ขอแก้ไขหัวข้อกระทู้นะคะ...ที่ขึ้นว่า SR ยังงงเลยว่ามาได้ยังไง กระทู้นี้ไม่ได้มีใครสนับสนุนนะคะ เที่ยวเอง จ่ายเอง รีวิวเองหมดค่ะ
สวัสดี Autumn ณ เซนได (仙台市)
สวัสดีค่ะ....กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่อยากลองเขียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยตั้งกระทู้เกี่ยวกับการทำอาหารขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว ฝากกระทู้แรกด้วยนะคะ....
http://ppantip.com/topic/33883276
กลับมาที่หัวข้อกระทู้ของเรากัน
--->> ก่อนอื่นขอบอกก่อนนะคะว่ากระทู้นี้ตั้งใจอยากจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ตัวเองได้มีโอกาสได้ไปในช่วงใบไม้แดงที่เซนได ช่วงวันที่ 30 ตุลาคม - 1 พฤษศจิกายน 2558 ส่วนเรื่องรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมคงไม่ได้ใส่รายละเอียดให้มากนัก สามารถหาได้จากตาม Website ทั่วไปได้เลยค่ะ
มาเริ่มกันเลยนะคะ
"เซนได" เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด 1 ใน 7 เมืองในประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองที่อยู่ในจังหวัด มิยางิ ตั้งอยู่ในหมู่เกาะฮอนชู หรือแถบโทโฮคุ ถ้าเป็นภาษาบ้านเราก็เรียกแถบนี้ว่า อีสานของญี่ปุ่น บางคนยังไม่รู้จักเมืองๆนี้ และบางคนก็รู้จักชื่อเมืองนี้จากเหตุการณ์เมื่อปี 2011 ที่เกิดซึนามิพัดถล่มประเทศญ่ปุ่น และก่อนหน้านั้นเคยมีสายการบินไทย บินตรงจากกรุงเทพมายังเซนไดด้วย แต่ตอนนี้ได้ยกเลิกเส้นทางนี้ไปแล้ว หลังจากเหตุการณ์ปี 2011 เป็นต้นมา ก็ได้มีการโฆษณา และประชาสัมพันธ์เมืองเซนไดให้ชาวต่างชาติรู้จักและมาเที่ยวมากขึ้น ซึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากไปเที่ยวที่เมืองนี้คือ เจอภาพใบไม้แดงจากกระทู้ที่แนะนำเมืองเซนไดมา จากกระทู้ของคนไทย และญี่ปุ่นด้วย ส่วนตัวเป็นคนชอบใบไม้แดงอยู่แล้ว เลยยิ่งทำให้อยากออกไปสัมผัสด้วยตาของตัวเองจริงๆ และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้อยากเขียนกระทู้ เพราะตัวเองก็ไปมาหลายเมืองแล้ว แต่เมืองอื่นๆก็เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกัน ข้อมูลก็มากพอสมควร แต่สำหรับเมืองนี้คือ มีคนเคยบอกเราว่า เซนไดมีอะไร ทำไมถึงอยากไป? คำถามนี้แหละ ที่ทำให้เกิดกระทู้นี้ขึ้นมา
เนื่องจากเราเป็นนักศึกษาในประเทศญี่ปุ่น พวกพาสตัวช่วยต่างๆก็คงไม่สามารถซื้อได้เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป ดังนั้นเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆไม่ขอลงรายละเอียดมากนะคะ เพราะเรานั่งบัสไปทั้งขาไปและขากลับ ส่วนที่พัก ไปพักกับเพื่อนที่เป็นนักศึกษาอยู่ที่เซนไดค่า
