ทริป พังงา- อุบล-จำปาสัก (สปป.ลาว) 15-19 ตุลาคม 2558 วันแรกจ้า

15 ตุลาคม 2558 “การเดินทางไม่เริ่ดหรู แต่การเรียนรู้เพิ่งเริ่มต้น”
    เริ่มเดินทางจากพังงา (บ้านเกิดเมืองนอน) ตั้งแต่เวลา 05.30 น. มุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติกระบี่ โดยสารการบินไทยแอร์เอเชีย บินตรงยังสนามบินนานาชาติดอนเมือง ก่อนจะเปลี่ยนเครื่องบินตรงสู่สนามบินนานาชาติอุบลราชธานี โดยสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ ใช้เวลาในการเปลี่ยนเครื่องเพื่อเปลี่ยนเส้นทางเกือบ 2 ชั่วโมง เมื่อถึงเวลา 11.00 น. เริ่มเดินทางต่อ สถานีปลายทางในครั้งนี้ คือ สนามบินนานาชาติอุบลราชธานี ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 50 นาที ความรู้สึกตื่นเต้นได้เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยเดินทางมาก่อน ที่ผ่านมาจะเป็นการบินผ่านทะเลเป็นประจำ แต่การบินครั้งนี้เป็นการบินผ่านพื้นแผ่นดินที่เบื้องล่างเป็นต้นไม้เขียวๆ และภูเขาสูงต่ำสลับกันไป  ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกตาแปลกใจ ยิ่งเมื่อเครื่องบินเริ่มละระดับ ทำให้เริ่มมองเห็นทุ่งนาเขียวขจี เห็นลำน้ำมูลทอดยาวมาแต่ไกล มันช่างตื่นตาตื่นใจสำหรับคนที่เพิ่งเดินทางมาครั้งแรกจริงๆ ยิ่งใกล้สนามบินก็ยิ่งตื่นเต้น มองเห็นเมืองใหญ่ ตึกรามบ้านช่องระลานตา ทั้งนี้เพราะสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี ถือเป็นสนามบินที่อยู่ในเขตตัวเมืองมากที่สุด ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย เพียงแต่รอเวลาสำหรับการขยายให้ยิ่งใหญ่ในเร็วๆนี้


ลงจากเครื่องยิ่งตื่นเต้นใหญ่ นี่กระมังที่เค้าเรียกว่า แปลกที่ ทั้งสำเนียงการพูด  ทั้งสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ เมื่อออกมาด้านนอกสายตาก็เริ่มสอดส่ายมองหาไกด์ท้องถิ่นกิตติมศักดิ์ของเราในทริปนี้ “น้องอ๋อย” คุณฉัตรสุดา  โคตรพัฒน์ เจ้าหน้าที่สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 2  อุบลราชธานี ซึ่งมารอรับเราพร้อมกับลูกชายสุดหล่อ “น้องไนล์” และแล้วเราก็เจอไกด์คนสวยมายืนรอรับเราด้านนอก หลังจากทักทายกันแบบหอมปากหอมคอ ท้องเจ้ากรรมก็เริ่มส่งเสียงร้องจ้อกแจ้ก  เหลือบดูนาฬิกา เนี่ยก็ปาไปเกือบบ่ายโมง ความหิวเพิ่มขึ้นจับใจเลยค่ะ หลังจากขนสัมภาระ(ซึ่งไม่มากนัก) ขึ้นรถยนต์ คณะของเราที่เพิ่มจำนวนสมาชิก จาก 2 คน กลายเป็น 4 คน ก็เริ่มต้นการเดินทางทันที  แต่ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง  ไกด์ท้องถิ่นของเราเริ่มสับสนกับเส้นทาง (ขนาดอยู่อุบลฯมาตั้ง 4 ปี นะเนี่ย) จริงๆแล้วมันก็น่าจะสับสนกับเส้นทางในเมืองอุบลจริงๆ เมืองเค้าใหญ่โตมากๆ ถนนหนทางสามารถทะลุไปมาได้อย่างรังผึ้ง
    หลังจากที่ไกด์คนสวยของเรา เริ่มสติกลับมา (555) จากการเลี้ยวผิดซอยเสียหลายครั้ง ก็ได้นำเรามารับประทานอาหารมื้อแรกสำหรับการเหยียบแผ่นดินอีสาน “อุบลราชธานี” เป็นร้านชื่อดังใช้เป็นที่รับแขกบ้านแขกเมืองอย่างคณะของเรา ชื่อร้าน “กอล์ฟเฟอร์” เมนูมื้อแรกนี้เป็นอาหารเวียดนามล้วนๆ อันได้แก่ แหนมเนือง  เมี่ยงสด (ลักษณะคล้ายปอเปี๊ยะสดบ้านเรา) เมี่ยงทอด (อันนี้ก็คล้ายปอเปี๊ยะทอดค่ะ) ขนมเบื้องญวน อร่อยมั่กมัก แต่...ภาษาอีสานต้องพูดว่าอะไรน่ะ ใช่แล้วค่ะ แซบหลาย (หลังจากหันไปกระซิบกระซาบกับน้องไนล์)


