เมื่อวันที่ 11/11/15 ตอนเช้านผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนร่วมงานที่เก่าคนนึง ซึ่งปัจจุบันก็ยังติดต่อกันอยู่หลังจากลาออกจากที่ทำงานเก่าเพื่อให้ไปฟังทัศนคติจากผู้ที่ประสบความสำเร็จที่ขี่เบนซ์ป้ายแดง เนื่องจากก่อนหน้าผมเคยคุยกันถึงเรื่องการทำธุระกิจส่วนตัวแต่ผมบอกเขาว่ายังขาดแนวคิดหรือความรู้ต่างๆที่จะช่วยนำทางเพื่อให้ไปสู่ความสำเร็จ ผมจึงรับคำเชิญโดยที่มีความหวังว่าจะได้รับความรู้ด้านต่างๆเพื่อจะเตรียมตัวทำทำธุระกิจส่วนตัวของผม พอใกล้เวลานัดผมไปถึงก่อนนั่งรอประมาณ 10 นาทีเค้าก็มากัน(เป็นทีม) หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จการสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นจากคำถามยอดฮิตคือ
พี่คนนั้น:ความฝันของเราคืออะไร
ผม:ในใจอยากจะบอกว่ารางวัลที่ 1 สักคู่ อิอิ) เป็นเจ้าของธุระกิจครับ
พี่คนนั้น:คิดไว้แล้วยังว่าอยากทำธุระกิจอะไร
ผม:บริษัทรับงานด้านวิศวกรรมครับ.........แล้วผมก็พล่ามๆนิดหน่อย....แต่ที่ผมมาวันนี้เพื่ออยากจะเปิดแนวคิด มุมมองเพื่อรับสิ่งใหม่ๆครับ (สงสัยเริ่มเข้าทางพี่เค้า 55+)
พี่คนนั้น:คิดว่าจะใช้เวลากี่ปีสำหรับการหาเงินเพื่อเปิดบริษัท แล้วคิดว่าจะคุ้มไหม สมมติ ถ้า บ.มีรายได้ประมาร 1 ล้าน ต้องจ่าย พนง.เท่าไหร่ จ่าย..........จิปาถะ......แล้วสุดท้ายเหลืออะไร แล้วต้องทำไปกี่ปี(ออกแนวดูถูก)
ผม: อึ้งแปป!!! อยากจะเปลี่ยนคำถามมากเลยเพราะกูยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร 555+--- ผมกำลังจะอ้าปากตอบ
พี่คนนั้น:เอางี้ยังไม่ต้องตอบ ถ้าพี่มีอะไรที่มัน ประสบความสำเร็จอยู่แล้วและใช้เวลาแค่ 3 ปีก็มีเงินเป็นล้านและขี่เบนซ์ด้วย หลังจากนั้นก็ไปนั่งกินนอนกินได้เลยจะทำไหม...
---------หลังจากที่ผมตอบว่าอยากแค่นั้นแหละครับการเปิดแฟ้มก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการบรรยายแบบสุดติ่งเรื่องผลกำไร-----
และหลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงการบรรยาก็จบลงพร้อมกับความล้มเหลวในการเกลี้ยกล่อมของพี่เค้าที่ขับเบนซ์คนนั้น ผมไม่ได้หัวแข็งหรือ อีโก้สูงอะไรครับผมนั่งฟังจนจบ แต่ผมมีความตั้งใจคือ ความหวังว่าจะได้รับความรู้ด้านต่างๆเพื่อจะเตรียมตัวทำทำธุระกิจส่วนตัว ผมถามถึงแนวคิด แผน การตลาดของธุระกิจเขาก็ไม่ยอมบอก บอกแค่ว่าถ้าอยากรู้ต้องเป็นสมาชิก บรรลุเลยครับความรู้ฟรีมีแต่ใน google เท่านั้น 555+ (แต่เสียค่าเนตนี่หว่า) แต่ที่ฟังๆมาผมพอจะสรุปได้คร่าวและพอจะกลั่นออกมาเป็นแนวคิดได้คือ
1.ระบบธุระกิจเป็นแบบพีระมิด ซึ่งผู้ที่ทำแล้วประสบความสำเร็จสูงสุด ก็จะยังเป็นแค่เบี้ยของเจ้าของระบบเท่านั้น เท่าที่เคยรู้มาจากที่ไหนสักแห่งก็ตรงกัน ว่าเจ้าของระบบเท่านั้นที่จะไม่ต้องทำอะไรแต่รวย
