ก่อนเกม the special one โจเซ่ มูริญโญ่ พบกลับความกดดันอย่างหนักหลังจากทำผลงานแข่ง 10 แพ้ 5 ชนะ 3 เสมอ 2 เสียไปถึง 19 ประตู จมดิ่งอยู่ท้ายตาราง และนัดล่าสุดก็เพิ่งจะแพ้ให้กลับสโต๊ค ในถ้วย capital one ตกรอบไปด้วยการดวลจุดโทษ นอกจากผลงานอันย่ำแย่ในสนาม ข่าวลือที่ออกมาว่ากุนซือจอมแทคติกคนนี้กำลังมีปัญหากับลูกทีม 11 ตัวจริงในเกมนี้ออกสตาทร์ โดยไม่มี 2 มิดฟิลด์ ตัวสำคัญที่ฟอร์มออกทะเลทั้ง Matic และ Cesc
ทางฝั่งลิเวอพูล JK ใช้ firmino ลงเป็นตัวจริง หลังจากทำผลงานได้ดีใน capital one โดยนัดนี้ยืนเป็นกองหน้าตัวกลางประสานงานกับ Lallana ทางฝั่งซ้าย Milner ทางฝั่งขวา และ Coutinho ยืนเป็น มิดฟิลด์ตัวทำเกมส์ และใช้ Lucus และ Can เป็นตัวตัดเกมส์
เนื่องจาก ลิเวอพูลใช้ Firmino เป็นกองหน้าทำให้ไม่มีตัวพักบอล รูปเกมส์จึงไม่ค่อยมีการโยนยาวให้เห็น การขึ้นเกมส์จะเล่นบอลสั้นจากกองหลังมาให้ 2 ตัวกลางอย่าง Lucus ละ Can เป็นตัวเชื่อมเกมไปให้ พวกตัวรุกทั้งหลาย โดยกองหลังมักจะให้ Sakho เป็นตัวเปิดบอลเรียด ที่ถือว่าแม่นพอสมควร แม้ท่าทางการจ่ายมันจะขัดหูขัดตา เหมือนขาจะเกี่ยวกันเอง
Firmino ถึงแม้ว่าจากตำแหน่งจะเป็นหน้าตัวกลางแต่ลักษณะการเล่นจะเป็น False 9 ที่คอยลงมาประสานงานกับ Coutinho ในการทำเกมส์ และถ่ายบอลออกด้านข้าง และโดยส่วนมากจะส่งมาทางด้านขวาที่มี Milner ประจำการอยู่ ดูแล้ว อนาคต Milner คงไม่ได้เล่นตรงกลางตามที่ Rodger ได้คำมั่นสัญญาไว้ เพราะดูแล้ว Vision ของ Milner ทำได้ไม่ดีพอกับตำแหน่งตรงกลางสนาม แต่สำหรับหน้าที่ประจำการทางฝั่งขวา ประสานงานกับ Cylne และการเปิดเข้ากลาง ถือว่าทำได้ไม่เลว
Lucus ที่บางท่านอาจจะมองว่าเล่นได้แย่ แต่ผมกลับมองว่า Lucus เล่นได้ดีถึงแม้ว่าจะมีผิดพลาด แต่ก็ยังเป็นตัวสำคัญทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีทั้งการตัดเกม และ เชื่อมเกม ผมไม่ได้เห็นการเล่นที่หลากหลายมากกว่าการตัดเกมและส่งคืนหลังของ Lucus มานานแล้ว จะเห็นว่าหลังจากโดนใบเหลือง และทำฟาว เกือบจะโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม JK ก็ยังคงไม่เปลี่ยน Lucus ออกจาก ผมมองว่าภายใต้การคุมทีมของ Klopp Lucus จะทำผลงานได้ดีและมีอะไรให้เห็นมากกว่านี้แน่นอน
ประตูตีเสมอ บอลถูกเซ็ตมาทางฝั่งขวา และเป็นความยอดเยี่ยมของ Coutinho จริงๆ หลังจากบ้ายิงมาหลายนัด จนมาสำเร็จในนัดนี้ Klopp น่าจะกำชับลูกทีมให้ยิงไกลถ้ามีโอกาส จะเห็นว่า Firmino ถ้ามีโอกาส ก็จะสับไกลเช่นกัน น่าจะเป็นเพราะ ไมมีคนยืนค้ำในพื้นที่หน้าประตู
