สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า รูปทุกรูปถ่ายด้วย iPhone เท่านั้นนะคะ (:
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เริ่มกันเลยดีกว่า ยะฮิ้ววว
ออกเดินทางจาก รังสิต-ปทุมธานี --> นครปฐม(เส้นกำแพงแสน-บางเลน) --> กาญจนบุรี
ลองคำนวนเวลาจาก Google Map ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆ
แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ประมาณ 6 ชั่วโมงค่ะ
เพราะค่อยๆขับไปค่ะ ห่วงรถด้วย ห่วงสเกิร์ตด้วย
อ้อลืมบอก *เราเดินทางด้วยรถ Suzuki Swift (Eco Car) ก็เลยต้องค่อยๆย่องไป 5555
ทางก็ตามสภาพ มีคอนกรีตบ้าง ลาดยางบ้าง ขรุขระบ้าง แต่รถเล็กอย่างเราไหวค่ะ หายห่วง ((:
*ปล.ก่อนขึ้นเขา อย่าลืมเติมน้ำมัน ช่วงก่อนถึงแยกสังขละบุรี-ทองผาภูมิ
จะมีปั๊ม Shell อยู่ซ้ายมือ เยื้องๆไปขวามือจะมีปั๊ม ปตท. แนะนำว่าให้รีบเติมน้ำมันไว้ก่อน เลยขึ้นไปบนเขาแล้วจะหาปั๊มยากนะคะ
และแล้วก็ถึง "จุมชมวิวอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ"
ดินแดนแห่งป่าฝนหนาว และม่านหมอก
LAND OF FOG AND FREEZING RAINFOREST
ตอนนั้นประมาณ 5 โมงเย็น พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน กำลังสวยเลย
ถ่ายรูปกันเพลิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ 6 โมงแล้วค่ะ
กว่าจะถึงที่พัก "อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ" ก็มืดแล้ว
ก่อนเข้าจะต้องจ่ายค่าบริการผ่านเข้าอุทยาน
(ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40.- / รถที่นั่งส่วนบุคคล 30.- / พื้นที่กางเต็นท์ 30.-)
เจ้าหน้าที่บอกว่า จะปิดไฟตั้งแต่ 20.00 เปิดอีกครั้ง 6.00 เช้า
ทำไงล่ะคะทีนี้ ข้างนอกมืดแล้วด้วย ไฟฉายก็ไม่ได้เอามา
เลยยิ้มสวยๆ ขอยืมไฟฉายส่วนตัวพี่เจ้าหน้าที่ พี่เค้าก็ใจดีค่ะ ให้ยืมไฟฉายส่องกบมา 555555
และยังชาร์ตเพาเวอร์แบงก์ให้ด้วย น่ารักมากก ขอบคุณนะคะ
คืนนี้เราจะนอนกางเต็นท์ในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ตรง"เนินกูดดอย" นี่แหละค่ะ
คืนนี้มีดาวเต็มท้องฟ้าเลย แต่น่าเสียดาย กล้อง iPhone ถ่ายไม่ติด เลยอดชักภาพมาอวด 55555
วันที่ 2 (๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘)
เช้านี้ตื่นตั้งแต่ตี 5.30 ตั้งใจไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ "เนินช้างศึก"
เป็นจุดชมวิวยอดเขาแบบ 360 องศา ในเขตพรมแดนไทย-พม่า
สามารถขึ้นไปกางเต็นท์ข้างบนได้ บรรยากาศดีมากกก ลมเย็นสบาย
