ทุ่งแสลงหลวง ทุ่งหญ้า ท้องฟ้า และต้นสน
สวัสดีค่ะ แนะนำตัวก่อนนะคะ เราเป็นนิสิตตาดำๆ เรียนหนังสืออยู่แถวๆนี้ ส่งงานเสร็จก็เกิดอาการเบื่อ เลยอยากไปเที่ยวซะดื้อๆ
จะไปไหนก็ยังไม่รู้ ชวนพี่น้องพ้องเพื่อนก็ไม่มีใครว่าง แฟนก็ไม่มี
แต่ๆๆ ไม่เป็นไร มอเตอร์ไซค์ก็มี ตังก็มี ขาก็มี ขี่ไปเองเลยแล้วกัน ฮ่าๆๆ
ทริปนี้เราไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมาค่ะ ค่อนข้างกระทันหัน และไปตายเอาดาบหน้า เพราะไม่รู้ซักอย่างว่าจะเจออะไร
ลืมตาขึ้นมาแปดโมงกว่าๆ ใจก็วิ่งเข้าป่า เปิดกูเกิลหาแหล่งเที่ยว ก็ไปสะดุดตาที่ทุ่งแสลงหลวง
รออะไร เก็บกระเป๋ายืมกล้องเพื่อนแล้วก็ชิ่ง ฮ่าๆๆๆ
ทางหลวงหมายเลข 12 ตั้งแต่มี 4 ช่องจราจรรู้สึกว่าขี่รถสนุกมากค่ะ ยิ่งช่วงลงจากบ้านแคมป์สนไปอำเภอหล่มสักดริฟกันสนุกเลย
ขี่มาพักนึงเราก็แวะที่น้ำตกแก่งโสภาค่ะ ชำระค่าเข้าแสดงบัตรนิสิตและลดอีก 50% วันธรรมดา สรุปเสียค่าเข้าแค่ 30 บาท
โดยส่วนตัวเราว่ามันธรรมดาไม่ได้สวยมากมาย หรือเพราะน้ำแรง หรือเพราะเราเจอสวยกว่านี้มาแล้วก็ไม่ทราบ
ดริฟขึ้นเขากันอีกหน่อยก็มาถึงบ้านแคมป์สนค่ะ ที่จริงเราต้องแยกขวาที่นี่ เพื่อไปอำเภอเขาค้อ
แต่เรามีภูมิหลังกับแฟนเก่าอยู่สถานที่นึง คิดถึงเลยแวะไปชม
ที่นี่น่าจะเป็นบ้านพักตากอากาศของคนเมืองซักคนนึงค่ะ ปลูกต้นสนไว้เต็มพื้นที่ รู้สึกเหมือนอยู่เมืองนอกหน่อยๆ
เราไม่แน่ใจว่าเจ้าของเปิดให้เข้าชมหรือเปล่านะคะ จุดที่ถ่ายภาพเลยวัดผาซ่อนแก้วขึ้นไปหน่อย บรรยากาศดีค่ะ
รำลึกเสร็จก็ขี่กันต่อ มุ่งสู่อำเภอเขาค้อค่ะ แวะกินกลางวันที่นี่ หากใครจะไปทำหารกินที่นั่นก็แวะซื้อเสบียงจากที่นี่เช่นกัน
แต่เราไม่มีอุปกรณ์ใดๆ นอกจากเต๊นท์ ถุงนอน และน้ำเปล่า เราจึงไม่ได้ซื้อเสบียงค่ะ
และสำหรับใครที่ไปมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆแบบเราแนะนำให้เติมน้ำมันไว้ให้เต็มนะคะ เพราะจากปั๊มที่นี่ไม่มีปั๊มใหญ่ๆให้เติมแล้ว
เดี๋ยวจะน้ำมันหมดในป่า หมดสนุกแน่นอนค่ะ
ขี่ตามป้ายมาเรื่อยๆ เราก็อ่างเก็บน้ำและน้ำตกศรีดิษฐ์ค่ะ
อ่างเก็บน้ำไม่ใหญ่มาก เหมาะแก่การนั่งเล่นนอนเล่น เพราะลมเย็นมาก
ส่วนน้ำตกศรีดิษฐ์ เสียค่าเข้าอีก 20 บาท
ตัวน้ำตกมันเกือบจะดีแล้วค่ะ ถ้าลงไปชมข้างล่างได้ แต่เราไม่เจอว่ามันต้องเดินไปทางไหน เลยได้มาแค่นี้
และแล้วขี่ไปขี่มา ก็มาถึงสักที
ทุ่งหญ้ากว้างขวาง มีเก้งกวางเดินเล่น ลุยเข้าไปก็เจอแต่หญ้าเจ้าชู้ และลมเย็นมาก
เนื่องจากเราเสียค่าธรรมเนียมที่น้ำตกแก่งโสภามาแล้ว เราจึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกรอบ
และดูเหมือนจะมีแค่เราคนเดียวในทุ่ง ที่เป็นนักท่องเที่ยว
คือตื่นเต้นมาก นี่แกเป็นคนเดียวในทุ่งเลยนะเฮ้ย...
