สวัสดีครับชาวพันทิป กระทู้นี้ก็เป็นกระทู้แรกของผม ปกติผมก็จะเข้ามาดูรีวิว skin care ในพันทิปค่อนข้างบ่อย แต่ไม่ค่อยมีเวลามาทำรีวิวเลยครับ วันนี้เป็นฤกษ์งามยามดี+ช่วงนี้ไม่ค่อยยุ่งเรื่องงานมาก ก็เลยถือโอกาสมารีวิวซักหน่อยและถือว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์ของตัวเองด้วยครับ
ผลิตภัณฑ์ที่ผมจะมารีวิวในวันนี้ก็คือเจ้าครีมระดับตำนานนาซ่าหรือ LAMER นั่นเองครับ
| LAMER ถือเป็นแบรนด์ Hi-end ที่มีจุดแข็งอยู่ที่ส่วนผสมอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นก็คือ Miracle Broth หรือน้ำหมักสาหร่ายที่คิดค้นโดย Dr. Max Huber ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์นาซ่า I
จากการที่ได้อ่านรีวิวของ LAMER หลายรีวิว จะมีทั้งเสียงด้านบวกบ้างและเสียงด้านลบบ้างสลับกันไป บางคนบอกใช้แล้วหน้าเนียนนุ่ม รูขุมขนกระชับขึ้น ผิวสุขภาพดีขึ้น แต่บางคนใช้แล้วก็บอกเฉยๆ ไม่เกิดผลใดๆบนใบหน้านอกจากให้ความชุ่มชื่นแถมยังราคาแพงกระเป๋าฉีกได้
ผมเริ่มใช้ LAMER ครั้งแรกตอน อายุ 25 ปี ด้วยความอยากรู้อยากลอง+ตำนาน LAMER อันโด่งดัง ยิ่งทำให้ผมอยากรู้ว่า เจ้าครีมระดับตำนานจะดีสมคำร่ำลือหรือเปล่า ตอนนั้นเป็นช่วงเริ่มทำงานใหม่และมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง จึงไม่ลังเลที่จะตรงไปยัง Counter LAMER เซนทรัลพระรามเก้า ซึ่งตัวแรกที่ผมเริ่มใช้คือ The moisturizing gel cream เนื่องจากผมมีสภาพผิวค่อนข้างมันช่วงทีโซน BA จึงแนะนำตัวนี้ หลังจากลองใช้ตัว gel cream ไป 1 กระปุก ผมรู้สึกว่าผิวหน้านุ่มขึ้นนิดหน่อย เนื้อ gel เบาสบายผิวและซึมเร็วดี นอกนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าครีมทั่วไปในท้องตลาด ผมจึงพักยกกับ LAMER ไปเกือบ 2 ปี
จากนั้นประมานเมื่อต้นปีผมได้เจอเพื่อนคนนึงซึ่งไม่เจอกันนาน แต่สภาพผิวเขาเปลี่ยนไปมาก ผิวเรียบเนียน กระจ่างใสขึ้น ผมจึงถามเขาว่าไปทำไรมา สภาพผิวถึงดีขึ้น เขาบอกว่า "ใช้ LAMER" ผมเองก็เริ่มกลับมาคิดว่า ทำไมตอนนั้นเราใช้มันไม่ค่อยเห็นผลหรือเป็นเพราะช่วงนั้นเราทำงานหนัก เจอแสงแดด มลภาวะและฝุ่นละอองค่อนข้างบ่อยเพราะต้องทำงานกลางทะเล รวมถึงอาจจะใช้เนื้อผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว คิดไปคิดมาหลายรอบ จนตัดสินใจว่าจะลองใช้ LAMER ดูอีกซักครั้งเผื่อจะพบความมหัศจรรย์บ้าง 555
พอดีช่วงนั้นต้องไปอบรมและผ่าน King Power บ่อย ก็เลยถือโอกาสจัดซักหน่อย
เริ่มด้วยตัว
The oil absorbing lotion ขนาด 50 ml ราคา King Power 9095฿ ลดอีก 5%