หนังท้องตึง หนังตาเริ่มหย่อน ไม่ได้การแล้ว ก่อนที่จะหลับหรือหาที่เอนหลัง คณะของเราซึ่งขณะนี้สมาชิกทั้ง 4 พร้อมแล้ว เราเริ่มออกเดินทางออกจากตัวเมืองอุบลราชธานี มุ่งหน้าสู่อำเภอโขงเจียม “ดินแดนแห่งแสงอาทิตย์แสงแรกในสยาม” ในทันที ไกด์คนสวยของเราเป็นพลขับก่อน เนื่องจากถนนหนทางและรถราที่คับคั่ง เราขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำมูล เข้าสู่อำเภอวารินชำราบ (แค่ข้ามสะพานก็เดินทางเข้าสู่อำเภอวารินชำราบในทันที) ภายในตัวอำเภอวารินชำราบ ก็มีการจราจรคับคั่ง ไม่แตกต่างไปจากตัวเมืองอุบลราชธานีเลย เมื่อออกมาพ้นตัวอำเภอวารินชำราบ เราก็มุ่งหน้าต่ออำเภอพิบูลมังสาหาร (สังเกตมั้ยค่ะ อำเภอทางดินแดนที่ราบสูง ชื่อไพเราะทั้งนั้นเลย) ตอนนี้เราเปลี่ยนพลขับแล้วค่ะ เป็นหนุ่มใหญ่ที่เดินทางมาจากใต้ด้วยกัน สมมตินะค่ะว่าชื่อ นาย ก. (เริ่มสับสนกับชีวิตแล้วเหมือนกัน นึกว่าอยู่ในคอลัมภ์ เสพสม บ่มิสม 555+++)
    เอาหล่ะขอแนะนำพลขับหนุ่มใหญ่ หน้าตาค่อนข้างดีไปไหน ของเรา อย่างเป็นทางการค่ะ คุณพี่อโนทัย  งานดี (เย้ๆๆๆๆ) การมาท่องเที่ยวในทริปนี้ คุณพี่ท่านต้องทำหน้าที่หลายอย่างเชียว อาทิเช่น พลขับ  ตากล้อง รวมถึงคนแบกสัมภาระ (เกินคุ้มจริงๆ) เมื่อเปลี่ยนพลขับแล้ว ไกด์สาวของเราเริ่มทำหน้าที่อย่างจริงจัง แนะนำสองข้างทางตลอดการเดินทาง (พร้อมกับพูดว่า หนูเพิ่งมาเป็นครั้งแรกกับพวกพี่ๆนี่แหละ)  เอาเข้าแล้ว การท่องเที่ยวทริปนี้คงจะสนุกน่าดูใช่มั้ยค่ะ
    ระยะทางช่วงที่ผ่านอำเภอพิบูลมังสาหาร สองข้างทางมีร้าน มีเพิงข้างถนนขายของมากมาย สมาชิกคณะของเรา (หมายถึงพี่ลูกจันทน์) ก็เริ่มสอดส่ายกวาดสายตามอง และ มอง ไกด์ของเราก็แนะนำทันที “ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องขนมซาลาเปา” ปักหมุดไว้เลย การเดินทางขากลับจะต้องแวะชิมลิ้มรสสักหน่อย ว่ารสชาติซาลาเปาของที่นี่ จะอร่อยสมคำร่ำลือหรือเปล่า และเรายังคงมุ่งหน้าต่อ สู่อำเภอโขงเจียม “ตะวันออกสุดแห่งสยามประเทศ” ระหว่างทางเราขับรถหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่เราแวะเข้าไป คือ แก่งสะพือ
แก่งสะพือ เป็นแก่งที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอำเภอพิบูลมังสาหาร แก่งสะพือเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า “ซำพืด” หรือ “ซำปื้ด” ซึ่งเป็นภาษาส่วย ที่แปลว่างูใหญ่ หรืองูเหลือมแก่งสะพือ จะมีหินน้อยใหญ่สลับซับซ้อน กระแสน้ำไหลผ่านกระทบหิน แล้วเกิดเป็นฟองขาว มีเสียงดังตลอดเวลา แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เรามาในช่วงฤดูน้ำหลาก  ทำให้ความสวยงามตามธรรมชาติไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง สถานที่แห่งนี้มีการจำหน่ายของที่ระลึก จำพวกเสื้อผ้าที่บ่งบอกว่าได้มาแวะสถานที่นี้แล้ว มีปลาตากแห้ง(น่าจะเป็นปลาในลำน้ำมูล) และขนมต่างๆไว้บริการแก่นักท่องเที่ยว แต่คณะของเราเพิ่งเริ่มต้นการเดินทาง หากจะรีบซื้อก็เกรงว่าจะเป็นภาระในการเดินทาง แต่เมื่อถึงแล้วเราต้องต้อง cheak in  โดยการถ่ายภาพกับป้ายไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งมาเหยียบแล้ว “แก่งสะพือ” ก่อนขึ้นรถก็เหลือบไปเห็นวัดใกล้ๆ กับลานจอดรถ ชื่อว่าวัดสระแก้ว เป็นวัดเล็กเล็กๆร่มรื่น สวยงาม ดูสงบดี จึงขอเข้าไปเก็บภาพเป็นที่ระลึกอีกที่หนึ่ง

