo)
7 April 2015 : Ueno Park,Odaiba และเดินเล่นในเมือง
8 April 2015 : Hanamiyama Park (Fukushima)
9 April 2015 : แม่น้ำ Shiroishi หรือ Hitome Senbon Sakura Miyagi(Sendai)
10 April 2015 : Matsumoto Castle
11 April 2015 : Kawaguchiko
12 April 2015 : Kawaguchiko ,Chureito Pagoda
13 April 2015 : Himeji Castle
14 April 2015 : Osaka Mint ,Ninnaji Temple, Ryoan-ji Temple
15 April 2015 : Kiyomizu Temple, Osaka Museum of Housing and Living
16 April 2015 : Yoshino Mt.(Nara)
สรุปสถานที่ที่ไป Tokyo,Fukushima,Miyagi(Sendai),Matsumoto,Kawaguchiko,Osaka,Himeji,Kyoto,Yoshino(Nara)
ถ้ายังไงขอบอกค่าใช้จ่ายไว้ตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ
ค่าตั๋วเครื่องบินประมาณ 15,000 บาท (ลง Haneda กลับ Kansai)
ค่า Pocket Wifi 12 วัน หารกันสี่คนตกคนละ 400 บาท
ค่าเดินทาง :
- ค่า JR EAST PASS 22,000 เยน
- ค่า Kansai Thru Pass 3 days 5,200 เยน
- ค่า night bus 5,835 เยน
- ค่ารถที่ไม่รวมในpass ประมาณ 8,200 เยน
- ค่ารถไฟไปเที่ยวฟูจิแบบ round trip 2,250 เยน *ใช้ได้ 2 วัน ขึ้นลงสถานีไหนก็ได้ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
รวมค่าเดินทาง : 43,485 เยน
ค่าที่พัก 10 วัน รวม 38,000 เยน
ค่าเข้าชมวัดและปราสาท : 2,750 เยน
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด : 84,235 เยน + 15,000 บาท + 400 บาท
ถ้าคิดด้วยเรท 0.28-0.29 จะเป็นเงิน 39,000 - 40,000 บาท
ราคานี้ยังไม่รวมค่ากินและของฝาก และไม่ใช่งบที่ประหยัดที่สุด แต่เป็นทริปที่ฟินสุดๆนะ อิอิ
ทริปนี้เราใช้ทั้งกล้อง Canon 700D กับ โทรศัพท์มือถือถ่ายสลับๆกันไปนะคะ ถ้าฝนตกก็จะเอามือถืออกมาถ่ายมากกว่า
มาเริ่มที่วันแรกของเราเลยดีกว่าค่ะ
6 เมษายน 2558
การเดินทางวันแรกของเราก็ตื่นเต้นซะแล้วเมื่อต้องสวมวิญญาณเอ๋วิ่งดิเอ๋ เหตุมันเกิดที่สนามบินมาเลเนื่องจากเราคิดว่าตัวเองจำเวลาบอร์ดดิ้งได้แม่นเลยไม่ยอมไปเช็คอีกที จนตอนตรวจกระเป๋าก่อนไปเกท เจอเสียงสวรรค์ว่า Haneda Last call เท่านั้นแหละจ้า งงก็งง ขาก็วิ่ง ไอ้เกท 20 กว่าๆที่คิดว่าใกล้ก็โครตไกลยังกะเกท 60 กว่าๆที่ดอนเมืองเลย แถมไม่เพียงแค่นั้นเครื่องยังดีเลย์อีกด้วยจ้า จากที่คิดว่าถึงนู้นอาจจะยังพอขึ้นรถไฟทัน อาจจะต้องแปลงร่างเป็นเอ๋วิ่งขึ้นรถไฟเข้าเมืองด้วย
ซึ่งตอนไปถึงญี่ปุ่นก็เลทจริงๆด้วย แต่ความโหดมันไม่ได้จบแต่เพียงเท่านี้ เมื่อเพื่อนในกลุ่มเราคนนึงไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศมาก่อนเลย(สมาชิกมี 4 คน 3 ใน 4 เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นกันหมดแล้ว) โดนรับน้องด้วยการที่เจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า กระเป๋าคุณจะไม่มาแล้วนะ ตอนนั้นแบบ หื้อ ติดสตั๊นกันมากๆ อะไรจะซวยได้ขนาดนั้น แล้วเจ้าหน้าที่ก็เรียกไปกรอกเอกสาร เอาใบจองที่พักเราไปซีร็อกเพื่อจะส่งกระเป๋าตามมาให้ที่หลัง
