ลุ้น ออมสิน ลดดอกเบี้ย ลูกหนี้ครู ที่มีวินัยดี - ครูหนี้ท่วม หนี้สินรวม ๆ กันถึง 1.2 ล้านล้านบาท

http://www.thairath.co.th/content/538540

ลุ้น ออมสิน ลดดอกเบี้ย ลูกหนี้ครู ที่มีวินัยดี

ถกแม่พิมพ์ถูกฟ้องพ้นราชการหรือไม่ ทบทวนปล่อยกู้ ช.พ.ค.-เกณฑ์คนค้ำ

รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ซึ่งมีหนี้สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาทว่า ธนาคารออมสินอาจจะพิจารณาลดดอกเบี้ย แต่ลดให้เฉพาะผู้กู้ที่มีวินัยดี ไม่ได้ลดให้ครูที่ค้างชำระหนี้สิน โดยขณะนี้ทางธนาคารออมสินได้ทยอยฟ้องครูที่ค้างชำระหนี้ เป็นเวลา 3 งวดติดต่อกันแล้ว ซึ่งเท่าที่ทราบมีครูค้างชำระหนี้และถูกธนาคารออมสินดำเนินการฟ้องร้องไปแล้วประมาณ 1 พันกว่าราย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนตัวเลขผู้ที่กำลังจะถูกฟ้องทั้งหมดจะเป็นเท่าไรนั้น ต้องรอข้อมูลจากทางธนาคารออมสิน ซึ่งจะมีการหารือร่วมกันอีกรอบในปลายเดือน พ.ย.นี้ สำหรับครูที่ถูกฟ้องร้องจะถึงขั้นต้องออกจากราชการหรือไม่นั้น เรื่องนี้คงต้องหารือร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง เพราะแม้ในกฎหมายจะกำหนดไว้ว่า ผู้ที่ถูกฟ้องร้องจะถือว่าผิดวินัยราชการด้วย แต่ก็ยังมีช่องว่างให้อยู่ในดุลพินิจสามารถพิจารณาช่วยเหลือได้ ยกเว้นผู้ที่ถูกฟ้องจนล้มละลาย

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีข่าวการปลอมสลิป ตกแต่งบัญชี เพื่อให้ครูมีเงินเหลือพอจะกู้ได้นั้น ที่ผ่านมาตนได้ออกนโยบายให้หน่วยงานในสังกัด อาทิ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ว่าในการรับรองเงินเดือนให้กับครูในสังกัด ผู้บังคับบัญชาต้องพิจารณาแล้วว่าเป็นข้อมูลจริง หากเป็นการรับรองที่เป็นเท็จ ผู้บังคับบัญชาจะมีความผิดด้วย อีกประเด็นที่เป็นปัญหาคือการค้ำประกัน ที่ปัจจุบันเป็นการค้ำกันไปมา ซึ่งไม่ถูกต้อง โดยหลักการแล้ว คนค้ำควรจะมีเงินเดือนสูงกว่าคนกู้ ดังนั้น ตนจะเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ปรับแก้ระเบียบการค้ำประกันให้คนที่ค้ำมีเงินเดือนสูงกว่าคนกู้ เพราะถ้ากำหนดเช่นนี้ คนที่กู้ไปแล้วก็จะวนกลับมาค้ำไม่ได้ เพราะจะต้องมีเงินเดือนเหลือสูงกว่าผู้กู้ เพื่อให้ปล่อยกู้ได้ยากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ในส่วนของการปล่อยกู้ในโครงการสวัสดิการเงินกู้กองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ซึ่งที่ผ่านมาได้ชะลอการปล่อยกู้ไปก่อนนั้นคงต้องกลับมาทบทวน เพราะการปล่อยกู้มีทั้งข้อดีข้อเสีย อาจจะมีครูที่มีความจำเป็น หากไปกู้ธนาคารก็อาจต้องเสียดอกเบี้ยสูง ดังนั้น จึงอาจไม่ปิดประตูทั้งหมด แต่การพิจารณาปล่อยกู้จะต้องมีหลักเกณฑ์ที่ยากขึ้น รวมถึงต้องไปดูจำนวนวงเงินกู้ที่เหมาะสม.
ภาพจาก http://www.myfirstbrain.com/thaidata/image.aspx?id=3551322


เสือหมาบร๊ะเจ้าโจ๊กFacepalmเข้ามาดูแพะม้างูมังกร

ครูหนี้ท่วม
จากการตรวจสอบของ นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พบว่า เบื้องต้นมีครูกู้ยืมเงินจากธนาคารออมสินประมาณ 460,000 คน เป็นเงินประมาณ 500,000 ล้านบาท