2.แผนการเชิงการตลาดคือ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ เพราะในทางปฏิบัติแล้วผู้ร่วมงานมีหน้าที่ที่จะต้องใช้และนำไปจำหน่าย ผมถามว่าทำไมผู้ร่วมงานทำอยางนั้น “เขาตอบว่าถ้าไม่ทำจะได้เงินจากไหน” ส่วนตัวสินค้านั้นไม่ต้องมีรายละเอียดเพราะ “ผู้ร่วมงานมีหน้าที่ที่จะต้องใช้และนำไปจำหน่าย”
สุดท้ายผมจึงมีโจทย์ให้กับตัวเองว่า “จะทำอย่างไรให้ได้เป็นเจ้าของระบบ”
กลับมานอนคิดอยู่ 1 คืนผมก็ถึงกับตกใจเมื่อระบบที่ผมกำลังค้นหานั้นคือระบบของบริษัทที่ผมทำงานอยู่นี่เอง
บริผมเป็นมหาชน มีหลายสาขา ดังนั้นระบบนี้จึงเกิดขึ้นดังนี้
1ประธานบริษัทหรือเจ้าของ มีหน้าที่ด่าและนั่งนับเงิน (สักวันจะต้องเป็นผมให้ได้)
2.MD ของแต่ละสาขา มีหน้าที่บริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จภายในสาขานั้น
3. MIDI MD ผมก็เพิ่งเคยได้ยินที่นี่ครับแต่คงเป็นตัวแปรของระบบนี้ ทำหน้าที่เป็น director+ผู้จัดการ+sale หน้าที่คือหางานและลูกค้ามาเข้าบริษัทที่ตัวเองอยู่และจัดการแบบภายในแผนกตนเอง มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดขณะคุยกับลูกค้า โดยมี MD เป็นผู้ดูแลภายในอย่างใกล้ชิด
ที่เหลือลงมาคือลูกน้องอย่างผมล้วนๆ ผมคิดว่าที่ผมต้องทำต่อไปคือศึกษาระบบของบริษัทอย่างละเอียดและหาความรู้ใน google ให้มากๆ เพราะพี่คนนั้นดูถูกไว้เยอะเรื่องเปิดบริษัท ผมจะรอดูว่าเพื่อนผมคนที่มีฝันและเข้าไปอยู่ในระบกับผมที่มีฝันจะเป็นเจ้าของ ใครจะไปได้ไกลกว่ากัน
สิ่งที่ได้จาการไปฟัง uni..ci..tyมา คิดว่าได้อะไรไหม จะดีจิงหรือป่าว
พี่คนนั้น:ความฝันของเราคืออะไร
ผม:ในใจอยากจะบอกว่ารางวัลที่ 1 สักคู่ อิอิ) เป็นเจ้าของธุระกิจครับ
พี่คนนั้น:คิดไว้แล้วยังว่าอยากทำธุระกิจอะไร
ผม:บริษัทรับงานด้านวิศวกรรมครับ.........แล้วผมก็พล่ามๆนิดหน่อย....แต่ที่ผมมาวันนี้เพื่ออยากจะเปิดแนวคิด มุมมองเพื่อรับสิ่งใหม่ๆครับ (สงสัยเริ่มเข้าทางพี่เค้า 55+)
พี่คนนั้น:คิดว่าจะใช้เวลากี่ปีสำหรับการหาเงินเพื่อเปิดบริษัท แล้วคิดว่าจะคุ้มไหม สมมติ ถ้า บ.มีรายได้ประมาร 1 ล้าน ต้องจ่าย พนง.เท่าไหร่ จ่าย..........จิปาถะ......แล้วสุดท้ายเหลืออะไร แล้วต้องทำไปกี่ปี(ออกแนวดูถูก)
ผม: อึ้งแปป!!! อยากจะเปลี่ยนคำถามมากเลยเพราะกูยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร 555+--- ผมกำลังจะอ้าปากตอบ
พี่คนนั้น:เอางี้ยังไม่ต้องตอบ ถ้าพี่มีอะไรที่มัน ประสบความสำเร็จอยู่แล้วและใช้เวลาแค่ 3 ปีก็มีเงินเป็นล้านและขี่เบนซ์ด้วย หลังจากนั้นก็ไปนั่งกินนอนกินได้เลยจะทำไหม...