เนินเขาช้างศึกเป็นฐานปฏิบัติการของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 135 (ฐานช้างศึก)
บางคนก็เรียก ยอดดอยปิล๊อก หรือ ต่องปะแล เป็นฐาน ตชด ที่ตั้งอยู่ในเส้นพรมแดนไทย-พม่า
มองไปอีกด้านจะเห็นหมู่บ้านอีต่อง อยู่ด้านล่าง
ลงมาจากเนินเขาช้างศึกจะเจอกับ "อุโมงค์เหมืองแร่" เดินเข้าไปต่อ 150 เมตร
จะเจอกับป้ายเล็กๆว่า อุโมงค์เก่า ลูกศรชี้ให้เดินขึ้น ซึ่งจริงๆคือปีนค่ะไม่ใช่เดิน ทางชันมากกกก
ขึ้นไปจะเจอปากทางเข้าเหมืองแบบนี้ค่ะ แต่ไม่ได้เข้าไปข้างในนะคะ มืดเชียว
ตอนขึ้นไม่เท่าไหร่ สนุกดี
แต่ตอนลงนี่สิ อยากจะไถก้นลงมาทีเดียวรวดซะจริงๆ ชันมากกก แต่สนุกมากเช่นกันค่ะ 555555
ที่ต่อไปคือ "เนินเสาธง"
เดินขึ้นบันไดไปแป๊บนึงก็จะเห็นธงชาติไทย และธงชาติพม่า ตั้งอยู่ 2 ธงค่ะ
หมาที่นี่จะหน้าแหลมๆทุกตัวเลย น่ารักดี
ขับต่อขึ้นไปอีกนิดจะเจอกับ "จุดเฝ้าตรวจ ช่องทางมิตรภาพ"
เริ่มจะหิวแล้วค่ะ กลับที่พักไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า
ที่ภายในอุทยานจะมีร้านอาหารสวัสดิการ ราคาไม่แพงค่ะ มื้อนี้หมดไป 170.- อิ่มมาก อร่อยด้วยค่ะ
กินอิ่มแล้วก็นึกได้ว่า เมื่อเช้ามืดก่อนออกไปดูพระอาทิตย์ เปิดเต็นท์มาเห็นหมอกหนาตึ๊บ
คาดว่าตอนนี้น่าจะยังมีอยู่ กินเสร็จจึงรีบกลับเต็นท์ที่ "เนินกูดดอย" ซึ่งก็ยังมีหมอกอยู่จางๆ
จากเนินกูดดอย เดินไปอีก 100 เมตร จะเจอกับ"จุดชมวิวเนินช้างเผือก"
เจ้าหน้าที่บอกว่า
ปกติเขาช้างเผือกจะเปิดให้เดินศึกษาธรรมชาติประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน
แต่ช่วงนี้มีช้างป่า จึงต้องเฝ้าระวังก่อน รอให้ช้างป่ากลับเข้าป่าแล้วจึงจะเปิดให้จองค่ะ
แล้วเจอกัน เขาช้างเผือก!
กลับมานั่งๆ นอนๆ ที่เต็นท์ ไม่มีอะไรทำแฮะ หนังสือก็ไม่ได้พกมาด้วย
จึงตัดสินใจเก็บเต็นท์ ละไปต่อที่ "น้ำตกจ๊อกกระดิ่น"
เป็นน้ำตกชั้นเดียว อยู่ห่างจากอุทยานประมาณ 10 นาที
มีความสูงประมาณ 30 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ
การเดินทางไปน้ำตกจ๊อกกระดิ่นเป็นพื้นคอนกรีต มีหลุมบ้าง ค่อนข้างลาดชัน
มีบางช่วงไหล่ทางทรุด จะมีป้ายเขียนเตือนไว้อยู่ค่ะ
ก่อนเข้าต้องเสียค่าผ่านเข้าอุทยานด้วย แต่ว่าเราเสียไปแล้วเมื่อคืนที่อุทยาน
วันนี้เลยไม่ต้องเสียค่ะ เพียงแค่โชว์บัตรให้เจ้าหน้าที่ดู
พอมาถึงแล้วบอกเลยว่า สวยขาดใจ น้ำใสแน๊ว เย็นฉ่ำ จนต้องมีป้ายเตือนว่า 'ระวังเป็นตะคริว'
จากนั้นลงเขาจากอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ไปต่อที่ "เขื่อนวชิราลงกรณ"
ลิงเต็มเลยค่ะ นั่งอ่านป้ายที่ติดไว้มีข้อความว่า