ที่นี่มีจักรยานให้เช่าค่ะ สำหรับคนชอบปั่น (แต่เรายอมแพ้ ซิ่งต่อไป)
มีเต๊นท์เช่า มีเครื่องนอน แต่เรามีมาเอง เราเสียค่ากางเต๊นท์ 30 บาท เลือกได้ทั้งลานเลยค่ะ
แต่ไม่มีร้านอาหาร หรือเราไปผิดวัน หรือเราหาไม่เจอ ไม่ทราบ
แต่ๆๆๆ ไม่เป็นไร เราเห็นในหมู่บ้านมีข้าวขาย เราจะไม่ยอมอดตาย ฮ่าๆๆๆ
เนื่องจากเราไม่ไว้ใจฟ้าฝน เห็นศาลาอยู่ใกล้ๆ เราเลยยึดศาลาน้อยเป็นที่พักพิง
กางเต๊นท์เสร็จโยนเป้ทิ้งไว้แล้วเราก็ไปซิ่งกัน
ถนนหน้าตาน่ารักประมาณนี้ค่ะ
เจอด่านแรก ไปไหนดีล่ะ นี่ก็บ่ายกว่าแล้ว ใกล้ๆแล้วกันเนาะ ไปแก่งวังน้ำเย็น
ตอนแรกทางแห้ง ขี่เรื่อยๆชมทุ่งหญ้า ซักพักทุ่งหายไป ป่าเริ่มมา เริ่มมืด เริ่มกลัว และ...
สมอง : เฮ้ยแก มันแฉะแล้วนะ แกจะไปต่อเหรอ
ใจ : ไปสิแก มาทีเดียว เอาให้ครบ
ไงละใจ แกน่าจะเชื่อสมองใช่มั้ย เห็นแบบนี่ลึกครึ่งแข้งค่ะ จมโคลน เละทั้งคนทั้งมอไซ แต่เราก็ไปต่อ ฮ่าๆ
7 กิโลแม้ว รู้สึกว่ามันเกิน เราก็เจอ แก่งวังน้ำเย็น
น้ำใสไหลเย็นแต่ลงเล่นไกลๆไม่ได้ค่ะ น้ำแรง แต่ใกล้ๆฝั่งไม่ได้ลึกมา พอนั่งแช่ได้ และยุงเยอะมากๆ
กลับจากแก่งวังน้ำเย็นแบบเปียกๆ เริ่มหิว เราจึงควรจะไปหากินสินะ
ออกจากอุทยานกลับเข้าไปที่หมู่บ้านหนองแม่นา
สมองซ้าย : ไอ้ร้านที่เราจะกินตะกี้มันหายไปไหนนะ
สมองขวา : เออ มันปิดไงแก
ใจ : กรีดร้องเสียงดังมาก
ยืนเอ๋อซักพักก็ระลึกได้ ว่าเอ็งควรไปหากินที่เขาค้อนะคะ 20 กว่ากิโล แปปเดียว ไปเถอะ ไปกิน
ทางผ่านค่ะ ที่เห็นนั่นคือเขาย่า เป็นที่ตั้งของพระตำหนักเขาค้อ มีทางเดินขึ้นยอดจากพระตำหนักราวๆ 700 เมตร
แต่เท่าที่ทราบทางเละเทะมาก เราจึงไม่ได้ขึ้นไปค่ะ
ขี่มอไซค์ถึงทางแยกขึ้นยอดเขาค้อ ตะวันจะลาฟ้า เราเลยขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกกัน
ด้านล่างฝนตก อากาศเย็นๆ รุ้งกินน้ำก็มา
หมดแสงของวันพอดี ที่ยอดเขาค้อ
ลงจากเขาค้อ แวะหากินที่เอาเภอเหมือนเดิม และเริ่มมืดลง มืดลง มืดลง
ขากลับเข้าอุทยานนี่พีคมาก เพราะเป็นทางเปลี่ยว เปลี่ยวแบบมืดตึ๊ดตื๋อ มองไม่เห็นอะไรเลย และ ฝนตกค่ะ
สมอง : เดี๋ยวก็ถึง ไม่เป็นไร ไม่มีอะไร แค่ความมืด
ใจ : แม่!!
