อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นอุทยานแห่งชาติที่จัดตั้งเป็นแห่งที่สองต่อจากเขาใหญ่ แต่ความงามนั้น นักท่องเที่ยวทั้งหลายต่างยกให้ไม่เป็นสองรองใคร ด้วยการจะเดินทางขึ้นไป ไม่ใช้เพียงอยากไปเท่านั้น แต่ต้องพิชิตระยะทางขึ้นเขา กว่า 5 กิโลเมตรผ่านซำต่าง ๆ และต้องเดินบนทางเรียบต่ออีกกว่า 3 กิโลเมตร เพื่อเข้าไปที่พัก และการชมธรรมชาติที่นี่ ก็ต้องเดินหรือเช่าจักรยานปั่น (เฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น) เพื่อจะเข้าไปชมความงามของธรรมชาติ ที่นี่มีหน้าผาหลายแห่งที่สวยงาม เป็นสถานที่เหมาะแก่ผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงต้นเดือนธันวาคมใบเมเปิ้ลจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดงช่วยแต่งแต้มสีสันให้กับธรรมชาติได้อย่างงดงาม
สำหรับกระทู้นี้นำมาฝากสำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวเดินทางไปในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อที่จะชมความงามของธรรมชาติบนภูกระดึง ผมไม่ขอพูดถึงวิธีการเดินทาง การเตรียมตัว หรืออาหารการกินบนภูกระดึงใด ๆ เนื่องจากสามารถค้นหาได้ทั่วไปตามกระทู้รีวิวครับ แต่ยินดีให้ข้อมูลหากมีข้อสงสัยครับ โดยจะขอเน้นการนำเสนอสีสันอันงดงามบนภูกระดึงในช่วงที่ผมได้เดินทางมาฝากกัน ระยะเวลาที่ผมไปคือ 3 วัน 2 คืน
ขอเปิดภาพแรกด้วยต้นเมเปิ้ลที่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงทั้งต้นครับ
เมื่อเราเริ่มเดินขึ้นภูกระดึงก็จะได้พบกับวิถีชีวิตของลูกหาบที่ก็จะเดินขึ้นไปพร้อม ๆ กับเหล่านักเดินทาง ลูกหาบคนหนึ่ง จะแบกได้ เที่ยวละ 50-60 กก.ครับ
ข้ามส่วนที่เดินเหนื่อย ๆ ไป เมื่อมาถึงด้านบนก็จะต้องเดินบนทางเรียบต่อเข้าไปอีก
ต้นสนต้นนี้ตั้งตระหง่านอยู่กลางทางเดิน จึงเก็บภาพนี้มา
ทางเดินบางช่วงนั้นก็เต็มไปด้วยทราย ที่เต็มไปด้วยรอยเท้าของนักท่องเที่ยว และรถเข็นสัมภาระ การมาท่องเที่ยวธรรมชาติควรฝากไว้เพียงรอยเท้า และเก็บเพียงภาพถ่ายกลับมา
เมื่อเก็บของพักเหนื่อยและจัดแจงที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปที่ผาหมากดูกกันเลยครับ ซึ่งเป็นการเดินทางเพื่อชมดวงอาทิตย์ตกดิน
ระหว่างทางแสงยามเย็นเริ่มสาดส่องผ่านป่าสนอันงดงาม
ณ จุดนี้คือ เพิงขายอาหาร สำหรับผู้ที่ต้องการถ่ายภาพเสร็จแล้วไม่ต้องการกลับไปกินที่ศูนย์บริการที่บริเวณที่พัก ก็สามารถหาอะไรทานที่นี่ได้เลย เพราะระยะทางกลับจาก ผาหมากดูกไปศูนย์บริการนั้น สองกิโลเมตรกว่า ๆ ครับ
แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่อง ณ ผาหมากดูก
นักท่องเที่ยวต่างพากันมาจับจองพื้นที่ในการชมดวงอาทิตย์ตกดินกัน
ทุ่งดอกไม้อันงดงาม ณ ผาหมากดูกรับแสงสุดท้ายของวัน
แม้ตะวันจะลับขอบฟ้า แต่อย่ารีบกลับ สามารถถ่ายภาพเงามืดสวย ๆ กลับมาได้อีกครับ
เป็นอันจบวันแรกของการเดินทางท่องเที่ยวบนภูกระดึง หลังจากเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนเตรียมตัวตื่นเช้าเพื่อไปชมดวงอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นต่อไป โดยจะมีเจ้าหน้าที่อุทยานนำทางในการเดินไปชม