แต่ว่าในแต่ละวันเราออกเดินทางเที่ยวคนเดียวนะคะ
กล้องที่ใช้ในการถ่ายภาพครั้งนี้ เราใช้ Fujifilm X-M1 : FUJINON LENS XF35mmF1.4 R ; FUJINON XC16-50mmF3.5-5.6 OIS II และ XC LENS FUJINON LENS XC50-230mmF4.5-6.7 OIS ค่ะ แต่งภาพโดยใช้โปรแกรม VSCO และ Snapseed ในมือถือเลยค่ะ แอบบอกว่าขี้เกียจเอาลงคอมและใช้ Lr แต่ง แฮ่ๆๆๆๆๆ มาเริ่มกันเลยนะคะ
มาถึงสถานีเซนไดตอนเช้าวันที่ 30 ตุลาคม เวลา 7:00 ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น จากนั้นก็เดินมาที่สถานีรถไฟเซนไดเพื่อที่จะเอากระเป๋าฝากไว้ในล้อคเกอร์ และไปซื้อตั๋วเพื่อจะไป Naruko Gorge กันค่ะ
ช่วงใบไม้แดงจะมีรถไฟขบวนพิเศษที่ขับตรงไปยังสถานี Naruko Onsen เลย ปกติแล้วจะต้องนั่งรถไฟไปต่อเปลี่ยนสายเพื่อไปยังสถานี Naruko Onsen โดยรถไฟสายนี้มีชื่อว่า Resort Minori ซึ่งในปีนี้จะวิ่งถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน เท่านั้นค่ะ และใน 1 วัน รถจะวิ่งแค่วันละ 2 เที่ยว คือขาไปรอบ 9:13 และขากลับรอบ 16:02 อันนี้ตารางเวลาที่นั่งจากสถานีเซนได ไปสถานี Naruko Onsen นะคะ ส่วนรายละเอียดอื่นๆว่าวิ่งไปถึงไหนสอบถามได้ที่เจ้าหน้าที่สถานีเลยค่า
ซึ่งขบวนรถไฟสายนี้จะต้องนั่งแบบจองที่นั่งนะคะ ราคาเที่ยวละ 2,180 เยน โดยขาไปเราเลือกนั่งที่นั่งแบบเบาะนุ่มสบาย ส่วนขากลับเราขอนั่งอารมณ์วินเทจๆหน่อย ขอเรียกเก้าอี้แบบนี้ว่า ที่นั่งร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วกันนะคะ
ก่อนอื่นกองทัพต้องเดินด้วยท้องสินะ......
บังเอิญเดินหาร้านอาหารแถวๆสถานี ไปเจอร้านนึงอยู๋ใต้สถานี เห็นเค้าเขียนหน้าร้านว่า 50% Low Carbs Homemade Burger ร้านนี้มีชื่อว่าร้าน Freshness burger เราเลยเลือกสั่งเบอร์เกอร์ปลา สลัดอะโวคาโด้ และน้ำผักปั่นกับกล้วย แอบกระซิบบอกว่า อร่อยและราคาไม่แพงเลยนะคะ อีกทั้งบรรยากาศของร้านก็น่านั่งด้วยสิ
เอาหล่ะได้เวลาเดินทางกันแล้ว ก่อนอื่นออกจากตัวเมืองเซนได อากาศแอบดูดีนะ นึกดีใจว่า วันนี้ต้องได้ภาพดีๆแน่ๆ แต่พอรถไฟขับเข้าไปใกล้ภูเขาเรื่อยๆเท่านั้นแหละ เมฆครึ้มๆก้อนใหญ่ๆก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ สีหน้าเราเริ่มอ่อนลงๆ ตายแล้วๆ...นี่จะต้องผิดหวังกลับไปมั้ยนะ?? แล้วพอมาถึงสถานี Naruko Onsen ก็ต้องต่อบัสเพื่อที่จะไปยัง Naruko Gorge กัน ซึ่งข้อมูลต่างๆสามารถสอบถามได้ที่ Tourist Information ที่สถานีรถไฟเซนไดได้ค่ะ มีเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ และเจ้าหน้าที่น่ารักด้วยค่ะ