1.ลิงอาจจะแย่งอาหารจากมือท่าน และกัดท่านได้
2.ลิงอาจจะกัดกันเองในฝูง เพื่อไม่ให้ตัวอื่นมารับอาหารจากท่าน ดังนั้นบางตัวที่โมโหหรือสู้ตัวอื่นไม่ได้ อาจแว้งมากัดท่าน
3.ลิงไม่ชอบเด็กและผู้หญิง ดังนั้นอาจจะกัดหรือทำร้ายเด็กและผู้หญิงโดยไม่ทันระวังตัว
4.ลิงอาจเป็นพาหะโรคร้ายแรง
อ่านแล้วกลัวเลยค่ะ ไม่กล้าลงจากรถ นั่งมองอย่างห่างๆ
แต่สุดท้ายก็ยอมลงจากรถ เพราะชะเง้อมองวิวแล้วสวยดี ลงไปก็มองซ้ายมองขวาตลอด กล้าๆกลัวๆ
จุดหมายต่อไปคือ "สังขละบุรี" ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
ถนนมีขรุขระบ้างประปราย แต่ก็ถือว่าดีค่ะ
ถึงแล้วค่ะ สะพานมอญ-สังขละบุรี เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
โดยเป็นแรงงานของชาวมอญที่อาศัยอยู่แถบนั้น เชื่อมต่อกับ อ.สังขละบุรี กับหมู่บ้านชาวมอญ
เดินไปเรื่อยๆจะเจอกับเด็กน้อย
เข้ามาถามว่า 'พี่คะ พอจะทราบประวัติของที่นี่รึยังคะ ให้มัคคุเทศน์น้อยเล่าให้ฟังมั้ยคะ'
ดูจากท่าทางแล้ว เสียเงินแน่ เลยตอบน้องไปว่า 'อ๋อ ทราบแล้วค่ะ' แต่ไปๆมาๆ เป็นงี้เฉยเลยค่ะ
ไม่แน่ใจว่าเด็กหลอกเราหรือเราหลอกเด็กกันแน่ 55555
คืนนี้หาที่กางเต็นท์ไม่ได้เลยค่ะ
ก็เลยเลือกพัก"ใต้ร่มคะเนียง โฮมสเตย์" คืนละ 800.- ถือว่าโอเคเลยค่ะ นอนสบาย
มีแอร์ ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น Wifi Free พร้อมเลยค่ะ
ได้ที่พักแล้ว ออกไปหาของกินที่ถนนคนเดิน จะเปิดทุกวันเสาร์
แต่ตลาดนัดของกินจะมีทุกวัน ปิดประมาณ 4 ทุ่มนะคะ
วันที่ 3 (๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘)
เช้านี้ตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพราะอยากตื่นไปใส่บาตรตอน 6 โมงเช้า
มีหมอกให้เห็นอยู่ไกลๆ
ดูรีวิวที่ผ่านๆ มาแล้วนึกสงสัยว่าข้ามสะพานไปแล้วจะเจอกับอะไร
วันนี้เลยลองข้ามไปให้สุดสะพานเลยค่ะ
ฝั่งโน้นดูจะเป็นชาวมอญมากกว่า
ซึ่งถ้าอยากตักบาตร ควรข้ามมาตักบาตรฝั่งนี้ จะมีพระมอญออกมาให้บิณฑบาตรกันแต่เช้า
นั่งเรือออกไปชมวัดกลางน้ำ
ราคา 300.-/ 1 วัด หรือ 600.-/ 3 วัด นั่งได้ลำละ 6 คน
ถ้าไปกันไม่ถึง 6 คน แนะนำให้รอคนอื่นๆด้วยดีกว่าค่ะ จะได้หารค่าเรือกัน เฉลี่ยคนละ 100.-
เราขึ้นเรือประมาณ 7.30 อากาศกำลังดีเลยค่ะ ลมเย็น ไม่ร้อนเลย
วัดแรก วัดศรีสุวรรณ
วัดที่สอง โบสถ์วัดสมเด็จ(เก่า)
วัดที่สาม วัดวังก์วิเวการาม(เก่า)
จบแล้วค่าาา
เป็นสามวันสองคืนที่คุ้มค่าจริงๆ
ใช้เงินไปประมาณ 2,500.- (ค่าที่พัก ค่ากิน) + 1,500.- (ค่าน้ำมัน) ค่ะ
