เมื่อรู้ว่าสามีนอกใจ จะทำใจอย่างไรดี

สวัสดีเพื่อนๆพันทิป ดิฉันเป็นสามาชิกพันทิป และอ่านข้อมูล แง่คิดในพันทิปมาหลายปี
มีเรื่องที่ให้ประโยชน์ ในการดำเนินชีวิตของดิฉัน มาตลอดเวลา ดิฉันจึงอยากแชร์ปัญหา
ของตัวดิฉันเองบ้าง เผื่อจะมีเพื่อนๆ แนะนำ แง่คิด ต่างๆ มาให้ดิฉันได้สู้ต่อไป

ปัญหาของดิฉัน อาจจะเป็นเรื่องผัวเมียธรรมดาทั่วไป สำหรับบางคนที่จะได้รับฟังต่อไป
แต่สำหรับตัวดิฉันเอง มันรู้สึกหนักหนา หาทางออกไม่เจอ มันยังวนเวียน ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา
ดิฉันอายุ 38 สามีอายุ 33 เราห่างกัน 5ปี เราเจอกับสามีตอนสามีอายุ 18ปี

ดิฉันกับสามีอยู่ด้วยกันมา 15ปี มีลูกชาย 1คน อายุ2ขวบ เราได้จัดงานแต่งงานกัน
ตอนที่อยู่ด้วยกันแล้วประมาณ 7ปี แต่ยังไม่มีลูก แต่งงานกันได้ 3ปี เราก็ได้คลอดลูกออกมา
เป็นเด็กชาย แต่เค้าเสียชีวิตตอนได้2วัน เนื่องจากสำลักน้ำคร่ำ และหายใจเองไม่ได้
เรากับสามีก็กอดคอกันร้องไห้ ณ วันนั้น หลังจากนั้นมาอีกประมาณ 3ปี เราก็มีลูกอีก 1คน
เป็นเด็กชายเหมือนกัน ซึ่งเป็นคนปัจจุบันนี้ที่อายุได้ 2ขวบ8เดือน แล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราอยู่ด้วยกันมีความสุขมาตลอด มีงอนกันบ้างเล็กๆน้อยๆ ธรรมดา
สามีไม่เคยมีพฤติกรรมนอกใจ สามีเป็นคนชอบเลี้ยงไก่ชน เวลาว่างในแต่ละวันเค้าก็จะ
เอาเวลาไปดูแลไก่ที่เค้าเลี้ยงไว้ เอาไก่ไปตี ระแวกใกล้ๆบ้านที่มีคนเค้าเลี้ยงกัน
สามีมาเลิกกินเหล้า และ เลิกสูบบุหรี่ตอนอายุประมาณ 25-26 หลังจากนั้นก็ไม่ได้กินและสูบเลย

แต่มาปีนี้ เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน เรามีปัญหากัน เรื่องผู้หญิงที่เข้ามาสนใจในตัวสามี
เด็กผู้หญิงคนนั้นอายุ 19ปี สามีแอบคุยทางเฟส และโทรหาเด็กคนนั้น ได้2อาทิตย์
เด็กคนนั้นทำงานที่เดียวกับสามีดิฉัน มาตอนหลังสามีเล่าให้ฟังว่า เด็กมาแอบชอบเค้าก่อน
สามีดิฉันทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องที่เด็กคนนั้นทำงานอยู่ พอสามีได้ไปรู้มาว่าเด็กมาแอบชอบ
ดิฉันคิดว่า สามีก็คงจะรู้สึกภูมิใจ หรือดีใจ อะไรสักอย่าง เลยใจกล้าเดินออกจากทางที่เคยเดิน
แล้วดิฉันจับความเปลี่ยนแปลงได้ แล้วความก็แตก ดิฉันเหมือนล้มทั้งยืน ไม่เตรียมทำใจยอมรับไว้
เมื่อได้ยินคำพูดที่ยอมรับจากปากสามีว่า  วันนี้เค้ารู้สึกว่าเค้าไม่เหมือนเดิมกับดิฉัน
เค้ารู้สึกว่าชอบเด็กคนนั้น เค้าถูกชะตา คุยกันถูกคอ รู้สึกอยากพูด อยากคุยกับเด็กคนนั้น
แต่ก่อนหน้านี้ 3วัน ดิฉันพยายามคาดคั้นถามเค้า ว่าเค้าเป็นอะไร มีอะไรไม่สบายใจ
มีอะไรที่อยากจะพูด อยากคุยบอกกับดิฉันไหม เพราะดิฉันจับอาการที่ไม่เหมือนเดิมของเค้าได้
เช้าวันหนึ่งก่อนที่จะไปทำงาน ดิฉันกอดเค้าจากทางด้านหลัง เค้านั่งเฉยๆ ไม่ตอบกลับ
ทำท่านิ่งๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้นตอบกลับมา เหมือนคนหมดใจ ดิฉันทำใจยอมรับไม่ได้
เราอยู่ด้วยกันด้วยดีมาตลอด ไม่เคยมีปัญหาเรื่องอะไร กินอยู่ หลับนอน กันตามปกติ
ไม่เคยขาดตกบกพร่อง  นี่คงเป็นเหตุที่ทำให้สามีลำบากใจด้วย เพราะดิฉันไม่มีความผิดอะไร
ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเอามาอ้าง เพื่อขอเลิกกับดิฉัน เค้าดูเครียดๆ อาการเหมือนคนอกหัก
เลิกงานกลับมาบ้านก็นอนเงียบ เหมือนเพลียๆ นอนก่ายหน้าผาก ไม่เล่นกับลูกเหมือนทุกวัน
ไม่หยอกล้อดิฉันเหมือนที่เคยผ่านๆมา