ตอนนั้นเอ๋ก็คิดนะว่าสงสัยจะได้นอนสนามบิน เพราะที่พักคืนแรกของเราคือ Oak Hostel Zen ซึ่งเราเคยหาข้อมูลว่าเค้าจะปิดเช็คอินตอนเที่ยงคืน และปิดเค้าเตอร์ตอนตีหนึ่ง สรุปสุดท้ายผ่านพี่ศุลมาตอนเที่ยงคืนครึ่งซึ่งก่อนหน้านั้นเราส่งเมลไปอธิบายสถานการณ์แล้วแต่ไม่มีอะไรตอบกลับมา พวกเราเลยตัดสินใจโทรไปคุยซึ่งทางสตาฟที่นั่นก็แจ้งมาว่าถ้าคุณนั่งแท็กซี่มาตอนนี้เลยเค้าจะรอ
และประสบการณ์นั่งแท็กซี่ญี่ปุ่นครั้งแรกก็เกิดขึ้นถามว่าดีใจมั้ย ไม่นะ 555 แต่แท็กซี่พูดภาษาอังกฤษเก่งเลยแหละ แล้วก็ถามว่าพวกเรามาจากไหน พอบอกว่าไทยเค้าก็บอกว่าเค้าเคยมาเที่ยวไทยนะ เคยนั่งแท็กซี่ไทยด้วย เค้าบอกว่าเค้าตื่นเต้นมากเลยเพราะแท็กซี่ไทยขับแบบซิ่งๆปาดไปมา พวกเราได้แต่หัวเราะแห้งๆ ส่วนเราว่าเรานั่งแท็กซี่ญี่ปุ่นก็ตื่นเต้นดีนะ….ตื่นเต้นกับค่ามิเตอร์น่ะ พุ่งพรวดๆเลย ซึ่งแท็กซี่ถึงที่พักตอนตี 1 พอดีเป๊ะ พอแท็กซี่จอดเราก็รีบพุ่งไปติดต่อเจ้าหน้าที่ในโรงแรมก่อนเลย แต่เราเห็นแว๊บๆว่าก่อนแท็กซี่มาถึงที่พักหน่อยนึงว่าค่ามิเตอร์ล่อไปหมื่นกว่าๆเยน
พอขึ้นมาถึงห้องพักเคลียร์ค่ารถกัน พี่เค้าก็บอกว่าแท็กซี่เอาแผนที่มาชี้ๆให้ดูแล้วอธิบายอะไรซักอย่างพร้อมตบท้ายว่าจะลดราคาให้ ทำให้จากตอนแรกหมื่นกว่าเยนเหลือเก้าพันกว่าเยนแทน แต่คือก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเค้าลดให้ หรือเค้าให้มีโปรโมชั่นอะไรรึเปล่า พี่เราเค้าก็เล่ามาแค่นั้น
สรุปก็จบวันแรกไปแบบทุลักทุเล เพื่อนเราโดนรับน้องซะเต็มที่เลย เสื้อผ้าก็ไม่มีจะใส่อีก แต่จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราจำไว้เลยว่าทริปหน้าถ้าเราจะไปไหนเราจะแบ่งเสื้อผ้าบางส่วนขึ้นเครื่องไปด้วยไม่โหลดลงใต้เครื่องจนหมด
7 เมษายน 2558
เช้านี้เราตื่นมาพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายพร้อมกับอุณหภูมิราวๆ 5-6 องศาน้ำตาจะไหลนึกว่าอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงซะอีก ตอนแรกเรานึกว่าจะเจออุณหภูมิซัก 10 ต้นๆหรือเลขตัวเดียวปลายๆเลยไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวแบบหนาๆเอาไว้ ที่เฟลยิ่งกว่าคือในพยากรณ์บอกเอาไว้ว่าฝนตกแทบจะทั้งอาทิตย์เลย การไปเที่ยวแล้วฝนตกนี่เป็นอะไรที่…
ในตอนที่เราออกจากโรงแรมฝนค่อนข้างเบาแล้ว เลยตัดสินใจว่าจะไปสวน Ueno กันเพื่อดูว่ายังมีซากุระให้ชมอยู่มั้ย
ซึ่งพอไปถึงก็พบว่า ร่วงไปเกือบหมดแล้วจ้าเหลือแต่กิ่ง ณ ตอนนั้นก็ตัดสินใจได้แล้วว่า เราจะยึดแพลนฉบับที่ 2 คือการใช้ JR East Pass แต่วัดใกล้ๆสวนอุเอโนะยังพอมีซากุระเหลืออยู่บ้าง