[CR] Review อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ -- สังขละบุรี ( 3 วัน 2 คืน )
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า รูปทุกรูปถ่ายด้วย iPhone เท่านั้นนะคะ (:
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เริ่มกันเลยดีกว่า ยะฮิ้ววว
ออกเดินทางจาก รังสิต-ปทุมธานี --> นครปฐม(เส้นกำแพงแสน-บางเลน) --> กาญจนบุรี
ลองคำนวนเวลาจาก Google Map ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆ
แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ประมาณ 6 ชั่วโมงค่ะ
เพราะค่อยๆขับไปค่ะ ห่วงรถด้วย ห่วงสเกิร์ตด้วย
อ้อลืมบอก *เราเดินทางด้วยรถ Suzuki Swift (Eco Car) ก็เลยต้องค่อยๆย่องไป 5555
ทางก็ตามสภาพ มีคอนกรีตบ้าง ลาดยางบ้าง ขรุขระบ้าง แต่รถเล็กอย่างเราไหวค่ะ หายห่วง ((:
*ปล.ก่อนขึ้นเขา อย่าลืมเติมน้ำมัน ช่วงก่อนถึงแยกสังขละบุรี-ทองผาภูมิ
จะมีปั๊ม Shell อยู่ซ้ายมือ เยื้องๆไปขวามือจะมีปั๊ม ปตท. แนะนำว่าให้รีบเติมน้ำมันไว้ก่อน เลยขึ้นไปบนเขาแล้วจะหาปั๊มยากนะคะ
และแล้วก็ถึง "จุมชมวิวอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ"
ดินแดนแห่งป่าฝนหนาว และม่านหมอก
LAND OF FOG AND FREEZING RAINFOREST
ตอนนั้นประมาณ 5 โมงเย็น พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน กำลังสวยเลย
ถ่ายรูปกันเพลิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ 6 โมงแล้วค่ะ
กว่าจะถึงที่พัก "อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ" ก็มืดแล้ว
ก่อนเข้าจะต้องจ่ายค่าบริการผ่านเข้าอุทยาน
(ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40.- / รถที่นั่งส่วนบุคคล 30.- / พื้นที่กางเต็นท์ 30.-)
เจ้าหน้าที่บอกว่า จะปิดไฟตั้งแต่ 20.00 เปิดอีกครั้ง 6.00 เช้า
ทำไงล่ะคะทีนี้ ข้างนอกมืดแล้วด้วย ไฟฉายก็ไม่ได้เอามา
เลยยิ้มสวยๆ ขอยืมไฟฉายส่วนตัวพี่เจ้าหน้าที่ พี่เค้าก็ใจดีค่ะ ให้ยืมไฟฉายส่องกบมา 555555
และยังชาร์ตเพาเวอร์แบงก์ให้ด้วย น่ารักมากก ขอบคุณนะคะ
คืนนี้เราจะนอนกางเต็นท์ในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ตรง"เนินกูดดอย" นี่แหละค่ะ
คืนนี้มีดาวเต็มท้องฟ้าเลย แต่น่าเสียดาย กล้อง iPhone ถ่ายไม่ติด เลยอดชักภาพมาอวด 55555
วันที่ 2 (๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘)
เช้านี้ตื่นตั้งแต่ตี 5.30 ตั้งใจไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ "เนินช้างศึก"
เป็นจุดชมวิวยอดเขาแบบ 360 องศา ในเขตพรมแดนไทย-พม่า
สามารถขึ้นไปกางเต็นท์ข้างบนได้ บรรยากาศดีมากกก ลมเย็นสบาย