หลังจากที่ Benteke ถูกส่งลงมา การขึ้นบอลของ ลิเวอพูล เริ่มหลากหลายขึ้น บอลสั้นสลับ โยนยาวจากแดนหลัง และก็เห็นผล ในลูกที่ 2 ส่วนประตูที่ 3 เห็นชัดเจนว่า กลางและหลังของ เชลซี กำลังมีปัญหา ปล่อยให้ Benteke มีเวลาแต่งบอลก่อนจะยิง อยู่นาน
สำหรับเกมส์รับ ใช้เพรสซิ่ง ทำตั้งแต่วงกลมกลางสนาม ถ้าHazard ได้บอลจะเข้ารุมอย่างน้อย 2 คน แม้การเข้า เพรสซิ่งยังดูโฉ่งฉ่าง แต่ก็ทำให้ เชลซี ที่นักเตะนัดการฟอร์มตกอยู่แล้ว เล่นยากขึ้น นักเตะ ลิเวอพูล มุ่งมั่น บ้าพลัง เสียบเป็นเสียบ แต่หลังจาก Hazard ถูกเปลี่ยนออกด้วยผู้เล่นวัย 19 ปี Kenedy นักเตะลิเวอพูลก็เปลี่ยนเป้าหมายจาก Hazard เป็น Willian
สกอร์ 1-3 นอกจากจะเป็น 3 แต้มแรกของ กุนซือชาว เยอรมัน แล้ว สาวก The Kop ยังฝันหวานถึง Red Machine ที่หายไปนานแสนนาน จนแทบจะกลายเป็น นิทานปรัมปรา ไปแล้ว.. Klopp เคยให้สัมภาษณ์กับ ผู้สื่อข่าวหลังจากจบเกมกับ Southampton ว่านักเตะลิเวอพูลขาดความเชื่อมั่นในทีมตนเอง เพราะหลักจากโดนตีเสมอก็ทำเหมือนหมดอะไรตายอยาก ทั้งๆที่ยังเหลือเวลาที่จะทำประตูสำหรับชัยชนะ แต่สิ่งที่เห็นในนัดนี้ ทั้งๆที่โดยนำไปก่อน ตั้งแต่ต้นเกมแต่นักเตะก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่นไปตาม แทคติก ที่ JK ใส่ลงไปในเกม รูปแบบการเล่นเริ่มเปลี่ยนจาก Pop music ในยุคของ Rodger มาเป็น Heavy Metal ที่ละนิดที่ละน้อย สุดท้ายหวังว่าเกมถัดไป เราจะได้เห็นพัฒนาการที่มากขึ้นของ ลิเวอพูลในยุคของ The normal one ต่อไป
วิเคราะห์ หลังเกมส์ เชลซี-ลิเวอพูล
ทางฝั่งลิเวอพูล JK ใช้ firmino ลงเป็นตัวจริง หลังจากทำผลงานได้ดีใน capital one โดยนัดนี้ยืนเป็นกองหน้าตัวกลางประสานงานกับ Lallana ทางฝั่งซ้าย Milner ทางฝั่งขวา และ Coutinho ยืนเป็น มิดฟิลด์ตัวทำเกมส์ และใช้ Lucus และ Can เป็นตัวตัดเกมส์
เนื่องจาก ลิเวอพูลใช้ Firmino เป็นกองหน้าทำให้ไม่มีตัวพักบอล รูปเกมส์จึงไม่ค่อยมีการโยนยาวให้เห็น การขึ้นเกมส์จะเล่นบอลสั้นจากกองหลังมาให้ 2 ตัวกลางอย่าง Lucus ละ Can เป็นตัวเชื่อมเกมไปให้ พวกตัวรุกทั้งหลาย โดยกองหลังมักจะให้ Sakho เป็นตัวเปิดบอลเรียด ที่ถือว่าแม่นพอสมควร แม้ท่าทางการจ่ายมันจะขัดหูขัดตา เหมือนขาจะเกี่ยวกันเอง
Firmino ถึงแม้ว่าจากตำแหน่งจะเป็นหน้าตัวกลางแต่ลักษณะการเล่นจะเป็น False 9 ที่คอยลงมาประสานงานกับ Coutinho ในการทำเกมส์ และถ่ายบอลออกด้านข้าง และโดยส่วนมากจะส่งมาทางด้านขวาที่มี Milner ประจำการอยู่ ดูแล้ว อนาคต Milner คงไม่ได้เล่นตรงกลางตามที่ Rodger ได้คำมั่นสัญญาไว้ เพราะดูแล้ว Vision ของ Milner ทำได้ไม่ดีพอกับตำแหน่งตรงกลางสนาม แต่สำหรับหน้าที่ประจำการทางฝั่งขวา ประสานงานกับ Cylne และการเปิดเข้ากลาง ถือว่าทำได้ไม่เลว