แสงแรกยามเช้า ณ ผานกแอ่น
ในวันที่ไปได้ชมทะเลหมอกยามเช้าไปพร้อมกับแสงแรกของวันอันงดงามเป็นรางวัลสำหรับการตื่นเช้า
ทะเลหมอก ณ ผานกแอ่น
หลังจากที่ชมทะเลหมอกและชมดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็กลับมาทานอาหารเช้า เตรียมของสำหรับเดินเที่ยวชมธรรมชาติกันต่อไป ซึ่งจุดหลัก ๆ ก็ต้องไปที่น้ำตกถ้ำใหญ่ที่ใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีในโซนนี้เยอะ
ซึ่งเราก็จะผ่านจุดชมวิวหลาย ๆ จุดเข้ามาและแล้วเมื่อเริ่มเข้าโซนป่าชั้นในเราก็จะเริ่มใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสี ร่วงอยู่เต็มพื้นไปหมด
ณ จุดนี้ขอให้ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับเมเปิ้ลในประเทศไทยกันสักหน่อยครับ
ใบเมเปิ้ลในประเทศไทยลักษณะเป็นเมเปิ้ลสามแฉก หากเป็นต่างประเทศส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะมี 5 แฉก ในประเทศไทยต้นเมเปิ้ลจะพบในเขตพื้นที่ภูเขาที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1200 เมตรขึ้นไป ชื่อในภาษาไทยของต้นเมเปิ้ลคือ "ก่วม" มาจากภาษาละตินที่แปลว่าแหลมคม ซึ่งปลายของใบจะมีลักษณะเป็นแฉกแหลม ๆ สำหรับ "ก่วมแดง" ที่ขึ้นที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นแหล่งที่พบต้นเมเปิ้ลเมื่อผลัดใบจะเปลี่ยนเป็นสีแดง มีความสวยงามเป็นอย่างมาก
ส่วนพื้นที่อื่น ๆ อย่างเช่นป่าสนวัดจันทร์ที่เชียงใหม่ก็มีเมเปิ้ลเหมือนกัน หรืออย่าง โครงการหลวงที่สวนสิริภูมิที่ดอยอินทนนท์ก็มีเหมือนกัน แต่ตอนผลัดใบสีจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองกับสีส้ม และน่าจะเป็นคนละสายพันธุ์กับบนภูกระดึง
และแล้วผมก็เดินทางมาถึงโซนน้ำตกถ้ำใหญ่ จึงเก็บภาพเมเปิ้ลในมุมมองต่าง ๆ มาฝากกันครับ
รูปนี้จัดฉากนะครับ เอามาวางบนท่อนซุงที่เต็มไปด้วยสีเขียวของมอส
เมเปิ้ลต้นเดี่ยวที่ใบเริ่มร่วงโรยเต็มบริเวณน้ำตกถ้ำใหญ่
ในป่าค่อนข้างมืดนะครับ แม้จะมีแสงสว่างก็ส่องไม่ค่อยทั่วถึง หลังจากที่เต็มอิ่มกับสีสันของสีแดงจากใบเมเปิ้ลก็ได้เวลาเดินทางต่อไปที่ผาต่าง ๆ กัน
ระหว่างทางเดินไปสระอโนดาดก็เจอต้นไม้โอบเหมือนอุโมงค์สวย ๆ แบบนี้
สระอโนดาด ที่จริงจุดนี้ถ่ายดวงอาทิตย์ตกดินสวยมาก คิดถึงตอนแสงสะท้อนน้ำแล้วอยากมาอีกจริง ๆ แต่ก็อันตรายครับเพราะป้ายเขียนบอกไว้ว่าเป็นโซนที่ช้างออกมาหลังบ่ายสาม
ระหว่างทางก็อย่าลืมเก็บภาพดอกไม้เล็ก ๆ สวยงามที่ขึ้นอยู่ทั่วไปหมดด้วยนะครับ
รูปนี้ดูไปดูมาเหมือนทุ่งหญ้าสะวันนาเลยลองเก็บ ๆ มาดู ระหว่างทางไปผาเหยียบเมฆ ซึ่งคำนวณจากเวลาแล้วคงไปผาหล่มสักไม่ทันครับ จึงตัดสินใจที่จะไปจุดหมายใหม่คือ ผานาน้อยแทน ระหว่างทางก็ลุ้นว่าจะเห็นดวงอาทิตย์ตกดินหรือไม่ เพราะฟ้าครึ้มเหลือเกิน
จากผาเหยียบเมฆก็เพียงแวะพักเหนื่อยเท่านั้น จึงเร่งไปที่ผานาน้อยเพราะจะเห็นดวงอาทิตย์จากทิศตะวันตกอย่างชัดเจนและแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ จากภาพ เมฆวางตัวเป็นชั้น ซึ่งดวงอาทิตย์ก็จะค่อย ๆ ตกลงมาให้เห็น ระหว่างรอเลยเก็บภาพเงามืดมาอีกภาพก่อน
นับได้ว่าเป็นภาพดวงอาทิตย์ตกดินที่แปลกตาไปอีกแบบครับที่ค่อย ๆ ลอยผ่านชั้นเมฆ