เนื้อผลิตภัณฑ์จะบางเบาและไม่มัน เหมือนมีแป้งผสมอยู่ กลิ่นหอมออกแนว powder (มีน้ำหอม) ผมจะใช้ตัวนี้ช่วงกลางวันเพราะเนื้อโลชั่นบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ พอล้างหน้าเสร็จ ทา The oil absorbing lotion แล้วตามด้วยครีมกันแดด ก็สบายหน้าไปอีกแบบ หน้าไม่มันเยิ้มหรือไม่แห้งไป
ส่วนตอนกลางคืนผมนอนในห้องแอร์ตลอดโดยเฉพาะห้องนอนที่ทำงานแอร์เย็นมากกก ผมลองทา The oil absorbing lotion ปรากฏว่าเอาไม่อยู่ ก็เลยไปจัดเจ้าตัว Cream de lamer มาแทน BA เซนทรัลลาดพร้าวแนะนำว่า"ตัวนี้ให้ความชุ่มชื่นดี เหมาะสำหรับคนนอนห้องแอร์หรือต้องเจออากาศเย็นๆ" ผมซื้อกระปุกเล็กนะครับ 15 ml ราคาอยู่ที่ 3600฿
ตัวนี้ BA แนะนำว่าต้องวอร์มครีมก่อน ใช้ไม้พายตักครีมพอประมาณและปาดไปที่นิ้ว วอร์มครีมโดยนิ้วมือหรือฝ่ามือ จนเนื้อครีมเป็นใสๆ ดังรูป
จากนั้นให้กดลงไปที่หน้าเบาๆ สำหรับตัวนี้เนื้อครีมข้น หนาและหนักมาก แต่ในระหว่างที่ใช้ก็ไม่ได้มีสิวอุดตันเพิ่มขึ้น เพียงแค่ไม่สามารถทากลางวันได้เพราะหน้าจะมันเยิ้มมากกกครับ
พอใช้ไปซักพัก Cream de lamer กำลังจะหมดกระปุกและต้องผ่าน King Power พอดี เลยไปถอยตัว The moisturizing soft cream ( ราคา King Power 6035 ฿ ลดอีก 10% ) มาแทน cream de lamer เพราะเบื่อกับการวอร์มครีม ผมว่ามันเป็นอะไรที่ยุ่งยากไป
ตัว soft cream เนื้อจะเบากว่าตัว Cream de lamer แต่จะหนักกว่า The oil absorbing lotion และ The moisturizing gel cream ซึ่งสำหรับผม เจ้าตัว soft cream ถือว่า OK เลยครับ ไม่ต้องวอร์มก่อนใช้และให้ความชุ่มชื่นกำลังดีครับ
สรุปหลังจากที่ใช้ LAMER ต่อเนื่องมา 6-7 เดือนผมรู้สึกว่าครีมมันค่อยๆปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้นและรอยสิวจางเร็ว อาจเป็นเพราะผิวเราได้รับความชุ่มชื่นที่เพียงพอ เลยทำให้ภาพรวมของผิวดูดีขึ้นครับ+เนื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวด้วยมั้ง หลังจากใช้ LAMER มาซักระยะ แม่ผมกับเพื่อนผมทักว่าช่วงกลับขึ้นฝั่งจากทำงานหน้าตาดูสดใสขึ้นและไม่โทรมเหมือนแต่ก่อน แต่อย่างไรก็ตามผลลัพธ์อาจแตกต่างกันในแต่ละคนและต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานเหมือนกัน ครั้งแรกที่ผมใช้ไม่เห็นผลมากเท่าไหร่อาจเป็นเพราะใช้ต่อเนื่องไม่นานก็อาจเป็นได้ครับ
*** The oil absorbing lotion ( ซื้อต่อสำหรับใช้กลางวัน)
Cream de lamer ( ไม่ซื้อต่อ )
The moisturizing soft cream ( ซื้อต่อสำหรับใช้กลางคืน)
[CR] รีวิว ครีม Lamer #2015#
ผลิตภัณฑ์ที่ผมจะมารีวิวในวันนี้ก็คือเจ้าครีมระดับตำนานนาซ่าหรือ LAMER นั่นเองครับ
| LAMER ถือเป็นแบรนด์ Hi-end ที่มีจุดแข็งอยู่ที่ส่วนผสมอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นก็คือ Miracle Broth หรือน้ำหมักสาหร่ายที่คิดค้นโดย Dr. Max Huber ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์นาซ่า I