กลับถึงเต๊นท์อย่างเปียกๆ อาบน้ำเข้านอนพร้อมเสียงฝน รอเช้าเราจะไปทุ่งนางพญากัน
เช้ามา เราก็จ๊ะเอ๋กับพี่หมอก มองไม่เห็นอะไรมากนัก และ ถนนแฉะมาก เพราะพี่ฝนเล่นตกเกือบทั้งคืน
สมอง : ยังไงแกก็จะไปใช่ไหมคะ ?
ใจ : ค่ะ แฉะแค่ไหนหนูก็จะไป
เส้นทางสู้ทุ่งนางพญา ราวๆ 17 กิโลแม้ว ทางโหดกว่าแก่งวังน้ำเย็นของเมื่อวาน
น้ำนิ่งหมอกหนา เหมือนอยู่ในแม่น้ำอเมซอล แล้วมีอานาคอนด้าตัวใหญ่ๆ
แวะที่ศาลาดุสิตา ตะวันเริ่มสูง หมอกก็เริ่มจาง แล้วหมอกก็หายไป แล้วเราก็ไปต่อ
พ้นจากศาลาดุสิตา ก็เจอทางชันที่ลื่นมาก
ขี่ไปด้วยความระวัง เพราะทางลื่น สภาพทางหากไม่ลื่นจะน่ารักกว่าทางไปแก่งวังน้ำเย็นมาก
จู่ๆหมอกก็มา พร้อมแดด เลยได้บรรยากาศที่โคตรฟินอีกรอบ จะกรี๊ดดังๆก็กลัวสัตว์ป่าจะแตกตื่น
แก ทำไมไม่ถึงซักที ขี่มานานแล้วนะ ฮ่าๆๆ
ออกจากป่ามาก็เจอทุ่งหน้า น่าตาน่ารักมาก
เห็นทางแบบนี้มันไม่ได้แห้งเลยค่ะ มันคือโคลนเปียกๆลื่นๆ ขี่ช้าๆเท่านั้น
ไม่มีมนุษย์หน้าไหนในรัศมี 10 กิโลเมตรนี้แน่นอน แกคือคนเดียวในทุ่งค่า
และเราก็มาถึง ทุ่งนางพญาเมืองเลน เรามาช้าไป เพราะถ้าไวกว่านี้คงได้ฟินกับพี่หมอกลอดต้นสน
บริเวณนี้กางเต๊นท์ได้นะคะ แต่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆค่ะ
ขากลับขี่ชิวๆดั่งอยู่ในซีรี่ย์เกาหลี ขี่สวนกับกะบะคันใหญ่ พี่คนขับมองแบบอึ้งๆ และคงคิดนังนี่มันมาคนเดียวได้ยังไง
และแบตกล้องก็ลาโลก ได้ภาพสุดท้ายที่ศาลาดุสิตาอีกรอบ
ลาก่อนทุ่งหญ้า แล้วหนูจะกลับมาหาใหม่
ซิ่งกลัมมอแบบรวดเดียวจบ กลับมากินข้าวมอโดยปลอดภัยครบสามสิบสอง ฮ่าๆๆ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
[CR] ทุ่งแสลงหลวง เพื่อนไม่ไป แฟนไม่มี คนเดียวก็ได้
สวัสดีค่ะ แนะนำตัวก่อนนะคะ เราเป็นนิสิตตาดำๆ เรียนหนังสืออยู่แถวๆนี้ ส่งงานเสร็จก็เกิดอาการเบื่อ เลยอยากไปเที่ยวซะดื้อๆ
จะไปไหนก็ยังไม่รู้ ชวนพี่น้องพ้องเพื่อนก็ไม่มีใครว่าง แฟนก็ไม่มี
แต่ๆๆ ไม่เป็นไร มอเตอร์ไซค์ก็มี ตังก็มี ขาก็มี ขี่ไปเองเลยแล้วกัน ฮ่าๆๆ
ทริปนี้เราไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมาค่ะ ค่อนข้างกระทันหัน และไปตายเอาดาบหน้า เพราะไม่รู้ซักอย่างว่าจะเจออะไร