และนี่ก็เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่จะกลับเข้าที่พักแล้วเดินทางกลับในเช้าวันถัดไปครับ
สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่าหากได้ไปที่อุทยานแห่งชาติหรือธรรมชาติใด ๆ ต้องอ่านป้ายและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยนะครับ
สีสันอันงดงาม ณ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
สำหรับกระทู้นี้นำมาฝากสำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวเดินทางไปในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อที่จะชมความงามของธรรมชาติบนภูกระดึง ผมไม่ขอพูดถึงวิธีการเดินทาง การเตรียมตัว หรืออาหารการกินบนภูกระดึงใด ๆ เนื่องจากสามารถค้นหาได้ทั่วไปตามกระทู้รีวิวครับ แต่ยินดีให้ข้อมูลหากมีข้อสงสัยครับ โดยจะขอเน้นการนำเสนอสีสันอันงดงามบนภูกระดึงในช่วงที่ผมได้เดินทางมาฝากกัน ระยะเวลาที่ผมไปคือ 3 วัน 2 คืน
ขอเปิดภาพแรกด้วยต้นเมเปิ้ลที่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงทั้งต้นครับ
เมื่อเราเริ่มเดินขึ้นภูกระดึงก็จะได้พบกับวิถีชีวิตของลูกหาบที่ก็จะเดินขึ้นไปพร้อม ๆ กับเหล่านักเดินทาง ลูกหาบคนหนึ่ง จะแบกได้ เที่ยวละ 50-60 กก.ครับ
ข้ามส่วนที่เดินเหนื่อย ๆ ไป เมื่อมาถึงด้านบนก็จะต้องเดินบนทางเรียบต่อเข้าไปอีก
ต้นสนต้นนี้ตั้งตระหง่านอยู่กลางทางเดิน จึงเก็บภาพนี้มา
ทางเดินบางช่วงนั้นก็เต็มไปด้วยทราย ที่เต็มไปด้วยรอยเท้าของนักท่องเที่ยว และรถเข็นสัมภาระ การมาท่องเที่ยวธรรมชาติควรฝากไว้เพียงรอยเท้า และเก็บเพียงภาพถ่ายกลับมา
เมื่อเก็บของพักเหนื่อยและจัดแจงที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปที่ผาหมากดูกกันเลยครับ ซึ่งเป็นการเดินทางเพื่อชมดวงอาทิตย์ตกดิน
ระหว่างทางแสงยามเย็นเริ่มสาดส่องผ่านป่าสนอันงดงาม
ณ จุดนี้คือ เพิงขายอาหาร สำหรับผู้ที่ต้องการถ่ายภาพเสร็จแล้วไม่ต้องการกลับไปกินที่ศูนย์บริการที่บริเวณที่พัก ก็สามารถหาอะไรทานที่นี่ได้เลย เพราะระยะทางกลับจาก ผาหมากดูกไปศูนย์บริการนั้น สองกิโลเมตรกว่า ๆ ครับ
แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่อง ณ ผาหมากดูก
นักท่องเที่ยวต่างพากันมาจับจองพื้นที่ในการชมดวงอาทิตย์ตกดินกัน
ทุ่งดอกไม้อันงดงาม ณ ผาหมากดูกรับแสงสุดท้ายของวัน
แม้ตะวันจะลับขอบฟ้า แต่อย่ารีบกลับ สามารถถ่ายภาพเงามืดสวย ๆ กลับมาได้อีกครับ
เป็นอันจบวันแรกของการเดินทางท่องเที่ยวบนภูกระดึง หลังจากเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนเตรียมตัวตื่นเช้าเพื่อไปชมดวงอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นต่อไป โดยจะมีเจ้าหน้าที่อุทยานนำทางในการเดินไปชม
แสงแรกยามเช้า ณ ผานกแอ่น
ในวันที่ไปได้ชมทะเลหมอกยามเช้าไปพร้อมกับแสงแรกของวันอันงดงามเป็นรางวัลสำหรับการตื่นเช้า
ทะเลหมอก ณ ผานกแอ่น
หลังจากที่ชมทะเลหมอกและชมดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็กลับมาทานอาหารเช้า เตรียมของสำหรับเดินเที่ยวชมธรรมชาติกันต่อไป ซึ่งจุดหลัก ๆ ก็ต้องไปที่น้ำตกถ้ำใหญ่ที่ใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีในโซนนี้เยอะ