ลงจากบัสมาก็เดินมายังจุดถ่ายรูปกันเลย วันนั้นจะเรียกว่าโชคร้ายบนความโชคดีก็ได้นะคะ จากตอนแรกอุณหภูมิประมาณ 15-16 องศา แต่วันนั้นมีทั้งเมฆฝน ลม สลับกับแดด อุณภูมิก็ลดฮวบลงไป 8 องศาเลยทีเดียว แต่ไม่ยอมแพ้ค่ะ ร่มก็ไม่ได้พกไป ด้วยความที่หอบทั้งกระเป๋าและกล้องก็แทบจะสงสารหลังต้วเองแล้ว คือเจอทั้งฝน ทั้งลม ทั้งแดด พอแดดออกก็วิ่งออกจากที่พักมาถ่ายรูป พอฝนตกก็กลับเข้าไปหลบฝน มีโอเด้งช่วยชีวิตค่ะ ไม่งั้นคงแข็งตายบนเขา 55555+ ช่วงที่ไปนั้นใบไม้แดงที่นี่เลยช่วงพีคไปแล้วค่ะ แต่ยังหลงเหลือความงดงามให้เราได้ไปสัมผัสกันได้เหมือนเดิม ไม่พูดเยอะกันดีกว่าเนาะ ไปดูภาพกันเลยดีกว่า
ขอเอารูปตัวเองลงด้วย ภาพนี้กว่าจะได้มาต้องตั้งกล้อง และรีบวิ่งไปโพสท่าถ่ายรูป คนแถวนั้นคงหาว่าบ้า...55555+
และก็มาถึงภาพที่เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากจะมาถ่ายมุมนี้ ณ Naruko Gorge คือภาพที่รถไฟกำลังลอดเข้าไปในอุโมงค์ ก่อนอื่นขอเล่าเหตุการณ์กว่าจะได้มาขอภาพนี้นะคะ ตอนนั้นขณะที่อากาศลดลงเหลือ 8 องศา บวกกับฝนตกสลับแดด ทำให้ตัวเราทำใจไม่ถ่ายภาพรถไฟแล้ว ได้เฉพาะภาพรางที่ไม่มีรถไฟ แล้วตอนนั้นก็ไม่สนใจที่จะเช็คเวลารถไฟมาด้วย เลยตัดสินใจจะกลับ พอเดินย้อนกลับขึ้นมาทางสะพานสีขาว แดดกลับออกในขณะที่ฝนตกปรอยๆ เราเลยตัดสินใจยืนถ่ายภาพซักพัก และเจอคุณลุงคนหนึ่งมายืนตั้งกล้องรอบริเวณนั้นเหมือนกัน เราเลยตัดสินใจไปถามคุณลุงว่า รถไฟจะมากี่โมง ตอนนั้นเป็นเวลา 13:25 ซึ่งใกล้ถึงเวลาที่บัสขากลับเข้าไปสถานีรถไฟจะมาถึงตอนเวลา 13:28 คุณลุงบอกว่าไม่แน่ใจว่ารถไฟจะมาถึงอุโมงค์กี่โมง รู้แต่เวลาออกจากสถานี 13:59 เราเลยลังเลว่าจะเอายังไงดี เพราะถ้าพลาดบัสรอบนี้ ต้องรอไปอีกสองชั่วโมง แล้วตอนนั้นก็ไม่แน่ใจสภาพอากาศมั้ย เพราะยังมีเมฆครึ้มๆ เพราะถ้ารอรถไฟมา แล้วฝนยังตก เมฆยังครึ้ม ก็เหมือนเสียเวลาเปล่า....แต่อะไรดลใจก็ไม่รู้ สุดท้ายตัดสินใจยืนรอตรงสะพาน ยอมพลาดรถบัส พอถึงเวลา 13:59 เรากำลังจะเปลี่ยนเลนส์ลองมุมหลายๆมุม หลังจากนั้นไม่กี่นาที ฟ้าที่ครึ้มๆดันเปิด แดดออก และได้ยินเสียงหวอดของรถไฟดังขึ้น เราเปลี่ยนเลนส์ทันเวลา ด้วยความตื่นเต้น รีบยกกล้องถ่ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่สนใจว่าภาพที่ออกมาจะเป็นยังไง แล้วรถไฟก็รู้หน้าที่มาก ค่อยๆขับช้าๆเข้าไปในอุโมงค์....พอรถไฟไปแล้ว คุณป้าคนญี่ปุ่นมาถามเราว่า ถ่ายทันมั้ย?? เราหันไปมองหน้าคุณป้าแล้วยิ้มอย่างดีใจว่า ทันค่า...ตอนนั้นน้ำตาจะไหล คือคิดว่านี่ชั้นบ้าขนาดนั้นเชียวเหรอ? แล้วหลังจากนั้นไม่กี่นาที ฝนก็กลับมาตกอีกครั้ง คราวนี้ตกหนักและครึ้มยาวไปจนค่ำเลย ถือว่าเป็นความโชคดีบนความโชคร้ายนิดๆแล้วกันนะ ^^