ณ สวนอูเอโนะ
แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเจอนักท่องเที่ยวเต็มสวนนะ เดินไปเรื่อยๆก็เจอทางไปศาลเจ้าเล็กๆ
หลังจากเดินเล่นไปเรื่องเปื่อยก็ข้ามฝั่งไปตลาด Ameyoko เดินเข้าซอยนู้นทะลุออกซอยนี้จนสุดท้ายเดินผ่านร้านข้าวหน้าปลาไหลในตรอกเล็กๆแถวตลาด Ameyoko ด้วยความที่ไม่เคยมีใครเคยทานมาก่อนเลยต้องเข้าไปลอง
จานนี้ 500 เยนค่ะ เห็นเป็นชิ้นแบบนี้ไม่นึกว่าจะเจอก้างด้วย
ตอนเย็นๆเราก็ไป Odiba กันต่อค่ะ เพื่อนเราชอบกันดั้มมาก รีเควสเลยว่ายังไงก็ต้องมาที่นี่ แต่น่าเสียดายที่วันที่เราไป พิพิธภัณฑ์กันดั้มปิดปรับปรุงอยู่
พอกลับจาก odaiba ก็ไปเดินเล่นในเมืองกันต่อ แล้วกลับที่พักมานอนเอาแรง ซึ่งวันนี้กระเป๋าเดินทางเพื่อนเราก็ยังมาไม่ถึงอยู่ดี เลยต้องยืมๆเสื้อพี่ที่ไปด้วยกันมาใส่ก่อน
[Japan trip]ลากกระเป๋าออกตามหาซากุระ 12 วัน 11 คืน 9 เมือง จาก Tohoku สู่ Kansai
ทริปนี้เป็นเราเดินทางกันวันที่ 6 เมษาและกลับวันที่ 17 เมษาลงโตเกียวกลับโอซาก้า ซึ่งหลังจากจองตั๋วไปแล้วก็พึ่งนึกได้ว่าซากุระบานจากใต้ขึ้นเหนือ แล้วนี่คือจองจากเหนือลงใต้ อืม…แบบนี้จะตามล่าซากุระสำเร็จมั้ย แต่จองไปแล้วเปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้ว เป็นทริปที่จองข้ามปีด้วยจองตั้งแต่ TAAX ยังไม่เปิดบินเลย ยังไงก็ถอยไม่ได้แล้ว 55 ซึ่งแพลนการเที่ยวของเราตอนแรกเราวางแผนกันว่าจะเที่ยวโดยใช้ JR Kanto Pass แต่หลังจากตามเช็คพยากรณ์ซากุระมาเรื่อยๆสรุปว่าปีนี้ซากุระบานเร็วมากๆ เราเลยทำแพลนที่ 2 แบบฉับพลับทันด่วนขึ้นมาก่อนไปเที่ยวประมาณ 2-3 อาทิตย์โดยใช้ JR EAST PASS ซึ่งวันแรกหลังจากไปเดินที่สวนอุเอโนะเราก็ตัดสินใจจะใช้แพลน 2 กันแบบ 100 เปอร์เซ็นต์
แพลนของเรา :
6 April 2015 : BKK-Haneda(Tokyo)
7 April 2015 : Ueno Park,Odaiba และเดินเล่นในเมือง
8 April 2015 : Hanamiyama Park (Fukushima)
9 April 2015 : แม่น้ำ Shiroishi หรือ Hitome Senbon Sakura Miyagi(Sendai)
10 April 2015 : Matsumoto Castle
11 April 2015 : Kawaguchiko
12 April 2015 : Kawaguchiko ,Chureito Pagoda
13 April 2015 : Himeji Castle
14 April 2015 : Osaka Mint ,Ninnaji Temple, Ryoan-ji Temple
15 April 2015 : Kiyomizu Temple, Osaka Museum of Housing and Living
16 April 2015 : Yoshino Mt.(Nara)
สรุปสถานที่ที่ไป Tokyo,Fukushima,Miyagi(Sendai),Matsumoto,Kawaguchiko,Osaka,Himeji,Kyoto,Yoshino(Nara)
ถ้ายังไงขอบอกค่าใช้จ่ายไว้ตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ
ค่าตั๋วเครื่องบินประมาณ 15,000 บาท (ลง Haneda กลับ Kansai)
ค่า Pocket Wifi 12 วัน หารกันสี่คนตกคนละ 400 บาท