สิ่งเดียวที่ดิฉันคิดได้ตอนนั้นก็คือ ต้องเลิกกับเค้า ถ้าเค้าไม่รักดิฉันเหมือนเดิม
วันที่เค้าเอ่ยปากยอมรับครั้งแรก ดิฉันร้องไห้ฟูมฟาย ญาติ พี่น้อง และแม่ดิฉันเมื่อได้รู้ว่า
เกิดปัญหาอะไรกับครอบครัวดิฉัน ทุกคนโทรมา บ่ายวันนั้นดิฉันขอลางานเพื่อมาเคลียร์กับสามี
ญาติๆที่ต่างจังหวัด พอได้รู้ข่าวจากพี่สาวที่กรุงเทพ ก็ต่างพากันโทรมา บอกให้ดิฉันใจเย็นๆ
อย่าเพิ่งเลิกกัน บอกให้สามีของดิฉันอย่าเพิ่งไปไหน ทุกคนช่วยกันพูดให้สามีดิฉันคิดให้มาก
และบอกให้ดิฉันใจเย็นๆ ให้คิดถึงลูกให้มากๆ ณ เวลานั้นดิฉัน คิดอะไรไม่ออกเลย
ทำตัวไม่ถูก คิดแค่ว่าถ้าสามีไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม ก็คือ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ และก็อยาก
จะเอาลูกชายไปด้วย ไม่อยากให้ลูกชายต้องอยู่กับสามีและแม่คนใหม่ ดิฉันร้องไห้
และตอนนั้นเอง เด็กคนนั้นโทรเข้ามาเบอร์สามีดิฉัน ดิฉันจึงขอพูดสายกับเค้า แต่สามีไม่ค่อย
เต็มใจที่จะให้ดิฉันพูด แต่ดิฉันขอร้อง ให้เข้าส่งมือถือมาให้ฉันพูด และดิฉันก็ได้พูดกับเด็กนั่น