หลังจากนั้นก็กลับเข้าไปเจอเพื่อนที่เป็นนักเรียนไทยที่เซนได เราจะไปตามหา Costume เพื่อใส่ไปปาร์ตี้ฮาโลวีนที่เซนไดกันในวันถัดไปกันค่ะ
วันที่ 2.....เริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งที่เราไปเที่ยวเมืองไหนๆต้องอดใจไม่ไหวตามหาทุกที นั่นคือ แก้ว Starbucks นั่นเอง ชาร์ตพลังด้วย Latte ร้อนๆ ก่อนเที่ยวอีกวัน
จากนั้นเราก็ไปยัง Tourist Information อีกครั้ง ถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการเดินทางไปวัด Jogi Nyorai (วัด Saihoji) พอได้ข้อมูลการเดินทางพร้อมกับตารางรถบัสแล้วก็ไปกันเลยค่ะ ซึ่งเราจะต้องไปขึ้นรถบัสที่สถานีบัสหน้าสถานีรถไฟเซนไดเลย ชานชาลาที่ 10 นั่งไปจนสุดสาย รถบัสออกทุกๆ 1 ชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางไปถึงวัดประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที ค่ารถบัสที่ขึ้นในมอนิเตอร์จะโชว์ที่ 1140 เยน ซึ่งถ้าเรามีเงินสด เราจะจ่ายแค่ 1040 เยน โดยนำเงินสดไปซื้อบัตรบัสกับคนขับ ซึ่งคนขับเค้าจะให้บัตรบัสมาเพื่อให้เราเอาบัตรไปสอดใส่เครื่องคิดเงินอีกทีค่ะ ขอบอกว่าตลอดสองข้างทางที่ไปวัด บอกได้คำเดียวว่า สวยมากกกกกกกกกกกกกกกก....มีมุมน่าถ่ายรูปเยอะแยะมากๆๆ เสียดายแค่เรานั่งรถประจำทางมา ถ้าใครมีโอกาสขับรถมาเองน่าจะแวะจอดถ่ายรูปได้หลายๆจุดเลยค่ะ แล้ววันนั้นอากาศก็ไม่ค่อยเป็นใจด้วย ภาวนาว่าเมื่อขึ้นไปถึงวัด ฝนคงจะไม่ตกนะ
ข้อมูลคร่าวๆของวัด Jogi Nyorai (วัด Saihoji) นะคะ วัดโจกิ เนียวไร ไซโฮจิ (Jogi Nyorai Saiho-ji Temple) ตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าเฮเขะ-โอฉิอุโดะ-โนะซะโตะหรือที่หลบซ่อนของตระกูลไทระในสมัยกาลก่อน ที่นี่มีพระพุทธรูปเนียวไรซึ่งเชื่อกันว่าจะบันดาลให้ความปรารถนาครั้งใหญ่ที่สุดของผู้อธิษฐานได้สมหวังซึ่งทำให้มีผู้มานมัสการกันมากไม่ขาดสาย ผู้มามักอธิษฐานขอให้มีโชคในเรื่องคู่ครอง ขอให้มีบุตร และให้คลอดลูกง่าย จุดที่น่าสนใจของวัดนี้คือ วิหารซะดะโยชิ โบสถ์ชินฮ็องโด เจดีย์ห้าชั้น ที่นี่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ (เร็นริ โนะ เคยะขิ) ซึ่งเชื่อกันว่าให้โชคในเรื่องเนื้อคู่
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://travel.thaiza.com/%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%B4-%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B9%82%E0%B8%AE%E0%B8%88%E0%B8%B4/184144/
ส่วนภาพนี้คือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เค้าเชื่อกันว่า เป็นต้นไม้แห่งชีวิตคู่และการแต่งงาน