เสร็จภารกิจที่แก่งสะพือ  ทั้งคณะก็เดินทางต่อจุดหมายปลายทางก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน คือ ผาแต้ม การเดินทางของเราก็แสนจะสนุกสนาน ขับผ่านอะไรข้างทางเห็นอะไรแปลกๆต้องร้องบอกให้พลขับช่วยเลี้ยวระกลับไปดู และก็สมใจนึก พลขับผู้แสนดี รับเลี้ยวกลับไปในทันที และไปจอดอย่างนิ่มนวลให้เราเข้าไปชื่นชมฆ้องอันใหญ่ ที่อยู่ริมถนน ใช่แล้วค่ะ สถานที่นี้ คือ หมู่บ้านทำฆ้อง ตั้งอยู่ในตำบลทรายมูล อำเภอพิบูลมังสาหาร ฆ้องที่ผลิตจากที่นี่ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนใคร เพราะใช้การตีฆ้องด้วยมือ ไม่ใช้วิธีหล่อเหมือนที่อื่น ซึ่งการผลิตฆ้องที่นี่ สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนบ้านทรายมูลอย่างมหาศาล และยังคงดำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อย่างมั่นคงอีกด้วย

ได้เวลาเดินทางต่อค่ะ ว่าแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังทางหลวงหมายเลข 2222 และก่อนถึงตัวอำเภอโขงเจียม เราก็แวะไปสักการะสรีระของหลวงปู่คำคนิง จุลมณี ที่บรรดาลูกศิษย์ได้เก็บร่างของท่านไว้ในโลงแก้ว เพื่อบูชาภายในวัดถ้ำคูหาสวรรค์ และบริเวณวัดมีจุดชมวิว สามารถมองเห็นทัศนียภาพของลำน้ำโขงและฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน และที่สำคัญ ณ จุดนี้สามารถทองเห็นแม่น้ำสองสี ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นปรากฎการณ์ของแม่น้ำสองสายที่ไหลมาบรรจบกัน เกิดการเปรียบเทียบต่างสีน้ำของแม่น้ำทั้งสองสาย คือ แม่น้ำมูลที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง จุดที่แม่น้ำสองสายที่ไหลมาบรรจบกัน เป็นสองสีอย่างชัดเจน จนผู้คนพากันเรียกว่า “โขงสีปูน มูลสีคราม” ก่อนขึ้นรถเพื่อเดินทาง คณะของเราก็เจอกับชาวพังงาบ้านเราที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตากัน เมื่อเจอกันเราก็ต้องสร้างหลักฐานให้ปรากฏ ชักภาพค่ะเป็นหลักฐานและทั้งสองคณะก็หัวเราะสนุกสนานเฮฮา (อุตส่าห์แอบหนีมาตั้งไกล ยังมาเจอกับคนพังงา อีก 555+++) ใครนะบอกว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน น่าจะไม่จริงเสียแล้ว