---------หลังจากที่ผมตอบว่าอยากแค่นั้นแหละครับการเปิดแฟ้มก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการบรรยายแบบสุดติ่งเรื่องผลกำไร-----
และหลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงการบรรยาก็จบลงพร้อมกับความล้มเหลวในการเกลี้ยกล่อมของพี่เค้าที่ขับเบนซ์คนนั้น ผมไม่ได้หัวแข็งหรือ อีโก้สูงอะไรครับผมนั่งฟังจนจบ แต่ผมมีความตั้งใจคือ ความหวังว่าจะได้รับความรู้ด้านต่างๆเพื่อจะเตรียมตัวทำทำธุระกิจส่วนตัว ผมถามถึงแนวคิด แผน การตลาดของธุระกิจเขาก็ไม่ยอมบอก บอกแค่ว่าถ้าอยากรู้ต้องเป็นสมาชิก บรรลุเลยครับความรู้ฟรีมีแต่ใน google เท่านั้น 555+ (แต่เสียค่าเนตนี่หว่า) แต่ที่ฟังๆมาผมพอจะสรุปได้คร่าวและพอจะกลั่นออกมาเป็นแนวคิดได้คือ
1.ระบบธุระกิจเป็นแบบพีระมิด ซึ่งผู้ที่ทำแล้วประสบความสำเร็จสูงสุด ก็จะยังเป็นแค่เบี้ยของเจ้าของระบบเท่านั้น เท่าที่เคยรู้มาจากที่ไหนสักแห่งก็ตรงกัน ว่าเจ้าของระบบเท่านั้นที่จะไม่ต้องทำอะไรแต่รวย
2.แผนการเชิงการตลาดคือ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ เพราะในทางปฏิบัติแล้วผู้ร่วมงานมีหน้าที่ที่จะต้องใช้และนำไปจำหน่าย ผมถามว่าทำไมผู้ร่วมงานทำอยางนั้น “เขาตอบว่าถ้าไม่ทำจะได้เงินจากไหน” ส่วนตัวสินค้านั้นไม่ต้องมีรายละเอียดเพราะ “ผู้ร่วมงานมีหน้าที่ที่จะต้องใช้และนำไปจำหน่าย”
สุดท้ายผมจึงมีโจทย์ให้กับตัวเองว่า “จะทำอย่างไรให้ได้เป็นเจ้าของระบบ”
กลับมานอนคิดอยู่ 1 คืนผมก็ถึงกับตกใจเมื่อระบบที่ผมกำลังค้นหานั้นคือระบบของบริษัทที่ผมทำงานอยู่นี่เอง
บริผมเป็นมหาชน มีหลายสาขา ดังนั้นระบบนี้จึงเกิดขึ้นดังนี้
1ประธานบริษัทหรือเจ้าของ มีหน้าที่ด่าและนั่งนับเงิน (สักวันจะต้องเป็นผมให้ได้)
2.MD ของแต่ละสาขา มีหน้าที่บริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จภายในสาขานั้น
3. MIDI MD ผมก็เพิ่งเคยได้ยินที่นี่ครับแต่คงเป็นตัวแปรของระบบนี้ ทำหน้าที่เป็น director+ผู้จัดการ+sale หน้าที่คือหางานและลูกค้ามาเข้าบริษัทที่ตัวเองอยู่และจัดการแบบภายในแผนกตนเอง มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดขณะคุยกับลูกค้า โดยมี MD เป็นผู้ดูแลภายในอย่างใกล้ชิด
ที่เหลือลงมาคือลูกน้องอย่างผมล้วนๆ ผมคิดว่าที่ผมต้องทำต่อไปคือศึกษาระบบของบริษัทอย่างละเอียดและหาความรู้ใน google ให้มากๆ เพราะพี่คนนั้นดูถูกไว้เยอะเรื่องเปิดบริษัท ผมจะรอดูว่าเพื่อนผมคนที่มีฝันและเข้าไปอยู่ในระบกับผมที่มีฝันจะเป็นเจ้าของ ใครจะไปได้ไกลกว่ากัน