[img]http://f.ptcdn.info/102/037/000/nxbs9haih20xAZBvHuL-o.jpg[/i
[SR] สองเท้าตามรอยใบไม้แดง ณ เซนได (仙台市)
สวัสดีค่ะ....กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่อยากลองเขียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยตั้งกระทู้เกี่ยวกับการทำอาหารขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว ฝากกระทู้แรกด้วยนะคะ.... http://ppantip.com/topic/33883276
กลับมาที่หัวข้อกระทู้ของเรากัน
--->> ก่อนอื่นขอบอกก่อนนะคะว่ากระทู้นี้ตั้งใจอยากจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ตัวเองได้มีโอกาสได้ไปในช่วงใบไม้แดงที่เซนได ช่วงวันที่ 30 ตุลาคม - 1 พฤษศจิกายน 2558 ส่วนเรื่องรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมคงไม่ได้ใส่รายละเอียดให้มากนัก สามารถหาได้จากตาม Website ทั่วไปได้เลยค่ะ
มาเริ่มกันเลยนะคะ
"เซนได" เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด 1 ใน 7 เมืองในประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองที่อยู่ในจังหวัด มิยางิ ตั้งอยู่ในหมู่เกาะฮอนชู หรือแถบโทโฮคุ ถ้าเป็นภาษาบ้านเราก็เรียกแถบนี้ว่า อีสานของญี่ปุ่น บางคนยังไม่รู้จักเมืองๆนี้ และบางคนก็รู้จักชื่อเมืองนี้จากเหตุการณ์เมื่อปี 2011 ที่เกิดซึนามิพัดถล่มประเทศญ่ปุ่น และก่อนหน้านั้นเคยมีสายการบินไทย บินตรงจากกรุงเทพมายังเซนไดด้วย แต่ตอนนี้ได้ยกเลิกเส้นทางนี้ไปแล้ว หลังจากเหตุการณ์ปี 2011 เป็นต้นมา ก็ได้มีการโฆษณา และประชาสัมพันธ์เมืองเซนไดให้ชาวต่างชาติรู้จักและมาเที่ยวมากขึ้น ซึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากไปเที่ยวที่เมืองนี้คือ เจอภาพใบไม้แดงจากกระทู้ที่แนะนำเมืองเซนไดมา จากกระทู้ของคนไทย และญี่ปุ่นด้วย ส่วนตัวเป็นคนชอบใบไม้แดงอยู่แล้ว เลยยิ่งทำให้อยากออกไปสัมผัสด้วยตาของตัวเองจริงๆ และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้อยากเขียนกระทู้ เพราะตัวเองก็ไปมาหลายเมืองแล้ว แต่เมืองอื่นๆก็เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกัน ข้อมูลก็มากพอสมควร แต่สำหรับเมืองนี้คือ มีคนเคยบอกเราว่า เซนไดมีอะไร ทำไมถึงอยากไป? คำถามนี้แหละ ที่ทำให้เกิดกระทู้นี้ขึ้นมา
เนื่องจากเราเป็นนักศึกษาในประเทศญี่ปุ่น พวกพาสตัวช่วยต่างๆก็คงไม่สามารถซื้อได้เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป ดังนั้นเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆไม่ขอลงรายละเอียดมากนะคะ เพราะเรานั่งบัสไปทั้งขาไปและขากลับ ส่วนที่พัก ไปพักกับเพื่อนที่เป็นนักศึกษาอยู่ที่เซนไดค่า แต่ว่าในแต่ละวันเราออกเดินทางเที่ยวคนเดียวนะคะ