เราต้องรีบให้ถึงผาแต้มก่อนแสงตะวันจะลับขอบฟ้า และแล้วพลขับก็นำเราเข้าสู่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ระหว่างที่ไกด์คนสวยไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่อุทยาน สมาชิกที่เหลือก็ต้องถ่ายภาพ Cheak in เป็นหลักฐานกับป้ายทางเข้าอุทยาน (ใครนะช่างว่า คนไทยชอบถ่ายภาพกับป้าย) แล้วเราก็เดินทางต่อ ก่อนถึงทางแยกขวาไปผาแต้มประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก็ถึงแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม แปลกตาแปลกใจ คือ เสาเฉลียง เป็นปะติมากรรมทางธรรมชาติ ที่เกิดจากกระบวนการกัดเซาะและกัดกร่อนด้วยอิทธิพลของน้ำและลม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการสึกกร่อนโดยแม่น้ำไหลกัดเซาะเป็นเวลาชั่วนาตาปี เกิดขึ้นในชั้นหินที่วางตัวอยู่ในแนวราบ และในแต่ละชั้น มีส่วนประกอบของแร่ที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดเป็นรูปร่างคล้ายเสาหิน อย่างน่ามหัศจรรย์ ซึ่งคำว่า “เสาเฉลียง” แผลงมาจาก “สะเลียง” แปลว่า “เสาหิน” ว่าแล้วก็ Cheak in  กันสิค่ะ

    เดินทางต่ออีก 1.5 กิโลเมตร เราก็ถึง “ผาแต้ม” จุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวของเราในวันนี้  ณ สถานที่แห่งนี้เราสามารถรับชมพระอาทิตย์ทั้งขึ้นและตกได้เป็นจุดแรกของประเทศไทย อุทยานแห่งชาติผาแต้ม มีสภาพโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูงและเนินเขาสูงชัน ลักษณะทางธรณีวิทยาเกิดจากการแยกตัวของผิวโลก เป็นเทือกเขาเดียวกับเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งเขาพระวิหารตั้งอยู่ และจุดที่น่าสนใจอีกอย่าง คือ ภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ และที่ผาแต้มถือเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในประเทศไทยที่มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว เป็นแนวเขตอุทยานแห่งชาติที่ยาวที่สุด ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ป่าเขาทางฝั่งประเทศลาวได้เป็นอย่างดี

เสร็จจากการ Cheak in บริเวณผาแต้ม (ซึ่งเราใช้เวลามาพอสมควร จนตะวันเริ่มลับขอบฟ้า) เราก็ต้องรีบหาที่พักในอำเภอโขงเจียม เพื่อพักผ่อนในค่ำคืนนี้ คืนแรกของการเดินทาง และเราก็ได้ที่พักใกล้กับลำน้ำมูล เมื่อรับประทานอาหารริมโขงในมื้อค่ำเสร็จแล้ว เราก็พากันเก็บตัวอย่างเงียบกริบภายในห้องพัก (พักผ่อนเอาแรง ก่อนเดินทางข้ามแดนในวันรุ่งขึ้น)  ......
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่