ค่าเดินทาง :
- ค่า JR EAST PASS 22,000 เยน
- ค่า Kansai Thru Pass 3 days 5,200 เยน
- ค่า night bus 5,835 เยน
- ค่ารถที่ไม่รวมในpass ประมาณ 8,200 เยน
- ค่ารถไฟไปเที่ยวฟูจิแบบ round trip 2,250 เยน *ใช้ได้ 2 วัน ขึ้นลงสถานีไหนก็ได้ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
รวมค่าเดินทาง : 43,485 เยน
ค่าที่พัก 10 วัน รวม 38,000 เยน
ค่าเข้าชมวัดและปราสาท : 2,750 เยน
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด : 84,235 เยน + 15,000 บาท + 400 บาท
ถ้าคิดด้วยเรท 0.28-0.29 จะเป็นเงิน 39,000 - 40,000 บาท
ราคานี้ยังไม่รวมค่ากินและของฝาก และไม่ใช่งบที่ประหยัดที่สุด แต่เป็นทริปที่ฟินสุดๆนะ อิอิ
ทริปนี้เราใช้ทั้งกล้อง Canon 700D กับ โทรศัพท์มือถือถ่ายสลับๆกันไปนะคะ ถ้าฝนตกก็จะเอามือถืออกมาถ่ายมากกว่า
มาเริ่มที่วันแรกของเราเลยดีกว่าค่ะ
6 เมษายน 2558
การเดินทางวันแรกของเราก็ตื่นเต้นซะแล้วเมื่อต้องสวมวิญญาณเอ๋วิ่งดิเอ๋ เหตุมันเกิดที่สนามบินมาเลเนื่องจากเราคิดว่าตัวเองจำเวลาบอร์ดดิ้งได้แม่นเลยไม่ยอมไปเช็คอีกที จนตอนตรวจกระเป๋าก่อนไปเกท เจอเสียงสวรรค์ว่า Haneda Last call เท่านั้นแหละจ้า งงก็งง ขาก็วิ่ง ไอ้เกท 20 กว่าๆที่คิดว่าใกล้ก็โครตไกลยังกะเกท 60 กว่าๆที่ดอนเมืองเลย แถมไม่เพียงแค่นั้นเครื่องยังดีเลย์อีกด้วยจ้า จากที่คิดว่าถึงนู้นอาจจะยังพอขึ้นรถไฟทัน อาจจะต้องแปลงร่างเป็นเอ๋วิ่งขึ้นรถไฟเข้าเมืองด้วย
ซึ่งตอนไปถึงญี่ปุ่นก็เลทจริงๆด้วย แต่ความโหดมันไม่ได้จบแต่เพียงเท่านี้ เมื่อเพื่อนในกลุ่มเราคนนึงไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศมาก่อนเลย(สมาชิกมี 4 คน 3 ใน 4 เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นกันหมดแล้ว) โดนรับน้องด้วยการที่เจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า กระเป๋าคุณจะไม่มาแล้วนะ ตอนนั้นแบบ หื้อ ติดสตั๊นกันมากๆ อะไรจะซวยได้ขนาดนั้น แล้วเจ้าหน้าที่ก็เรียกไปกรอกเอกสาร เอาใบจองที่พักเราไปซีร็อกเพื่อจะส่งกระเป๋าตามมาให้ที่หลัง
ตอนนั้นเอ๋ก็คิดนะว่าสงสัยจะได้นอนสนามบิน เพราะที่พักคืนแรกของเราคือ Oak Hostel Zen ซึ่งเราเคยหาข้อมูลว่าเค้าจะปิดเช็คอินตอนเที่ยงคืน และปิดเค้าเตอร์ตอนตีหนึ่ง สรุปสุดท้ายผ่านพี่ศุลมาตอนเที่ยงคืนครึ่งซึ่งก่อนหน้านั้นเราส่งเมลไปอธิบายสถานการณ์แล้วแต่ไม่มีอะไรตอบกลับมา พวกเราเลยตัดสินใจโทรไปคุยซึ่งทางสตาฟที่นั่นก็แจ้งมาว่าถ้าคุณนั่งแท็กซี่มาตอนนี้เลยเค้าจะรอ