กล้องที่ใช้ในการถ่ายภาพครั้งนี้ เราใช้ Fujifilm X-M1 : FUJINON LENS XF35mmF1.4 R ; FUJINON XC16-50mmF3.5-5.6 OIS II และ XC LENS FUJINON LENS XC50-230mmF4.5-6.7 OIS ค่ะ แต่งภาพโดยใช้โปรแกรม VSCO และ Snapseed ในมือถือเลยค่ะ แอบบอกว่าขี้เกียจเอาลงคอมและใช้ Lr แต่ง แฮ่ๆๆๆๆๆ มาเริ่มกันเลยนะคะ
มาถึงสถานีเซนไดตอนเช้าวันที่ 30 ตุลาคม เวลา 7:00 ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น จากนั้นก็เดินมาที่สถานีรถไฟเซนไดเพื่อที่จะเอากระเป๋าฝากไว้ในล้อคเกอร์ และไปซื้อตั๋วเพื่อจะไป Naruko Gorge กันค่ะ
ช่วงใบไม้แดงจะมีรถไฟขบวนพิเศษที่ขับตรงไปยังสถานี Naruko Onsen เลย ปกติแล้วจะต้องนั่งรถไฟไปต่อเปลี่ยนสายเพื่อไปยังสถานี Naruko Onsen โดยรถไฟสายนี้มีชื่อว่า Resort Minori ซึ่งในปีนี้จะวิ่งถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน เท่านั้นค่ะ และใน 1 วัน รถจะวิ่งแค่วันละ 2 เที่ยว คือขาไปรอบ 9:13 และขากลับรอบ 16:02 อันนี้ตารางเวลาที่นั่งจากสถานีเซนได ไปสถานี Naruko Onsen นะคะ ส่วนรายละเอียดอื่นๆว่าวิ่งไปถึงไหนสอบถามได้ที่เจ้าหน้าที่สถานีเลยค่า
ซึ่งขบวนรถไฟสายนี้จะต้องนั่งแบบจองที่นั่งนะคะ ราคาเที่ยวละ 2,180 เยน โดยขาไปเราเลือกนั่งที่นั่งแบบเบาะนุ่มสบาย ส่วนขากลับเราขอนั่งอารมณ์วินเทจๆหน่อย ขอเรียกเก้าอี้แบบนี้ว่า ที่นั่งร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วกันนะคะ
ก่อนอื่นกองทัพต้องเดินด้วยท้องสินะ......
บังเอิญเดินหาร้านอาหารแถวๆสถานี ไปเจอร้านนึงอยู๋ใต้สถานี เห็นเค้าเขียนหน้าร้านว่า 50% Low Carbs Homemade Burger ร้านนี้มีชื่อว่าร้าน Freshness burger เราเลยเลือกสั่งเบอร์เกอร์ปลา สลัดอะโวคาโด้ และน้ำผักปั่นกับกล้วย แอบกระซิบบอกว่า อร่อยและราคาไม่แพงเลยนะคะ อีกทั้งบรรยากาศของร้านก็น่านั่งด้วยสิ
เอาหล่ะได้เวลาเดินทางกันแล้ว ก่อนอื่นออกจากตัวเมืองเซนได อากาศแอบดูดีนะ นึกดีใจว่า วันนี้ต้องได้ภาพดีๆแน่ๆ แต่พอรถไฟขับเข้าไปใกล้ภูเขาเรื่อยๆเท่านั้นแหละ เมฆครึ้มๆก้อนใหญ่ๆก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ สีหน้าเราเริ่มอ่อนลงๆ ตายแล้วๆ...นี่จะต้องผิดหวังกลับไปมั้ยนะ?? แล้วพอมาถึงสถานี Naruko Onsen ก็ต้องต่อบัสเพื่อที่จะไปยัง Naruko Gorge กัน ซึ่งข้อมูลต่างๆสามารถสอบถามได้ที่ Tourist Information ที่สถานีรถไฟเซนไดได้ค่ะ มีเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ และเจ้าหน้าที่น่ารักด้วยค่ะ