Lucus ที่บางท่านอาจจะมองว่าเล่นได้แย่ แต่ผมกลับมองว่า Lucus เล่นได้ดีถึงแม้ว่าจะมีผิดพลาด แต่ก็ยังเป็นตัวสำคัญทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีทั้งการตัดเกม และ เชื่อมเกม ผมไม่ได้เห็นการเล่นที่หลากหลายมากกว่าการตัดเกมและส่งคืนหลังของ Lucus มานานแล้ว จะเห็นว่าหลังจากโดนใบเหลือง และทำฟาว เกือบจะโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม JK ก็ยังคงไม่เปลี่ยน Lucus ออกจาก ผมมองว่าภายใต้การคุมทีมของ Klopp Lucus จะทำผลงานได้ดีและมีอะไรให้เห็นมากกว่านี้แน่นอน
ประตูตีเสมอ บอลถูกเซ็ตมาทางฝั่งขวา และเป็นความยอดเยี่ยมของ Coutinho จริงๆ หลังจากบ้ายิงมาหลายนัด จนมาสำเร็จในนัดนี้ Klopp น่าจะกำชับลูกทีมให้ยิงไกลถ้ามีโอกาส จะเห็นว่า Firmino ถ้ามีโอกาส ก็จะสับไกลเช่นกัน น่าจะเป็นเพราะ ไมมีคนยืนค้ำในพื้นที่หน้าประตู
หลังจากที่ Benteke ถูกส่งลงมา การขึ้นบอลของ ลิเวอพูล เริ่มหลากหลายขึ้น บอลสั้นสลับ โยนยาวจากแดนหลัง และก็เห็นผล ในลูกที่ 2 ส่วนประตูที่ 3 เห็นชัดเจนว่า กลางและหลังของ เชลซี กำลังมีปัญหา ปล่อยให้ Benteke มีเวลาแต่งบอลก่อนจะยิง อยู่นาน
สำหรับเกมส์รับ ใช้เพรสซิ่ง ทำตั้งแต่วงกลมกลางสนาม ถ้าHazard ได้บอลจะเข้ารุมอย่างน้อย 2 คน แม้การเข้า เพรสซิ่งยังดูโฉ่งฉ่าง แต่ก็ทำให้ เชลซี ที่นักเตะนัดการฟอร์มตกอยู่แล้ว เล่นยากขึ้น นักเตะ ลิเวอพูล มุ่งมั่น บ้าพลัง เสียบเป็นเสียบ แต่หลังจาก Hazard ถูกเปลี่ยนออกด้วยผู้เล่นวัย 19 ปี Kenedy นักเตะลิเวอพูลก็เปลี่ยนเป้าหมายจาก Hazard เป็น Willian
สกอร์ 1-3 นอกจากจะเป็น 3 แต้มแรกของ กุนซือชาว เยอรมัน แล้ว สาวก The Kop ยังฝันหวานถึง Red Machine ที่หายไปนานแสนนาน จนแทบจะกลายเป็น นิทานปรัมปรา ไปแล้ว.. Klopp เคยให้สัมภาษณ์กับ ผู้สื่อข่าวหลังจากจบเกมกับ Southampton ว่านักเตะลิเวอพูลขาดความเชื่อมั่นในทีมตนเอง เพราะหลักจากโดนตีเสมอก็ทำเหมือนหมดอะไรตายอยาก ทั้งๆที่ยังเหลือเวลาที่จะทำประตูสำหรับชัยชนะ แต่สิ่งที่เห็นในนัดนี้ ทั้งๆที่โดยนำไปก่อน ตั้งแต่ต้นเกมแต่นักเตะก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่นไปตาม แทคติก ที่ JK ใส่ลงไปในเกม รูปแบบการเล่นเริ่มเปลี่ยนจาก Pop music ในยุคของ Rodger มาเป็น Heavy Metal ที่ละนิดที่ละน้อย สุดท้ายหวังว่าเกมถัดไป เราจะได้เห็นพัฒนาการที่มากขึ้นของ ลิเวอพูลในยุคของ The normal one ต่อไป