และประสบการณ์นั่งแท็กซี่ญี่ปุ่นครั้งแรกก็เกิดขึ้นถามว่าดีใจมั้ย ไม่นะ 555 แต่แท็กซี่พูดภาษาอังกฤษเก่งเลยแหละ แล้วก็ถามว่าพวกเรามาจากไหน พอบอกว่าไทยเค้าก็บอกว่าเค้าเคยมาเที่ยวไทยนะ เคยนั่งแท็กซี่ไทยด้วย เค้าบอกว่าเค้าตื่นเต้นมากเลยเพราะแท็กซี่ไทยขับแบบซิ่งๆปาดไปมา พวกเราได้แต่หัวเราะแห้งๆ ส่วนเราว่าเรานั่งแท็กซี่ญี่ปุ่นก็ตื่นเต้นดีนะ….ตื่นเต้นกับค่ามิเตอร์น่ะ พุ่งพรวดๆเลย ซึ่งแท็กซี่ถึงที่พักตอนตี 1 พอดีเป๊ะ พอแท็กซี่จอดเราก็รีบพุ่งไปติดต่อเจ้าหน้าที่ในโรงแรมก่อนเลย แต่เราเห็นแว๊บๆว่าก่อนแท็กซี่มาถึงที่พักหน่อยนึงว่าค่ามิเตอร์ล่อไปหมื่นกว่าๆเยน
พอขึ้นมาถึงห้องพักเคลียร์ค่ารถกัน พี่เค้าก็บอกว่าแท็กซี่เอาแผนที่มาชี้ๆให้ดูแล้วอธิบายอะไรซักอย่างพร้อมตบท้ายว่าจะลดราคาให้ ทำให้จากตอนแรกหมื่นกว่าเยนเหลือเก้าพันกว่าเยนแทน แต่คือก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเค้าลดให้ หรือเค้าให้มีโปรโมชั่นอะไรรึเปล่า พี่เราเค้าก็เล่ามาแค่นั้น
สรุปก็จบวันแรกไปแบบทุลักทุเล เพื่อนเราโดนรับน้องซะเต็มที่เลย เสื้อผ้าก็ไม่มีจะใส่อีก แต่จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราจำไว้เลยว่าทริปหน้าถ้าเราจะไปไหนเราจะแบ่งเสื้อผ้าบางส่วนขึ้นเครื่องไปด้วยไม่โหลดลงใต้เครื่องจนหมด
7 เมษายน 2558
เช้านี้เราตื่นมาพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายพร้อมกับอุณหภูมิราวๆ 5-6 องศาน้ำตาจะไหลนึกว่าอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงซะอีก ตอนแรกเรานึกว่าจะเจออุณหภูมิซัก 10 ต้นๆหรือเลขตัวเดียวปลายๆเลยไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวแบบหนาๆเอาไว้ ที่เฟลยิ่งกว่าคือในพยากรณ์บอกเอาไว้ว่าฝนตกแทบจะทั้งอาทิตย์เลย การไปเที่ยวแล้วฝนตกนี่เป็นอะไรที่…
ในตอนที่เราออกจากโรงแรมฝนค่อนข้างเบาแล้ว เลยตัดสินใจว่าจะไปสวน Ueno กันเพื่อดูว่ายังมีซากุระให้ชมอยู่มั้ย
ซึ่งพอไปถึงก็พบว่า ร่วงไปเกือบหมดแล้วจ้าเหลือแต่กิ่ง ณ ตอนนั้นก็ตัดสินใจได้แล้วว่า เราจะยึดแพลนฉบับที่ 2 คือการใช้ JR East Pass แต่วัดใกล้ๆสวนอุเอโนะยังพอมีซากุระเหลืออยู่บ้าง
ณ สวนอูเอโนะ
แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเจอนักท่องเที่ยวเต็มสวนนะ เดินไปเรื่อยๆก็เจอทางไปศาลเจ้าเล็กๆ
หลังจากเดินเล่นไปเรื่องเปื่อยก็ข้ามฝั่งไปตลาด Ameyoko เดินเข้าซอยนู้นทะลุออกซอยนี้จนสุดท้ายเดินผ่านร้านข้าวหน้าปลาไหลในตรอกเล็กๆแถวตลาด Ameyoko ด้วยความที่ไม่เคยมีใครเคยทานมาก่อนเลยต้องเข้าไปลอง
จานนี้ 500 เยนค่ะ เห็นเป็นชิ้นแบบนี้ไม่นึกว่าจะเจอก้างด้วย
ตอนเย็นๆเราก็ไป Odiba กันต่อค่ะ เพื่อนเราชอบกันดั้มมาก รีเควสเลยว่ายังไงก็ต้องมาที่นี่ แต่น่าเสียดายที่วันที่เราไป พิพิธภัณฑ์กันดั้มปิดปรับปรุงอยู่
พอกลับจาก odaiba ก็ไปเดินเล่นในเมืองกันต่อ แล้วกลับที่พักมานอนเอาแรง ซึ่งวันนี้กระเป๋าเดินทางเพื่อนเราก็ยังมาไม่ถึงอยู่ดี เลยต้องยืมๆเสื้อพี่ที่ไปด้วยกันมาใส่ก่อน