ลงจากบัสมาก็เดินมายังจุดถ่ายรูปกันเลย วันนั้นจะเรียกว่าโชคร้ายบนความโชคดีก็ได้นะคะ จากตอนแรกอุณหภูมิประมาณ 15-16 องศา แต่วันนั้นมีทั้งเมฆฝน ลม สลับกับแดด อุณภูมิก็ลดฮวบลงไป 8 องศาเลยทีเดียว แต่ไม่ยอมแพ้ค่ะ ร่มก็ไม่ได้พกไป ด้วยความที่หอบทั้งกระเป๋าและกล้องก็แทบจะสงสารหลังต้วเองแล้ว คือเจอทั้งฝน ทั้งลม ทั้งแดด พอแดดออกก็วิ่งออกจากที่พักมาถ่ายรูป พอฝนตกก็กลับเข้าไปหลบฝน มีโอเด้งช่วยชีวิตค่ะ ไม่งั้นคงแข็งตายบนเขา 55555+ ช่วงที่ไปนั้นใบไม้แดงที่นี่เลยช่วงพีคไปแล้วค่ะ แต่ยังหลงเหลือความงดงามให้เราได้ไปสัมผัสกันได้เหมือนเดิม ไม่พูดเยอะกันดีกว่าเนาะ ไปดูภาพกันเลยดีกว่า
ขอเอารูปตัวเองลงด้วย ภาพนี้กว่าจะได้มาต้องตั้งกล้อง และรีบวิ่งไปโพสท่าถ่ายรูป คนแถวนั้นคงหาว่าบ้า...55555+
และก็มาถึงภาพที่เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากจะมาถ่ายมุมนี้ ณ Naruko Gorge คือภาพที่รถไฟกำลังลอดเข้าไปในอุโมงค์ ก่อนอื่นขอเล่าเหตุการณ์กว่าจะได้มาขอภาพนี้นะคะ ตอนนั้นขณะที่อากาศลดลงเหลือ 8 องศา บวกกับฝนตกสลับแดด ทำให้ตัวเราทำใจไม่ถ่ายภาพรถไฟแล้ว ได้เฉพาะภาพรางที่ไม่มีรถไฟ แล้วตอนนั้นก็ไม่สนใจที่จะเช็คเวลารถไฟมาด้วย เลยตัดสินใจจะกลับ พอเดินย้อนกลับขึ้นมาทางสะพานสีขาว แดดกลับออกในขณะที่ฝนตกปรอยๆ เราเลยตัดสินใจยืนถ่ายภาพซักพัก และเจอคุณลุงคนหนึ่งมายืนตั้งกล้องรอบริเวณนั้นเหมือนกัน เราเลยตัดสินใจไปถามคุณลุงว่า รถไฟจะมากี่โมง ตอนนั้นเป็นเวลา 13:25 ซึ่งใกล้ถึงเวลาที่บัสขากลับเข้าไปสถานีรถไฟจะมาถึงตอนเวลา 13:28 คุณลุงบอกว่าไม่แน่ใจว่ารถไฟจะมาถึงอุโมงค์กี่โมง รู้แต่เวลาออกจากสถานี 13:59 เราเลยลังเลว่าจะเอายังไงดี เพราะถ้าพลาดบัสรอบนี้ ต้องรอไปอีกสองชั่วโมง แล้วตอนนั้นก็ไม่แน่ใจสภาพอากาศมั้ย เพราะยังมีเมฆครึ้มๆ เพราะถ้ารอรถไฟมา แล้วฝนยังตก เมฆยังครึ้ม ก็เหมือนเสียเวลาเปล่า....แต่อะไรดลใจก็ไม่รู้ สุดท้ายตัดสินใจยืนรอตรงสะพาน ยอมพลาดรถบัส พอถึงเวลา 13:59 เรากำลังจะเปลี่ยนเลนส์ลองมุมหลายๆมุม หลังจากนั้นไม่กี่นาที ฟ้าที่ครึ้มๆดันเปิด แดดออก และได้ยินเสียงหวอดของรถไฟดังขึ้น เราเปลี่ยนเลนส์ทันเวลา ด้วยความตื่นเต้น รีบยกกล้องถ่ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่สนใจว่าภาพที่ออกมาจะเป็นยังไง แล้วรถไฟก็รู้หน้าที่มาก ค่อยๆขับช้าๆเข้าไปในอุโมงค์....พอรถไฟไปแล้ว คุณป้าคนญี่ปุ่นมาถามเราว่า ถ่ายทันมั้ย?? เราหันไปมองหน้าคุณป้าแล้วยิ้มอย่างดีใจว่า ทันค่า...ตอนนั้นน้ำตาจะไหล คือคิดว่านี่ชั้นบ้าขนาดนั้นเชียวเหรอ? แล้วหลังจากนั้นไม่กี่นาที ฝนก็กลับมาตกอีกครั้ง คราวนี้ตกหนักและครึ้มยาวไปจนค่ำเลย ถือว่าเป็นความโชคดีบนความโชคร้ายนิดๆแล้วกันนะ ^^