เนินเขาช้างศึกเป็นฐานปฏิบัติการของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 135 (ฐานช้างศึก)
บางคนก็เรียก ยอดดอยปิล๊อก หรือ ต่องปะแล เป็นฐาน ตชด ที่ตั้งอยู่ในเส้นพรมแดนไทย-พม่า
มองไปอีกด้านจะเห็นหมู่บ้านอีต่อง อยู่ด้านล่าง
ลงมาจากเนินเขาช้างศึกจะเจอกับ "อุโมงค์เหมืองแร่" เดินเข้าไปต่อ 150 เมตร
จะเจอกับป้ายเล็กๆว่า อุโมงค์เก่า ลูกศรชี้ให้เดินขึ้น ซึ่งจริงๆคือปีนค่ะไม่ใช่เดิน ทางชันมากกกก
ขึ้นไปจะเจอปากทางเข้าเหมืองแบบนี้ค่ะ แต่ไม่ได้เข้าไปข้างในนะคะ มืดเชียว
ตอนขึ้นไม่เท่าไหร่ สนุกดี
แต่ตอนลงนี่สิ อยากจะไถก้นลงมาทีเดียวรวดซะจริงๆ ชันมากกก แต่สนุกมากเช่นกันค่ะ 555555
ที่ต่อไปคือ "เนินเสาธง"
เดินขึ้นบันไดไปแป๊บนึงก็จะเห็นธงชาติไทย และธงชาติพม่า ตั้งอยู่ 2 ธงค่ะ
หมาที่นี่จะหน้าแหลมๆทุกตัวเลย น่ารักดี
ขับต่อขึ้นไปอีกนิดจะเจอกับ "จุดเฝ้าตรวจ ช่องทางมิตรภาพ"
เริ่มจะหิวแล้วค่ะ กลับที่พักไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า
ที่ภายในอุทยานจะมีร้านอาหารสวัสดิการ ราคาไม่แพงค่ะ มื้อนี้หมดไป 170.- อิ่มมาก อร่อยด้วยค่ะ
กินอิ่มแล้วก็นึกได้ว่า เมื่อเช้ามืดก่อนออกไปดูพระอาทิตย์ เปิดเต็นท์มาเห็นหมอกหนาตึ๊บ
คาดว่าตอนนี้น่าจะยังมีอยู่ กินเสร็จจึงรีบกลับเต็นท์ที่ "เนินกูดดอย" ซึ่งก็ยังมีหมอกอยู่จางๆ
จากเนินกูดดอย เดินไปอีก 100 เมตร จะเจอกับ"จุดชมวิวเนินช้างเผือก"
เจ้าหน้าที่บอกว่า
ปกติเขาช้างเผือกจะเปิดให้เดินศึกษาธรรมชาติประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน
แต่ช่วงนี้มีช้างป่า จึงต้องเฝ้าระวังก่อน รอให้ช้างป่ากลับเข้าป่าแล้วจึงจะเปิดให้จองค่ะ
แล้วเจอกัน เขาช้างเผือก!
กลับมานั่งๆ นอนๆ ที่เต็นท์ ไม่มีอะไรทำแฮะ หนังสือก็ไม่ได้พกมาด้วย
จึงตัดสินใจเก็บเต็นท์ ละไปต่อที่ "น้ำตกจ๊อกกระดิ่น"
เป็นน้ำตกชั้นเดียว อยู่ห่างจากอุทยานประมาณ 10 นาที
มีความสูงประมาณ 30 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ
การเดินทางไปน้ำตกจ๊อกกระดิ่นเป็นพื้นคอนกรีต มีหลุมบ้าง ค่อนข้างลาดชัน
มีบางช่วงไหล่ทางทรุด จะมีป้ายเขียนเตือนไว้อยู่ค่ะ
ก่อนเข้าต้องเสียค่าผ่านเข้าอุทยานด้วย แต่ว่าเราเสียไปแล้วเมื่อคืนที่อุทยาน
วันนี้เลยไม่ต้องเสียค่ะ เพียงแค่โชว์บัตรให้เจ้าหน้าที่ดู
พอมาถึงแล้วบอกเลยว่า สวยขาดใจ น้ำใสแน๊ว เย็นฉ่ำ จนต้องมีป้ายเตือนว่า 'ระวังเป็นตะคริว'
จากนั้นลงเขาจากอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ไปต่อที่ "เขื่อนวชิราลงกรณ"
