การวินิจฉัยโรคทางการแพทย์แผนจีน กับ การเทรดหุ้น (ตอนที่ 2) BY ภูกิจ


จากตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/34417980

ได้กล่าวถึงว่าการจะวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยทางเทคนิค หรือวินิจฉัยโรคโดยการแพทย์แผนจีนแล้วนั้น

หลักการที่สำคัญ ประการแรกคือ "การรวบรวมข้อมูล" เกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่เราสนใจ
(ปล. ถ้าจะวิเคราะห์ด้วย งบการเงิน ปัจจัยทางด้านพื้นฐาน บริษัท ความสามารถผู้บริหาร กิจการ ความเติบโตในอนาคต คู่แข่งทางการตลาด ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็จะเป็น ข้อมูลอีกส่วนด้วย  ---- แต่ในที่นี้จะขอกล่าวเพียงการวิเคราะห์โดย Technical analysis เท่านั้นครับผม)

และข้อมูลต่างๆที่ได้มา มักจะมีหลายช่องทางให้ได้มา ซึ่งในแต่ละช่องทางจะมี ข้อเด่น ข้อด้อย ต่างกันออกไป
เช่น ผู้ป่วยมาหา ด้วยอาการหลัก คือ ท้องผูก ไม่ถ่ายมา 3-4 วัน  การมอง การฟัง ไม่สามารถ รู้ข้อมูลในส่วนนี้ได้ จำเป็นต้องถามผู้ป่วย
การมอง การฟัง การจับชีพจร ไม่สามารถรู้ถึง ประวัติการป่วย หรือชีวิตความเป็นอยุ่ของผู้ป่วยได้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการซักถามประวัติผู้ป่วย
ให้รู้ถึงความเป็นมาของโรค ตั้งแต่ก่อนเป็นโรค เริ่มเป็น โรคมีการพัฒนาอย่างไร? ไปรับการรักษาที่ไหน อะไร มาบ้าง? จนถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? ซึ่งข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ล้วนมาจาก "การถาม" ทั้งสิ้น

ดังเช่นในการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค ของหุ้น RSI หรือ Stochastic สามารถบอกเราถึงภาวะ "Overbought" และ "Oversold" (ซื้อมากเกิน ขายมากเกิน) ได้ แต่ไม่สามารถบอกได้ใน MACD, Moving average, Volume เป็นต้น หรือ ADX สามารถบอกความแข็งแกร่งของ Trend ตอนนี้ ว่าอยู่ในภาวะร้อนแรงหรือซบเซา แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า ทิศทางตลาดอยู่ทิศทางใด จะรู้ได้ต้องอาศัยการดูควบคู่กับ Price หรือ Di+ Di-

จากตัวอย่างข้างบน จึงเห็นได้ว่า แหล่งข้อมูลต่างๆ ล้วนมีข้อจำกัดของตัวมันเอง ..... แหล่งข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งไม่สามารถให้ข้อมูลเราได้ครบถ้วน
ดังนั้นในการตรวจวินิจฉัยโดยการแพทย์แผนจีนก็ดี  ในการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยทางเทคนิคก็ดี (รวมถึง การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน) สิ่งที่สำคัญ คือการที่เรารู้ ข้อจำกัด  ข้อดีข้อด้อย ของแต่ละแหล่งข้อมูล (ของแต่ละ เครื่องมือ หรือ Indicator )....

หลักการสำคัญ ประการที่สอง คือ "การเลือกเชื่อข้อมูล"
ในการแพทย์นั้น ข้อมูลที่ได้จากผู้ป่วยทั้งหมด นั้นจะไม่มีความถูกต้อง 100% ซึ่งเราจะเลือกเชื่อข้อมูลใด ก็ต้องอาศัยการพิจารณา
เช่น ถ้าผู้ป่วยเป็น อัลไซเมอร์ ข้อมูลที่เราเลือกจะเชื่อ อาจจะเป็นข้อมูลที่ได้จาก ญาติ ผู้ป่วย ซึ่งตรงนี้ก็จะขึ้นอยู่กับสภาพผู้ป่วยหรือสถานการณ์ของโรค ในปัจจุบัน ว่าควรเลือก เชื่อข้อมูลจาก วิธีการตรวจใด
สำหรับผู้ที่เรียนแพทย์แผนจีนมานั้นจะรู้จัก คำจีน สองคำ คือ "สละชีพจรยึดตามอาการ" (舍脉从症)และ "สละอาการยึดตามชีพจร" (舍症从脉)
ซึ่งหมายความว่า เมื่อข้อมูลจาก สองทางไม่สอดคล้องกันแล้ว ในบางกรณี เราจะเลือกเชื่อ ช่องทางใดช่องทางหนึ่งเป็นหลัก..(แต่ก็ไม่ควรละเลย อีกช่องทางหนึ่ง ก็ควรให้ความสนใจ หรือ คือคอยสังเกตการณ์ไว้อย่างใกล้ชิดนั่นเอง).หลังจากที่ได้พิจารณาแล้วอย่างถี่ถ้วน

ในการเทรดหุ้นก็เช่นกัน เช่นเมื่อ ข้อมูลที่ได้จาก Indicator สองตัว ไม่ตรงกัน.....เราก็ควรพิจารณาว่า จะเลือกเชื่อตัวใด
เช่น ตอนนี้ ตลาดมี Trend ที่แข็งแกร่ง แต่ RSI เกิดภาวะ Oversold ถ้าเราเลือกเชื่อ RSI ทั้งหมด เราอาจเกิด ภาวะ เม่าขายหมู เพราะราคาจะไปต่อ...
เราก็อาจจะใช้ Trend line ควบคู่... หรืออย่างอื่น เพื่อเป็นการบ่งชี้ ...ให้ดียิ่งขึ้น
ซึ่ง RSI / STO จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในภาวะ Sideway แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ควรให้สนใจ หรือคอยสังเกต ใกล้ชิดตลอดเวลา เมื่อเกิดสัญญาณเตือนใดๆ

ดังเช่น เมื่อผู้ป่วยมีอาการใดๆ ปรากฎออกมา แต่ยังไม่แน่ชัด นั้น ไม่พอต่อการวินิจฉัย แพทย์จะ "สั่งดูอาการ" ....

**ในตอนต่อไปนั้นจะพูดถึง ลำดับแนวคิดในการตรวจวินิจฉัยโดยการแพทย์แผนจีน กับ การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค**

ติดตามได้ที่
www.facebook.com/Talkwithphukijj

และกระทู้อื่นๆได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้

เมียน้อย เมียหลวง และหุ้น
http://ppantip.com/topic/34405375

"Trade หุ้น" ให้เหมือนกับ "การจ่ายยารักษาโรค"
http://ppantip.com/topic/34378203

อยู่กับตลาดหุ้น ด้วยหลักพุทธศาสนา (ตอนที่1 "อนิจจัง" กับการเทรดหุ้น)
http://ppantip.com/topic/34368530

การตั้งคำถามกับหุ้น สำคัญไฉน? BY ภูกิจ
http://ppantip.com/topic/34409960

การวินิจฉัยโรคทางการแพทย์แผนจีน กับ การเทรดหุ้น (ตอนที่ 1) BY ภูกิจ
http://ppantip.com/topic/34417980
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  หุ้น TFEX (Thailand Future Exchange) การลงทุน Technical Analysis
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่