หลังจากนั้นก็กลับเข้าไปเจอเพื่อนที่เป็นนักเรียนไทยที่เซนได เราจะไปตามหา Costume เพื่อใส่ไปปาร์ตี้ฮาโลวีนที่เซนไดกันในวันถัดไปกันค่ะ
วันที่ 2.....เริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งที่เราไปเที่ยวเมืองไหนๆต้องอดใจไม่ไหวตามหาทุกที นั่นคือ แก้ว Starbucks นั่นเอง ชาร์ตพลังด้วย Latte ร้อนๆ ก่อนเที่ยวอีกวัน
จากนั้นเราก็ไปยัง Tourist Information อีกครั้ง ถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการเดินทางไปวัด Jogi Nyorai (วัด Saihoji) พอได้ข้อมูลการเดินทางพร้อมกับตารางรถบัสแล้วก็ไปกันเลยค่ะ ซึ่งเราจะต้องไปขึ้นรถบัสที่สถานีบัสหน้าสถานีรถไฟเซนไดเลย ชานชาลาที่ 10 นั่งไปจนสุดสาย รถบัสออกทุกๆ 1 ชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางไปถึงวัดประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที ค่ารถบัสที่ขึ้นในมอนิเตอร์จะโชว์ที่ 1140 เยน ซึ่งถ้าเรามีเงินสด เราจะจ่ายแค่ 1040 เยน โดยนำเงินสดไปซื้อบัตรบัสกับคนขับ ซึ่งคนขับเค้าจะให้บัตรบัสมาเพื่อให้เราเอาบัตรไปสอดใส่เครื่องคิดเงินอีกทีค่ะ ขอบอกว่าตลอดสองข้างทางที่ไปวัด บอกได้คำเดียวว่า สวยมากกกกกกกกกกกกกกกก....มีมุมน่าถ่ายรูปเยอะแยะมากๆๆ เสียดายแค่เรานั่งรถประจำทางมา ถ้าใครมีโอกาสขับรถมาเองน่าจะแวะจอดถ่ายรูปได้หลายๆจุดเลยค่ะ แล้ววันนั้นอากาศก็ไม่ค่อยเป็นใจด้วย ภาวนาว่าเมื่อขึ้นไปถึงวัด ฝนคงจะไม่ตกนะ
ข้อมูลคร่าวๆของวัด Jogi Nyorai (วัด Saihoji) นะคะ วัดโจกิ เนียวไร ไซโฮจิ (Jogi Nyorai Saiho-ji Temple) ตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าเฮเขะ-โอฉิอุโดะ-โนะซะโตะหรือที่หลบซ่อนของตระกูลไทระในสมัยกาลก่อน ที่นี่มีพระพุทธรูปเนียวไรซึ่งเชื่อกันว่าจะบันดาลให้ความปรารถนาครั้งใหญ่ที่สุดของผู้อธิษฐานได้สมหวังซึ่งทำให้มีผู้มานมัสการกันมากไม่ขาดสาย ผู้มามักอธิษฐานขอให้มีโชคในเรื่องคู่ครอง ขอให้มีบุตร และให้คลอดลูกง่าย จุดที่น่าสนใจของวัดนี้คือ วิหารซะดะโยชิ โบสถ์ชินฮ็องโด เจดีย์ห้าชั้น ที่นี่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ (เร็นริ โนะ เคยะขิ) ซึ่งเชื่อกันว่าให้โชคในเรื่องเนื้อคู่
ขอบคุณข้อมูลจาก http://travel.thaiza.com/%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%B4-%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B9%82%E0%B8%AE%E0%B8%88%E0%B8%B4/184144/
ส่วนภาพนี้คือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เค้าเชื่อกันว่า เป็นต้นไม้แห่งชีวิตคู่และการแต่งงาน
[img]http://f.ptcdn.info/102/037/000/nxbs9haih20xAZBvHuL-o.jpg[/i