ลิงเต็มเลยค่ะ นั่งอ่านป้ายที่ติดไว้มีข้อความว่า
1.ลิงอาจจะแย่งอาหารจากมือท่าน และกัดท่านได้
2.ลิงอาจจะกัดกันเองในฝูง เพื่อไม่ให้ตัวอื่นมารับอาหารจากท่าน ดังนั้นบางตัวที่โมโหหรือสู้ตัวอื่นไม่ได้ อาจแว้งมากัดท่าน
3.ลิงไม่ชอบเด็กและผู้หญิง ดังนั้นอาจจะกัดหรือทำร้ายเด็กและผู้หญิงโดยไม่ทันระวังตัว
4.ลิงอาจเป็นพาหะโรคร้ายแรง
อ่านแล้วกลัวเลยค่ะ ไม่กล้าลงจากรถ นั่งมองอย่างห่างๆ
แต่สุดท้ายก็ยอมลงจากรถ เพราะชะเง้อมองวิวแล้วสวยดี ลงไปก็มองซ้ายมองขวาตลอด กล้าๆกลัวๆ
จุดหมายต่อไปคือ "สังขละบุรี" ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
ถนนมีขรุขระบ้างประปราย แต่ก็ถือว่าดีค่ะ
ถึงแล้วค่ะ สะพานมอญ-สังขละบุรี เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
โดยเป็นแรงงานของชาวมอญที่อาศัยอยู่แถบนั้น เชื่อมต่อกับ อ.สังขละบุรี กับหมู่บ้านชาวมอญ
เดินไปเรื่อยๆจะเจอกับเด็กน้อย
เข้ามาถามว่า 'พี่คะ พอจะทราบประวัติของที่นี่รึยังคะ ให้มัคคุเทศน์น้อยเล่าให้ฟังมั้ยคะ'
ดูจากท่าทางแล้ว เสียเงินแน่ เลยตอบน้องไปว่า 'อ๋อ ทราบแล้วค่ะ' แต่ไปๆมาๆ เป็นงี้เฉยเลยค่ะ
ไม่แน่ใจว่าเด็กหลอกเราหรือเราหลอกเด็กกันแน่ 55555
คืนนี้หาที่กางเต็นท์ไม่ได้เลยค่ะ
ก็เลยเลือกพัก"ใต้ร่มคะเนียง โฮมสเตย์" คืนละ 800.- ถือว่าโอเคเลยค่ะ นอนสบาย
มีแอร์ ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น Wifi Free พร้อมเลยค่ะ
ได้ที่พักแล้ว ออกไปหาของกินที่ถนนคนเดิน จะเปิดทุกวันเสาร์
แต่ตลาดนัดของกินจะมีทุกวัน ปิดประมาณ 4 ทุ่มนะคะ
วันที่ 3 (๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘)
เช้านี้ตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพราะอยากตื่นไปใส่บาตรตอน 6 โมงเช้า
มีหมอกให้เห็นอยู่ไกลๆ
ดูรีวิวที่ผ่านๆ มาแล้วนึกสงสัยว่าข้ามสะพานไปแล้วจะเจอกับอะไร
วันนี้เลยลองข้ามไปให้สุดสะพานเลยค่ะ
ฝั่งโน้นดูจะเป็นชาวมอญมากกว่า
ซึ่งถ้าอยากตักบาตร ควรข้ามมาตักบาตรฝั่งนี้ จะมีพระมอญออกมาให้บิณฑบาตรกันแต่เช้า
นั่งเรือออกไปชมวัดกลางน้ำ
ราคา 300.-/ 1 วัด หรือ 600.-/ 3 วัด นั่งได้ลำละ 6 คน
ถ้าไปกันไม่ถึง 6 คน แนะนำให้รอคนอื่นๆด้วยดีกว่าค่ะ จะได้หารค่าเรือกัน เฉลี่ยคนละ 100.-
เราขึ้นเรือประมาณ 7.30 อากาศกำลังดีเลยค่ะ ลมเย็น ไม่ร้อนเลย
วัดแรก วัดศรีสุวรรณ
วัดที่สอง โบสถ์วัดสมเด็จ(เก่า)
วัดที่สาม วัดวังก์วิเวการาม(เก่า)
จบแล้วค่าาา
เป็นสามวันสองคืนที่คุ้มค่าจริงๆ
ใช้เงินไปประมาณ 2,500.- (ค่าที่พัก ค่ากิน) + 1,500.- (ค่าน้ำมัน) ค่ะ