ดิฉันถามเด็กคนนั้นว่า "น้อง น้องกับแฟนพี่รักกันมากใช่มั้ย ถ้ารักกันมาก พี่ก็จะยอมปล่อย
ให้เค้าไปรักกับน้อง" เด็กคนนั้นทำเสียงตกใจ และก็พูดแค่ ค่ะๆๆ
ทั้งๆที่ในใจดิฉันไม่ได้อยากปล่อยให้สามีไปกับเค้าจริงๆ แล้วดิฉันก็บอกเด็กนั่นว่า
พี่กับสามีอยู่กันมา 15ปี และก็มีลูกที่อายุ 2ขวบ น้องรู้ใช่มั้ย เด็กตอบว่ารู้ค่ะ
แล้วน้องจะเอายังไง เด็กตอบ ถ้าทำให้ครอบครัวของใครต้องแตกแยก หนูก็ไม่เอาค่ะ
ดิฉันก็บอกว่า ถ้างั้น น้องก็รู้ใช่ไหม ว่าน้องต้องทำอย่างไร เด็กบอก รู้ค่ะ หนูจะเลิกติดต่อ
กับพี่เค้า ดิฉันก็บอกว่า พี่ขอบใจน้องมากนะ ครอบครัวของพี่ไม่เคยสอนให้พี่ไปด่าใคร
ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะไปด่าประจานน้องนะ พี่ไม่ใช่คนแบบนั้น เด็กก็บอก ค่ะๆ
แล้วดิฉันก็ยื่นมือถือให้สามีคุยต่อ สามีไปคุยในห้องนอน ดิฉันก็นั่งฟัง ทั้งน้ำตา
สามีคุยกับเด็กคนนั้นถึงความรู้สึกของตัวเค้าว่า เค้ารู้สึกดี อยากพูด อยากคุย เหมือนจะ
พยายามอธิบายความรู้สึกของตัวเอง กับเด็กคนนั้น ดิฉันนั่งฟังไป ปวดรวดร้าวไปทั้งหัวใจ
เหมือนโดนมีดกรีดลงมากลางใจ เมื่อรู้ว่าสามีของเราในวันนี้ เค้าไม่ได้รักเราเหมือนเดิม
อีกแล้ว มันเจ็บปวดหัวใจอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ  แต่เรื่องราวมันยังไม่จบแค่นั้น
หลังจากสามีพูดสายกับเด็กจบแล้ว สามีก็บอกว่า ไม่มีอะไรแล้ว ตกลงเค้าจะเลิกคุยกับ
เด็กคนนั้น และสามีก็บอกว่า ทุกอย่างเราจะเหมือนเดิม เค้าตัดสินใจเลิกติดต่อกัน
แต่คำถามวนเวียนอยู่ในหัวสมองของดิฉันอยู่มากมาย ทุกคำถามไม่ได้เอ่ยถามออกไป
ความเสียใจ ความผิดหวัง ความคาดหวัง มันเต็มอยู่ในหัวใจดิฉัน

หลังจากนั้น 3วัน มาถึงวันอาทิตย์ สามีเอาไก่ชนไปตีแถวๆ ใกล้ๆบ้าน
เด็กคนนั้นโทรมาหาสามี บอกว่าตัดใจไม่ได้ รู้สึกรักมาก ยังอยากคุยอยู่
ซึ่งอาจจะพูดมากกว่านี้ แต่สามีเล่าให้ฟังแค่นี้  เพราะดิฉันมาจับได้วันอังคารแล้ว
ดิฉันเห็นข้อความในมือถือสามี ว่ามีเบอร์นี้โทรเข้ามา แต่สามีลืมลบข้อความออก
ตอนนั้น5ทุ่มแล้ว ดิฉันเห็นข้อความแล้วก็คาดคั้นให้สามีเล่ามาว่ายังติดต่อกันอยู่จริงไหม
จนสามียอมรับออกมาเอง ว่าเด็กเป็นคนโทรมาหาก่อน ว่าตัดใจไม่ได้ แต่สามีบอกว่า
ไม่มีอะไรแล้ว คุยกันเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรแล้ว แต่ดิฉันไม่เชื่อ เพราะรู้ว่าสามีเองก็ยังตัดใจไม่ได้
เพราะอาการของสามีดิฉันก็ยังไม่เหมือนเดิม ยังมีบางเวลาที่เหม่อๆ เหงาๆ ซึมๆ
ซึ่งเป็นอาการที่ดิฉันเอง ก็ทำใจยอมรับไม่ได้ มันเหมือนอยู่กับคนที่ไม่มีใจ