ซึ่งเราก็จะผ่านจุดชมวิวหลาย ๆ จุดเข้ามาและแล้วเมื่อเริ่มเข้าโซนป่าชั้นในเราก็จะเริ่มใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสี ร่วงอยู่เต็มพื้นไปหมด
ณ จุดนี้ขอให้ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับเมเปิ้ลในประเทศไทยกันสักหน่อยครับ
ใบเมเปิ้ลในประเทศไทยลักษณะเป็นเมเปิ้ลสามแฉก หากเป็นต่างประเทศส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะมี 5 แฉก ในประเทศไทยต้นเมเปิ้ลจะพบในเขตพื้นที่ภูเขาที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1200 เมตรขึ้นไป ชื่อในภาษาไทยของต้นเมเปิ้ลคือ "ก่วม" มาจากภาษาละตินที่แปลว่าแหลมคม ซึ่งปลายของใบจะมีลักษณะเป็นแฉกแหลม ๆ สำหรับ "ก่วมแดง" ที่ขึ้นที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นแหล่งที่พบต้นเมเปิ้ลเมื่อผลัดใบจะเปลี่ยนเป็นสีแดง มีความสวยงามเป็นอย่างมาก
ส่วนพื้นที่อื่น ๆ อย่างเช่นป่าสนวัดจันทร์ที่เชียงใหม่ก็มีเมเปิ้ลเหมือนกัน หรืออย่าง โครงการหลวงที่สวนสิริภูมิที่ดอยอินทนนท์ก็มีเหมือนกัน แต่ตอนผลัดใบสีจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองกับสีส้ม และน่าจะเป็นคนละสายพันธุ์กับบนภูกระดึง
และแล้วผมก็เดินทางมาถึงโซนน้ำตกถ้ำใหญ่ จึงเก็บภาพเมเปิ้ลในมุมมองต่าง ๆ มาฝากกันครับ
รูปนี้จัดฉากนะครับ เอามาวางบนท่อนซุงที่เต็มไปด้วยสีเขียวของมอส
เมเปิ้ลต้นเดี่ยวที่ใบเริ่มร่วงโรยเต็มบริเวณน้ำตกถ้ำใหญ่
ในป่าค่อนข้างมืดนะครับ แม้จะมีแสงสว่างก็ส่องไม่ค่อยทั่วถึง หลังจากที่เต็มอิ่มกับสีสันของสีแดงจากใบเมเปิ้ลก็ได้เวลาเดินทางต่อไปที่ผาต่าง ๆ กัน
ระหว่างทางเดินไปสระอโนดาดก็เจอต้นไม้โอบเหมือนอุโมงค์สวย ๆ แบบนี้
สระอโนดาด ที่จริงจุดนี้ถ่ายดวงอาทิตย์ตกดินสวยมาก คิดถึงตอนแสงสะท้อนน้ำแล้วอยากมาอีกจริง ๆ แต่ก็อันตรายครับเพราะป้ายเขียนบอกไว้ว่าเป็นโซนที่ช้างออกมาหลังบ่ายสาม
ระหว่างทางก็อย่าลืมเก็บภาพดอกไม้เล็ก ๆ สวยงามที่ขึ้นอยู่ทั่วไปหมดด้วยนะครับ
รูปนี้ดูไปดูมาเหมือนทุ่งหญ้าสะวันนาเลยลองเก็บ ๆ มาดู ระหว่างทางไปผาเหยียบเมฆ ซึ่งคำนวณจากเวลาแล้วคงไปผาหล่มสักไม่ทันครับ จึงตัดสินใจที่จะไปจุดหมายใหม่คือ ผานาน้อยแทน ระหว่างทางก็ลุ้นว่าจะเห็นดวงอาทิตย์ตกดินหรือไม่ เพราะฟ้าครึ้มเหลือเกิน
จากผาเหยียบเมฆก็เพียงแวะพักเหนื่อยเท่านั้น จึงเร่งไปที่ผานาน้อยเพราะจะเห็นดวงอาทิตย์จากทิศตะวันตกอย่างชัดเจนและแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ จากภาพ เมฆวางตัวเป็นชั้น ซึ่งดวงอาทิตย์ก็จะค่อย ๆ ตกลงมาให้เห็น ระหว่างรอเลยเก็บภาพเงามืดมาอีกภาพก่อน
นับได้ว่าเป็นภาพดวงอาทิตย์ตกดินที่แปลกตาไปอีกแบบครับที่ค่อย ๆ ลอยผ่านชั้นเมฆ
และนี่ก็เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่จะกลับเข้าที่พักแล้วเดินทางกลับในเช้าวันถัดไปครับ
สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่าหากได้ไปที่อุทยานแห่งชาติหรือธรรมชาติใด ๆ ต้องอ่านป้ายและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยนะครับ