โหราศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์....คนไทยอาจจะคุ้นเคยโหราศาสตร์มาก่อนรู้จักศาสนาพุทธ เนื่องมาจากอิทธิพลของขอมสมัยโบราณที่แผ่กว้างในภูมิภาคนี้.....แม้เราหันมานับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่แล้ว....โหราศาสตร์การทำนายทายทักชีวิตและโชคชะตาก็ยังหาได้ห่างหายไปจากคนไทยเลย......จะว่าไปแล้วชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกบวชนั้นได้ถูกอิทธิพลของการ “ทำนาย”ของท่านอสิตะดาบสกำกับเอาไว้แทบจะดิ้นไม่หลุด.....เมื่ออสิตดาบสได้ทำนายเอาไว้ว่ากุมารนี้จะออกบวชเป็นศาสดาเอกของโลก จึงทำให้พระราชบิดาต้องกำกับการดำเนินชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะอย่างเข้มงวด เพราะกลัวว่าคำทำนายจะเป็นจริง ใครได้อ่านพุทธประวัติช่วงตรงนี้ก็คงยากที่จะปฏิเสธคำทำนายของอสิตะดาบสได้ ความศรัทธาใน การดูดวง และการทำนายก็อาจจะก่อขึ้นจากตรงนั้น หรือใครที่มีศรัทธาหรือเชื่อโหรเป็นทุนเดิมมาก่อนแล้วก็ยิ่งจะศรัทธามากขึ้น
“โหร” และคำทำนายของโหรมีอิทธิพลต่อสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และเป็นอิทธิพลที่เรายินยอมให้ครอบงำและพร้อมที่จะปกป้องหากใครมาท้าทาย ประโยคที่ว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบลู่” นั้นก็หมายถึงการปกป้องคำทำนายจากบรรดาโหรใหญ่น้อยด้วย....เรายินยอมให้ “โหร” และคำทำนายของโหรเข้าครอบงำในลักษณะที่เราเป็นฝ่ายหมอบคลานเข้าไปหาเอง และอิทธิพลของโหรซึมซับเข้าในตัวเราเกิดศรัทธาอย่างไม่รู้ตัว...ตามที่ยกตัวอย่างเรื่องพุทธประวัติข้างบน เรื่องราวในพระไตรปิฏกเองก็มีการทำนายรวมไปถึงพุทธทำนายมากมาย....หรือแม้แต่เรื่องใกล้ตัวอย่างวรรณคดีไทยต่างๆ ขุนช้างขุนแผน สังข์ทอง สิงหไกรภพ จันทรโครพ เหล่านี้ ล้วนจะมีฉากและบทบาทของโหรเป็นตัวเดินเรื่อง อย่างเรื่องสังข์ทอง โหรทำนายให้สังข์ทองต้องให้ถูกลอยแพทิ้งแม่น้ำ ด้วยว่าเป็นกลีบ้านกลีเมือง กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าโหรทำนายผิดก็เล่นกันปั่นป่วนจากเมืองมนุษย์จนถึงสวรรค์ ถึงขั้นท้าวองค์อินทร์ต้องแปลงร่างลงมาตีคลีไปนู่น
สถานะความเป็น โหร/หมอดู เป็นสถานะและอาชีพที่ถูกยอมรับแบบกลายๆ จนถึงแบบคลั่งไคล้ในสังคมไทย ยิ่งหากแม่นยำในการทำนาย(แม้เพียงสักครั้ง)แล้ว ความศรัทธายิ่งจะทวีคูณ แต่หากทำนายพลาดคนส่วนใหญ่ก็พร้อมที่จะเข้าใจ แม้หากบางคนบางกลุ่มไม่เข้าใจ บรรดาโหรก็มี “ตำรา”อันศักดิ์สิทธิ์ให้หันหลังพิงด้วยคำแก้ตัวเดิมๆ ว่า “ทุกอย่างถูกทำนายไปตามตำรา”
หากเราเปิดอ่านนิตยสาร หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์ฉบับรายวัน คอลัมน์ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือคอลัมน์ทำนายดวงชะตา ตรงนี้ตอกย้ำถึงอิทธิพลของโหราศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้น.....และที่แปลกก็คือ หากเปรียบเทียบ “การทำนาย” ของโหรแต่ละคนในคอลัมน์ที่ต่างสื่อกัน บางคำทำนายตรงข้ามกันก็มี....แต่คนไทยไม่ติดใจ ไม่ทักท้วงอะไร นับว่าเป็น “ศาสตร์” ที่มีเครดิตสูงมากสำหรับคนไทย ในทำนองเดียวกัน หาก “คณิตศาสตร์” ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเขียนให้ สองบวกสองเท่ากับสี่ แต่อีกสำนักหนึ่งกลับบอกว่าสองบวกสองเท่ากับห้า..เชื่อว่าต้องมีคนทักท้วงแน่ๆ....นั่นเป็นคณิตศาสตร์ แต่สำหรับ “โหราศาสตร์” ไม่เลย.....โหรจะทำนายอะไรแตกต่างกันอย่างไร? อย่าไปลบหลู่ก็แล้วกัน
จะว่าไปแล้ว โหราศาสตร์เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นมาในยุคหลัง อาชีพของพราหมณ์คือเป็นตัวกลางติดต่อระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าคือพระพรหม (และตอนนั้น พระวิษณุ พระอิศวร หรือที่เรียกว่า ตรีมูรติ ยังไม่มี มีแต่พระพรมเป็นใหญ่อยุ่องค์เดียว) และเมื่อความศรัทธาต่อศาสนาพราหมณ์เริ่มถดถอยลงไป ก็มีการเพิ่มศาสตร์ต่างๆ ขึ้นในตำราพระเวทขึ้นเพื่อดึงหรือมัดใจคนเอาไว้ รวมไปถึงการสร้างและถือกำเนิดพระวิษณุ พระอิศวรด้วย โหราศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ที่มีจุดประสงค์เืพื่อที่จะดึงและโน้มน้าวคนให้ศรัทธาไม่หนีไปไหน....หรือจะพูดให้แฟร์ทั้งศาสนาพราหมณ์และพุทธ สำหรับพุทธศาสนา ก็จะยกเอาเรื่อง “กรรม” และ “จิต” เป็น “ศาสตร์” เพื่อดึงดูดและโน้มน้าวศรัทธาต่อศาสนาพุทธ (หากใครสนใจรายละเอียดเรื่องนี้ให้กรูเกิ้ลหาคำว่า
นิยามทั้ง5ในศาสนาพุทธดู)
ปัญหาของสังคมไทยก็คือ....การไม่รู้จักแก่นแท้ของพุทธศาสนาบวกการรับเอาส่วนหนึ่งของพราหมณ์(โดยเฉพาะเรื่องโหราศาสตร์)เข้ามาโดยบูชาและนอบน้อม และคนที่รู้จักใช้และได้รับผลประโยชน์จากท่าที
กึ่งพุทธกึ่งพราหมณ์ของคนไทย(ซึ่งมีมากในสังคมไทย)ไปเต็มๆ ก็คือ บรรดาพวกที่อ้างตัวเองว่าเป็นโหรเป็นหมอดู รวมทั้งพระสงฆ์ที่ตั้งตนเป็นหมอดูนั่นเอง
ต้องยอมรับว่าบทบาทของโหรหรือหมอดูนั้นครอบแทบจะทุกส่วนทุกชนชั้นของสังคมไทย......คำทำนายที่พร้อมจะได้รับการให้อภัยและการปกป้องของโหรจึงถูกใช้ในทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ตามที่เราเห็นอยู่ปัจจุบัน บางครั้งบางคราวคำทำนายก็ถูกใช้ให้เป็นเสมือนหนึ่ง “ก้อนหิน” ที่ถูกโยนออกไปถามทาง และปูทางกับ “แผนการ” ที่จะทำในอนาคตของบางกลุ่มบางคน
ปัจจุบันนี้เพราะความแรงของ "โหร" เรามีคำทำนายตามสื่อแทบทุกแขนง...รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือแม้แต่มีการทำนายข้ามปี ผมจะไม่แปลกใจเลยว่าจะมีการทำนายเหตุการณ์ทุกๆ ชั่วโมงก็อาจเป็นได้ในอนาคต ฟันธง! คอมเฟิร์ม! และ การันตี!
….."โหร" ภัยเงียบในสังคมไทย....
“โหร” และคำทำนายของโหรมีอิทธิพลต่อสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และเป็นอิทธิพลที่เรายินยอมให้ครอบงำและพร้อมที่จะปกป้องหากใครมาท้าทาย ประโยคที่ว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบลู่” นั้นก็หมายถึงการปกป้องคำทำนายจากบรรดาโหรใหญ่น้อยด้วย....เรายินยอมให้ “โหร” และคำทำนายของโหรเข้าครอบงำในลักษณะที่เราเป็นฝ่ายหมอบคลานเข้าไปหาเอง และอิทธิพลของโหรซึมซับเข้าในตัวเราเกิดศรัทธาอย่างไม่รู้ตัว...ตามที่ยกตัวอย่างเรื่องพุทธประวัติข้างบน เรื่องราวในพระไตรปิฏกเองก็มีการทำนายรวมไปถึงพุทธทำนายมากมาย....หรือแม้แต่เรื่องใกล้ตัวอย่างวรรณคดีไทยต่างๆ ขุนช้างขุนแผน สังข์ทอง สิงหไกรภพ จันทรโครพ เหล่านี้ ล้วนจะมีฉากและบทบาทของโหรเป็นตัวเดินเรื่อง อย่างเรื่องสังข์ทอง โหรทำนายให้สังข์ทองต้องให้ถูกลอยแพทิ้งแม่น้ำ ด้วยว่าเป็นกลีบ้านกลีเมือง กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าโหรทำนายผิดก็เล่นกันปั่นป่วนจากเมืองมนุษย์จนถึงสวรรค์ ถึงขั้นท้าวองค์อินทร์ต้องแปลงร่างลงมาตีคลีไปนู่น
สถานะความเป็น โหร/หมอดู เป็นสถานะและอาชีพที่ถูกยอมรับแบบกลายๆ จนถึงแบบคลั่งไคล้ในสังคมไทย ยิ่งหากแม่นยำในการทำนาย(แม้เพียงสักครั้ง)แล้ว ความศรัทธายิ่งจะทวีคูณ แต่หากทำนายพลาดคนส่วนใหญ่ก็พร้อมที่จะเข้าใจ แม้หากบางคนบางกลุ่มไม่เข้าใจ บรรดาโหรก็มี “ตำรา”อันศักดิ์สิทธิ์ให้หันหลังพิงด้วยคำแก้ตัวเดิมๆ ว่า “ทุกอย่างถูกทำนายไปตามตำรา”
หากเราเปิดอ่านนิตยสาร หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์ฉบับรายวัน คอลัมน์ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือคอลัมน์ทำนายดวงชะตา ตรงนี้ตอกย้ำถึงอิทธิพลของโหราศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้น.....และที่แปลกก็คือ หากเปรียบเทียบ “การทำนาย” ของโหรแต่ละคนในคอลัมน์ที่ต่างสื่อกัน บางคำทำนายตรงข้ามกันก็มี....แต่คนไทยไม่ติดใจ ไม่ทักท้วงอะไร นับว่าเป็น “ศาสตร์” ที่มีเครดิตสูงมากสำหรับคนไทย ในทำนองเดียวกัน หาก “คณิตศาสตร์” ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเขียนให้ สองบวกสองเท่ากับสี่ แต่อีกสำนักหนึ่งกลับบอกว่าสองบวกสองเท่ากับห้า..เชื่อว่าต้องมีคนทักท้วงแน่ๆ....นั่นเป็นคณิตศาสตร์ แต่สำหรับ “โหราศาสตร์” ไม่เลย.....โหรจะทำนายอะไรแตกต่างกันอย่างไร? อย่าไปลบหลู่ก็แล้วกัน
จะว่าไปแล้ว โหราศาสตร์เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นมาในยุคหลัง อาชีพของพราหมณ์คือเป็นตัวกลางติดต่อระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าคือพระพรหม (และตอนนั้น พระวิษณุ พระอิศวร หรือที่เรียกว่า ตรีมูรติ ยังไม่มี มีแต่พระพรมเป็นใหญ่อยุ่องค์เดียว) และเมื่อความศรัทธาต่อศาสนาพราหมณ์เริ่มถดถอยลงไป ก็มีการเพิ่มศาสตร์ต่างๆ ขึ้นในตำราพระเวทขึ้นเพื่อดึงหรือมัดใจคนเอาไว้ รวมไปถึงการสร้างและถือกำเนิดพระวิษณุ พระอิศวรด้วย โหราศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ที่มีจุดประสงค์เืพื่อที่จะดึงและโน้มน้าวคนให้ศรัทธาไม่หนีไปไหน....หรือจะพูดให้แฟร์ทั้งศาสนาพราหมณ์และพุทธ สำหรับพุทธศาสนา ก็จะยกเอาเรื่อง “กรรม” และ “จิต” เป็น “ศาสตร์” เพื่อดึงดูดและโน้มน้าวศรัทธาต่อศาสนาพุทธ (หากใครสนใจรายละเอียดเรื่องนี้ให้กรูเกิ้ลหาคำว่า นิยามทั้ง5ในศาสนาพุทธดู)
ปัญหาของสังคมไทยก็คือ....การไม่รู้จักแก่นแท้ของพุทธศาสนาบวกการรับเอาส่วนหนึ่งของพราหมณ์(โดยเฉพาะเรื่องโหราศาสตร์)เข้ามาโดยบูชาและนอบน้อม และคนที่รู้จักใช้และได้รับผลประโยชน์จากท่าทีกึ่งพุทธกึ่งพราหมณ์ของคนไทย(ซึ่งมีมากในสังคมไทย)ไปเต็มๆ ก็คือ บรรดาพวกที่อ้างตัวเองว่าเป็นโหรเป็นหมอดู รวมทั้งพระสงฆ์ที่ตั้งตนเป็นหมอดูนั่นเอง
ต้องยอมรับว่าบทบาทของโหรหรือหมอดูนั้นครอบแทบจะทุกส่วนทุกชนชั้นของสังคมไทย......คำทำนายที่พร้อมจะได้รับการให้อภัยและการปกป้องของโหรจึงถูกใช้ในทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ตามที่เราเห็นอยู่ปัจจุบัน บางครั้งบางคราวคำทำนายก็ถูกใช้ให้เป็นเสมือนหนึ่ง “ก้อนหิน” ที่ถูกโยนออกไปถามทาง และปูทางกับ “แผนการ” ที่จะทำในอนาคตของบางกลุ่มบางคน
ปัจจุบันนี้เพราะความแรงของ "โหร" เรามีคำทำนายตามสื่อแทบทุกแขนง...รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือแม้แต่มีการทำนายข้ามปี ผมจะไม่แปลกใจเลยว่าจะมีการทำนายเหตุการณ์ทุกๆ ชั่วโมงก็อาจเป็นได้ในอนาคต ฟันธง! คอมเฟิร์ม! และ การันตี!