ลืมตาขึ้นมาแปดโมงกว่าๆ ใจก็วิ่งเข้าป่า เปิดกูเกิลหาแหล่งเที่ยว ก็ไปสะดุดตาที่ทุ่งแสลงหลวง
รออะไร เก็บกระเป๋ายืมกล้องเพื่อนแล้วก็ชิ่ง ฮ่าๆๆๆ
ทางหลวงหมายเลข 12 ตั้งแต่มี 4 ช่องจราจรรู้สึกว่าขี่รถสนุกมากค่ะ ยิ่งช่วงลงจากบ้านแคมป์สนไปอำเภอหล่มสักดริฟกันสนุกเลย
ขี่มาพักนึงเราก็แวะที่น้ำตกแก่งโสภาค่ะ ชำระค่าเข้าแสดงบัตรนิสิตและลดอีก 50% วันธรรมดา สรุปเสียค่าเข้าแค่ 30 บาท
โดยส่วนตัวเราว่ามันธรรมดาไม่ได้สวยมากมาย หรือเพราะน้ำแรง หรือเพราะเราเจอสวยกว่านี้มาแล้วก็ไม่ทราบ
ดริฟขึ้นเขากันอีกหน่อยก็มาถึงบ้านแคมป์สนค่ะ ที่จริงเราต้องแยกขวาที่นี่ เพื่อไปอำเภอเขาค้อ
แต่เรามีภูมิหลังกับแฟนเก่าอยู่สถานที่นึง คิดถึงเลยแวะไปชม
ที่นี่น่าจะเป็นบ้านพักตากอากาศของคนเมืองซักคนนึงค่ะ ปลูกต้นสนไว้เต็มพื้นที่ รู้สึกเหมือนอยู่เมืองนอกหน่อยๆ
เราไม่แน่ใจว่าเจ้าของเปิดให้เข้าชมหรือเปล่านะคะ จุดที่ถ่ายภาพเลยวัดผาซ่อนแก้วขึ้นไปหน่อย บรรยากาศดีค่ะ
รำลึกเสร็จก็ขี่กันต่อ มุ่งสู่อำเภอเขาค้อค่ะ แวะกินกลางวันที่นี่ หากใครจะไปทำหารกินที่นั่นก็แวะซื้อเสบียงจากที่นี่เช่นกัน
แต่เราไม่มีอุปกรณ์ใดๆ นอกจากเต๊นท์ ถุงนอน และน้ำเปล่า เราจึงไม่ได้ซื้อเสบียงค่ะ
และสำหรับใครที่ไปมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆแบบเราแนะนำให้เติมน้ำมันไว้ให้เต็มนะคะ เพราะจากปั๊มที่นี่ไม่มีปั๊มใหญ่ๆให้เติมแล้ว
เดี๋ยวจะน้ำมันหมดในป่า หมดสนุกแน่นอนค่ะ
ขี่ตามป้ายมาเรื่อยๆ เราก็อ่างเก็บน้ำและน้ำตกศรีดิษฐ์ค่ะ
อ่างเก็บน้ำไม่ใหญ่มาก เหมาะแก่การนั่งเล่นนอนเล่น เพราะลมเย็นมาก
ส่วนน้ำตกศรีดิษฐ์ เสียค่าเข้าอีก 20 บาท
ตัวน้ำตกมันเกือบจะดีแล้วค่ะ ถ้าลงไปชมข้างล่างได้ แต่เราไม่เจอว่ามันต้องเดินไปทางไหน เลยได้มาแค่นี้
และแล้วขี่ไปขี่มา ก็มาถึงสักที
ทุ่งหญ้ากว้างขวาง มีเก้งกวางเดินเล่น ลุยเข้าไปก็เจอแต่หญ้าเจ้าชู้ และลมเย็นมาก
เนื่องจากเราเสียค่าธรรมเนียมที่น้ำตกแก่งโสภามาแล้ว เราจึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกรอบ
และดูเหมือนจะมีแค่เราคนเดียวในทุ่ง ที่เป็นนักท่องเที่ยว
คือตื่นเต้นมาก นี่แกเป็นคนเดียวในทุ่งเลยนะเฮ้ย...
ที่นี่มีจักรยานให้เช่าค่ะ สำหรับคนชอบปั่น (แต่เรายอมแพ้ ซิ่งต่อไป)
มีเต๊นท์เช่า มีเครื่องนอน แต่เรามีมาเอง เราเสียค่ากางเต๊นท์ 30 บาท เลือกได้ทั้งลานเลยค่ะ
แต่ไม่มีร้านอาหาร หรือเราไปผิดวัน หรือเราหาไม่เจอ ไม่ทราบ
แต่ๆๆๆ ไม่เป็นไร เราเห็นในหมู่บ้านมีข้าวขาย เราจะไม่ยอมอดตาย ฮ่าๆๆๆ
เนื่องจากเราไม่ไว้ใจฟ้าฝน เห็นศาลาอยู่ใกล้ๆ เราเลยยึดศาลาน้อยเป็นที่พักพิง
กางเต๊นท์เสร็จโยนเป้ทิ้งไว้แล้วเราก็ไปซิ่งกัน
ถนนหน้าตาน่ารักประมาณนี้ค่ะ
เจอด่านแรก ไปไหนดีล่ะ นี่ก็บ่ายกว่าแล้ว ใกล้ๆแล้วกันเนาะ ไปแก่งวังน้ำเย็น
ตอนแรกทางแห้ง ขี่เรื่อยๆชมทุ่งหญ้า ซักพักทุ่งหายไป ป่าเริ่มมา เริ่มมืด เริ่มกลัว และ...
สมอง : เฮ้ยแก มันแฉะแล้วนะ แกจะไปต่อเหรอ
ใจ : ไปสิแก มาทีเดียว เอาให้ครบ
ไงละใจ แกน่าจะเชื่อสมองใช่มั้ย เห็นแบบนี่ลึกครึ่งแข้งค่ะ จมโคลน เละทั้งคนทั้งมอไซ แต่เราก็ไปต่อ ฮ่าๆ
7 กิโลแม้ว รู้สึกว่ามันเกิน เราก็เจอ แก่งวังน้ำเย็น
น้ำใสไหลเย็นแต่ลงเล่นไกลๆไม่ได้ค่ะ น้ำแรง แต่ใกล้ๆฝั่งไม่ได้ลึกมา พอนั่งแช่ได้ และยุงเยอะมากๆ
กลับจากแก่งวังน้ำเย็นแบบเปียกๆ เริ่มหิว เราจึงควรจะไปหากินสินะ
ออกจากอุทยานกลับเข้าไปที่หมู่บ้านหนองแม่นา
สมองซ้าย : ไอ้ร้านที่เราจะกินตะกี้มันหายไปไหนนะ
สมองขวา : เออ มันปิดไงแก
ใจ : กรีดร้องเสียงดังมาก
ยืนเอ๋อซักพักก็ระลึกได้ ว่าเอ็งควรไปหากินที่เขาค้อนะคะ 20 กว่ากิโล แปปเดียว ไปเถอะ ไปกิน
ทางผ่านค่ะ ที่เห็นนั่นคือเขาย่า เป็นที่ตั้งของพระตำหนักเขาค้อ มีทางเดินขึ้นยอดจากพระตำหนักราวๆ 700 เมตร
แต่เท่าที่ทราบทางเละเทะมาก เราจึงไม่ได้ขึ้นไปค่ะ
ขี่มอไซค์ถึงทางแยกขึ้นยอดเขาค้อ ตะวันจะลาฟ้า เราเลยขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกกัน
ด้านล่างฝนตก อากาศเย็นๆ รุ้งกินน้ำก็มา
หมดแสงของวันพอดี ที่ยอดเขาค้อ
ลงจากเขาค้อ แวะหากินที่เอาเภอเหมือนเดิม และเริ่มมืดลง มืดลง มืดลง
ขากลับเข้าอุทยานนี่พีคมาก เพราะเป็นทางเปลี่ยว เปลี่ยวแบบมืดตึ๊ดตื๋อ มองไม่เห็นอะไรเลย และ ฝนตกค่ะ
สมอง : เดี๋ยวก็ถึง ไม่เป็นไร ไม่มีอะไร แค่ความมืด
ใจ : แม่!!