ยืดเยื้อจนมาถึงตอนแตกหักจริงๆ วันเข้าพรรษา ดิฉันอดไมได้ที่จะต้องพูดเรื่องนี้อีก
และบอกกับสามีว่า เราเลิกกันเถอะ ถ้าเธอจะอยู่แบบไม่มีใจกับฉันแบบนี้ ฉันทนไม่ได้
คราวนี้สามีทำหน้างงๆ เพราะดิฉันไม่มีอาการฟูมฟาย ไม่ร้องไห้ ไม่คร่ำครวญ
ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองน่าจะเข้มแข็งพอ และดิฉันก็ไปกดเงินมาให้สามี 5พันบาท
เพื่อเป็นเงินให้เค้าไปเช่าห้องใหม่อยู่ข้างนอก สามีรับเงินไป แล้วบอกกับดิฉันว่า
ถ้าเค้าได้ไปอยู่ข้างนอกแล้ว เค้าค้นพบว่าเค้ายังต้องการดิฉันกับลูกอยู่ เค้าขอกลับมาได้ไหม
ดิฉันบอกว่าได้เสมอ แต่คงมีเวลาให้เธอคิดไม่มากนักนะ ดิฉันคงไม่รอเป็นปีๆ 1เดือน 2เดือน
ถ้าคุณไม่กลับมา เราก็คงต้องต่างคนต่างอยู่จริงๆ และสามีบอกว่าขอเช่าอยู่แถวๆบ้านได้ไหม
เพราะเค้าเป็นห่วงลูก อยากอยู่ใกล้ๆลูก แต่ดิฉันไม่ยอม เพราะถ้าเค้ายังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
ดิฉันเอง ที่จะเป็นคนตัดใจไม่ได้ แล้วถ้าเค้าเอาเด็กนั่นมาอยู่ด้วย ดิฉันก็ต้องเห็นตลอดเวลา
ดิฉันจึงปฏิเสธไม่ให้เค้าเช่าอยู่แถวนี้ แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เราสองคนคุยกันไว้
เมื่อพี่สาวดิฉันได้รู้เรื่องราว ตอนที่สามีกำลังออกไปหาห้องเช่า พี่สาวดิฉันเดินเข้ามาต่อว่าดิฉัน
ว่าไปไล่สามีออกจากบ้านทำไม ทำไมไม่ดึงเค้าให้อยู่กับลูก แล้วสั่งดิฉันว่า ถ้าสามีกลับมา
อย่าให้เค้าขนของออกไป ให้พูดอะไรก็ได้ เพื่อให้เค้าอยู่ อย่าให้เค้าไปเด็ดขาด
เพราะถ้าเค้าไปแล้ว ก็อย่าได้หวังว่าเค้าจะกลับมา แล้วพี่สาวก็ต่อว่าดิฉันอีกว่าไม่ให้อ่อนแอ
ให้อดทนเพื่อลูก ดิฉันก็ได้แต่นั่งร้องไห้ น้ำตานองหน้า ขณะนั้นดิฉันเอาลูกไปฝากไว้กับพี่สาว
เพราะพี่สาว เป็นลูกพี่ลูกน้องกับดิฉัน และเป็นคนเลี้ยงลูกให้ดิฉัน ดิฉันจ้างพี่สาวให้เลี้ยงให้
เวลาไปทำงาน ลูกชายจะอยู่กับพี่สาวดิฉัน เพื่อจะเอาเวลามาเคลียร์กับสามี พี่สาวจึงรู้เรื่อง
พอสามีดิฉันกลับมา จากไปหาห้องเช่า แล้วเป็นเวลาที่ลูกกำลังนอนหลับตอนบ่ายพอดี
ลูกชายก็นอนหลับอยู่บนที่นอน เค้าไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยว่าพ่อแม่กำลังจะแยกทางกัน

ดิฉันจึงรวบรวมความเข้มแข็งสุดท้าย แล้วพูดกับสามีว่า
ถ้าฉันขอร้องให้เธออยู่ต่อ เธอจะยอมเปลี่ยนใจไหม สามีก็มองหน้าดิฉัน ดิฉันก็เริ่มร้องไห้ฟูมฟายอีก
ว่าทำไมครอบครัวของเราต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ฉันเสียใจ ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว
แล้วดิฉันก็ร้องไห้กอดสามีไว้แน่น สามีก็กอดดิฉัน แล้วก็พูดว่าขอเวลาให้เค้าได้ไปค้นหาตัวเอง
เค้าก็สับสนเหมือนกัน เค้าออกไป เค้าก็ไม่ได้ไปอยู่กับเด็กคนนั้น เพราะเด็กก็ยังรู้สึกอาย
ที่แย่งสามีชาวบ้าน ตราบใดที่เรายังไม่ได้เลิกกัน เค้าก็จะถูกชาวบ้านในที่ทำงานด่าว่า
ทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยก เหมือนสามีกับเด็กนั่น ยังรู้สึกอายคนที่แอบคบหากัน
คนในที่ทำงานไม่มีใครรู้ว่าเค้าแอบชอบกัน เพราะทุกคนรู้ว่าสามีดิฉันมีครอบครัวแล้ว
เค้าสองคนคบกันแบบปิดบัง แล้วดิฉันก็ยอมต่อความตั้งใจของสามี แล้วก็บอกว่า
ถ้าคุณต้องการไปจริงๆ ก็ให้รีบเก็บเสื้อผ้าไปซะ ก่อนที่ลูกจะตื่นขึ้นมา แล้วจะร้องไห้ตาม
สามีก็หันไปมองลูก แล้วก็ก้มลงไปหอมแก้มลูก เหมือนจะเป็นครั้งสุดท้าย แล้วสามี
ก็ฟุบหน้าลงไปกับหมอน เหมือนคิดมาก ตัดสินใจไม่ได้ แต่พอสามีลุกขึ้นมานั่ง
แล้วก็พูดกับดิฉันว่า ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันไม่ไปไหนแล้ว ฉันจะอยู่กับลูกกับเธอเหมือนเดิม