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพิ่งรู้เหมือนกันว่า พ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติ หรือคุณครูบ้านเราเป็นหนี้สินรวม ๆ กันถึง 1.2 ล้านล้านบาท ไม่รู้ว่าเพราะอย่างนี้หรือเปล่า คุณภาพการศึกษา ระบบการเรียนการสอนของเด็กนักเรียนบ้านเราจึงไปไม่ถึงไหน มาตรฐานการศึกษา ระดับสติปัญญาของเด็กนักเรียนจึงไม่อาจทัดเทียมนานาอารยประเทศ เพราะบรรดาครูบาอาจารย์บางคนมัวเอาเวลาไปเคร่งเครียด คิดวิตกกับหนี้ท่วมหัว มากกว่าที่จะสนใจ ใส่ใจการศึกษาอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ จากการตรวจสอบของ นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พบว่า เบื้องต้นมีครูกู้ยืมเงินจากธนาคารออมสินประมาณ 460,000 คน เป็นเงินประมาณ 500,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นหนี้นอกระบบ และหนี้ที่กู้ยืมจากสหกรณ์ออมทรัพย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 700,000 ล้านบาท กระทรวงศึกษาฯพยายามแก้ปัญหาตรงนี้ ด้วยการเปิดให้ครูมาลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครูกับธนาคารออมสินในระยะแรก 21,680 ราย แบ่งเป็นลูกหนี้วิกฤติรุนแรงที่อยู่ระหว่างการถูกฟ้องร้องถูกดำเนินคดี 900 ราย ลูกหนี้ใกล้วิกฤติ 780 ราย ที่เหลือเป็นลูกหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 12 งวด และลูกหนี้ปกติประมาณ 20,000 ราย คิดเป็นมูลค่าหนี้ทั้งหมด 34,000 ล้านบาท ส่วนระยะที่ 2 สิ้นสุดกำหนดการลงทะเบียนเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมตัวเลข ยังไม่รู้ว่าเป็นยอดหนี้เท่าไหร่ ความจริงจะว่าไปแล้ว มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครูกับธนาคารออมสินคงช่วยอะไรได้ไม่มากนัก เพียงแต่เป็นแนวทางหนึ่งที่กระทรวงศึกษาฯคิดออกในตอนนี้ มีข้อน่าสังเกตว่า การกู้เงินของครูจากธนาคารออมสินนั้น ส่วนมากกู้ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้กองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) มีครูที่กู้ยืม ประมาณ 60,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีแนวโน้มจะไม่ใช้หนี้เอง แต่จะให้กองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. ชำระหนี้แทนให้ ซึ่งถูกต้อง-ไม่ถูกต้อง ผมไม่ทราบ แต่โดยหลักการพื้นฐานทางจริยธรรม ศีลธรรมแล้ว ใครก่อหนี้ต้องใช้หนี้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นครูมีหน้าที่อบรมสั่งสอนศิษย์ให้เป็นคนดีของสังคม ประเทศชาติ ควรจะรู้แก่ใจดียิ่งกว่าอาชีพใด ๆ คงต้องฝากเป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาฯช่วยตามเรื่องนี้ โดยเฉพาะ นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดศธ. และ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศธ.ที่ต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะเป็นข้อห่วงใยของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เล็ก ๆ หนี้ก้อนโตซะขนาดนั้น และมีแนวโน้มจะไม่ได้คืน นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน จึงนำเรื่องนี้เข้าไปหารือกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ผมเองไม่อยากเดาว่าจะเอายังไง? แต่คงไม่ใช่การตัดหนี้ หรือยกหนี้ให้แน่นอน เพราะเป็นหนี้ก้อนใหญ่มาก และธนาคารออมสินเองมีหน้าที่บริหารเงินฝากของประชาชน ไม่ใช่มีหน้าที่ยกหนี้ให้ใคร ความจริงผมเคยคิดมาตลอดว่า ครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ และมีวุฒิภาวะสูงกว่าวิชาชีพอื่น เพราะต้องทำหน้าที่สั่งสอนนักเรียน ลูกศิษย์ ลูกหา เพื่อให้เติบใหญ่เป็นคนดี มีคุณภาพ เพื่ออนาคตของประเทศ แต่ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนไป ครูเป็นหนี้ท่วมรวม ๆ กัน 1.2 ล้านล้านบาท ถึงวันนี้คงไม่หวังอะไรแล้วกับอนาคต.“

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/article/359921
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่