กลับถึงเต๊นท์อย่างเปียกๆ อาบน้ำเข้านอนพร้อมเสียงฝน รอเช้าเราจะไปทุ่งนางพญากัน
เช้ามา เราก็จ๊ะเอ๋กับพี่หมอก มองไม่เห็นอะไรมากนัก และ ถนนแฉะมาก เพราะพี่ฝนเล่นตกเกือบทั้งคืน
สมอง : ยังไงแกก็จะไปใช่ไหมคะ ?
ใจ : ค่ะ แฉะแค่ไหนหนูก็จะไป
เส้นทางสู้ทุ่งนางพญา ราวๆ 17 กิโลแม้ว ทางโหดกว่าแก่งวังน้ำเย็นของเมื่อวาน
น้ำนิ่งหมอกหนา เหมือนอยู่ในแม่น้ำอเมซอล แล้วมีอานาคอนด้าตัวใหญ่ๆ
แวะที่ศาลาดุสิตา ตะวันเริ่มสูง หมอกก็เริ่มจาง แล้วหมอกก็หายไป แล้วเราก็ไปต่อ
พ้นจากศาลาดุสิตา ก็เจอทางชันที่ลื่นมาก
ขี่ไปด้วยความระวัง เพราะทางลื่น สภาพทางหากไม่ลื่นจะน่ารักกว่าทางไปแก่งวังน้ำเย็นมาก
จู่ๆหมอกก็มา พร้อมแดด เลยได้บรรยากาศที่โคตรฟินอีกรอบ จะกรี๊ดดังๆก็กลัวสัตว์ป่าจะแตกตื่น
แก ทำไมไม่ถึงซักที ขี่มานานแล้วนะ ฮ่าๆๆ
ออกจากป่ามาก็เจอทุ่งหน้า น่าตาน่ารักมาก
เห็นทางแบบนี้มันไม่ได้แห้งเลยค่ะ มันคือโคลนเปียกๆลื่นๆ ขี่ช้าๆเท่านั้น
ไม่มีมนุษย์หน้าไหนในรัศมี 10 กิโลเมตรนี้แน่นอน แกคือคนเดียวในทุ่งค่า
และเราก็มาถึง ทุ่งนางพญาเมืองเลน เรามาช้าไป เพราะถ้าไวกว่านี้คงได้ฟินกับพี่หมอกลอดต้นสน
บริเวณนี้กางเต๊นท์ได้นะคะ แต่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆค่ะ
ขากลับขี่ชิวๆดั่งอยู่ในซีรี่ย์เกาหลี ขี่สวนกับกะบะคันใหญ่ พี่คนขับมองแบบอึ้งๆ และคงคิดนังนี่มันมาคนเดียวได้ยังไง
และแบตกล้องก็ลาโลก ได้ภาพสุดท้ายที่ศาลาดุสิตาอีกรอบ
ลาก่อนทุ่งหญ้า แล้วหนูจะกลับมาหาใหม่
ซิ่งกลัมมอแบบรวดเดียวจบ กลับมากินข้าวมอโดยปลอดภัยครบสามสิบสอง ฮ่าๆๆ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น