จบคำพูดนั้น ดิฉันก็รู้สึกเหมือนยกอะไรที่หนักๆออกจากหัวใจ แต่ก็ไม่ได้หมดความกังวล
ไปซะทีเดียว ดิฉันก็ถามสามีว่า เธอแน่ใจเหรอว่าเธอจะอยู่ แล้วเธอจะกลับมาเป็นคนเดิม
ได้เหรอ สามีบอกว่าจะพยายามทำให้ได้ จะตัดใจ และจะพยายามกลับมาให้เหมือนเดิม
ดิฉันก็บอกว่าตกลง ถ้าเธอไม่ไปฉันก็ดีใจ และค่ามัดจำห้อง 4200 ที่สามีจ่ายไปแล้ว
ทางอพาร์ทเม้นที่สามีไปจองไว้ เค้าไม่คืนให้ เสียเงินฟรีไป ดิฉันก็ไม่ได้รู้สึกเสียดาย
ไม่ใช่ไม่รู้จักค่าของเงิน แต่การที่ได้สามีคืนมาก็ดีมากมายแล้ว  มันยังไม่จบแค่นี้แน่นอน
หลังจากนั้นอีก 2วัน สามีก็โทรไปหาเด็กนั่นบอกเลิกอย่างเด็ดขาด แล้วบอกว่า
ให้เราเป็นพี่เป็นน้องกันเท่านั้นนะ ต่างคนต่างทำงานไป ไม่ต้องคิดมากอะไร
และสามีก็จะไม่ไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับน้องอีก เด็กนั่นฟังจบแล้วก็ตัดสายทิ้งไป สามีเล่า

หลังจากนั้นสามีก็ให้ดิฉันเปลี่ยนเบอร์มือถือให้ สามีเป็นคนขอให้เปลี่ยนเอง
เพื่อความสบายใจของดิฉัน ดิฉันก็จัดการให้ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
แต่เป็นเพราะว่าเค้าทำงานที่เดียวกัน ดิฉันจึงไม่เคยสบายใจ คอยสอดส่อง สังเกตุ
อาการ พฤติกรรมของสามีอยู่ตลอดเวลา จากที่ดิฉันไม่เคยคิดมากเรื่องพวกนี้เลย
กลับกลายมาเป็น กังวล ค้นหา คิดมาก คิดเล็ก คิดน้อย จนดิฉันคิดว่าตัวเอง ใกล้จะ
เป็นโรคประสาท เลิกงานมาก็ต้องมาดูแลลูก ทำกับข้าว ทำงานบ้าน ตามปกติ
พยายามควบคุมอารมณ์ที่ครุ่นคิดทั้งหมด เวลาอยู่กับลูก หยอกล้อ เล่นกับลูกตามปกติ
พร้อมทั้งสังเกตุอาการของสามีไปด้วย ซึ่งก็ยังไม่ปกติ ตามที่ดิฉันรู้สึก

จากวันเข้าพรรษา มาถึงวันนี้ หลังออกพรรษาแล้ว ดิฉันก็ยังไม่รู้สึกสบายใจ
เพราะเด็กนั่นยังทำงานที่เดียวกับสามีอยู่ และดิฉันก็จับได้อีกว่าสามีเม็มเบอร์โทรของเด็ก
นั่นไว้เป็นชื่ออื่น แต่ดิฉันจำเบอร์โทรได้ แต่สามีบอกว่าแค่โทรคุยกันเรื่องงาน ซ่อมเครื่อง
ดิฉันก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าจริงไหม ดิฉันก็ได้แต่เตือนสติสามีไปว่า ถ้าเม็มเบอร์มาแบบนี้
แล้วจะให้ดิฉันเปลี่ยนเบอร์โทรทำไมตั้งแต่แรก จะเปลี่ยนไปเพื่ออะไร สามีก็ยืนยันมา
คำเดียวว่า ไม่มีอะไรจริงๆ แต่สามีก็ไม่เคยกลับผิดเวลา เงินเดือนก็ให้ตามปกติ
แต่อาการ ซึมๆ นิ่งๆ ของสามี ก็ยังมีอยู่บ้าง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่