จากการที่ได้อ่านรีวิวของ LAMER หลายรีวิว จะมีทั้งเสียงด้านบวกบ้างและเสียงด้านลบบ้างสลับกันไป บางคนบอกใช้แล้วหน้าเนียนนุ่ม รูขุมขนกระชับขึ้น ผิวสุขภาพดีขึ้น แต่บางคนใช้แล้วก็บอกเฉยๆ ไม่เกิดผลใดๆบนใบหน้านอกจากให้ความชุ่มชื่นแถมยังราคาแพงกระเป๋าฉีกได้
ผมเริ่มใช้ LAMER ครั้งแรกตอน อายุ 25 ปี ด้วยความอยากรู้อยากลอง+ตำนาน LAMER อันโด่งดัง ยิ่งทำให้ผมอยากรู้ว่า เจ้าครีมระดับตำนานจะดีสมคำร่ำลือหรือเปล่า ตอนนั้นเป็นช่วงเริ่มทำงานใหม่และมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง จึงไม่ลังเลที่จะตรงไปยัง Counter LAMER เซนทรัลพระรามเก้า ซึ่งตัวแรกที่ผมเริ่มใช้คือ The moisturizing gel cream เนื่องจากผมมีสภาพผิวค่อนข้างมันช่วงทีโซน BA จึงแนะนำตัวนี้ หลังจากลองใช้ตัว gel cream ไป 1 กระปุก ผมรู้สึกว่าผิวหน้านุ่มขึ้นนิดหน่อย เนื้อ gel เบาสบายผิวและซึมเร็วดี นอกนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าครีมทั่วไปในท้องตลาด ผมจึงพักยกกับ LAMER ไปเกือบ 2 ปี
จากนั้นประมานเมื่อต้นปีผมได้เจอเพื่อนคนนึงซึ่งไม่เจอกันนาน แต่สภาพผิวเขาเปลี่ยนไปมาก ผิวเรียบเนียน กระจ่างใสขึ้น ผมจึงถามเขาว่าไปทำไรมา สภาพผิวถึงดีขึ้น เขาบอกว่า "ใช้ LAMER" ผมเองก็เริ่มกลับมาคิดว่า ทำไมตอนนั้นเราใช้มันไม่ค่อยเห็นผลหรือเป็นเพราะช่วงนั้นเราทำงานหนัก เจอแสงแดด มลภาวะและฝุ่นละอองค่อนข้างบ่อยเพราะต้องทำงานกลางทะเล รวมถึงอาจจะใช้เนื้อผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว คิดไปคิดมาหลายรอบ จนตัดสินใจว่าจะลองใช้ LAMER ดูอีกซักครั้งเผื่อจะพบความมหัศจรรย์บ้าง 555
พอดีช่วงนั้นต้องไปอบรมและผ่าน King Power บ่อย ก็เลยถือโอกาสจัดซักหน่อย
เริ่มด้วยตัว
The oil absorbing lotion ขนาด 50 ml ราคา King Power 9095฿ ลดอีก 5%
เนื้อผลิตภัณฑ์จะบางเบาและไม่มัน เหมือนมีแป้งผสมอยู่ กลิ่นหอมออกแนว powder (มีน้ำหอม) ผมจะใช้ตัวนี้ช่วงกลางวันเพราะเนื้อโลชั่นบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ พอล้างหน้าเสร็จ ทา The oil absorbing lotion แล้วตามด้วยครีมกันแดด ก็สบายหน้าไปอีกแบบ หน้าไม่มันเยิ้มหรือไม่แห้งไป
ส่วนตอนกลางคืนผมนอนในห้องแอร์ตลอดโดยเฉพาะห้องนอนที่ทำงานแอร์เย็นมากกก ผมลองทา The oil absorbing lotion ปรากฏว่าเอาไม่อยู่ ก็เลยไปจัดเจ้าตัว Cream de lamer มาแทน BA เซนทรัลลาดพร้าวแนะนำว่า"ตัวนี้ให้ความชุ่มชื่นดี เหมาะสำหรับคนนอนห้องแอร์หรือต้องเจออากาศเย็นๆ" ผมซื้อกระปุกเล็กนะครับ 15 ml ราคาอยู่ที่ 3600฿
ตัวนี้ BA แนะนำว่าต้องวอร์มครีมก่อน ใช้ไม้พายตักครีมพอประมาณและปาดไปที่นิ้ว วอร์มครีมโดยนิ้วมือหรือฝ่ามือ จนเนื้อครีมเป็นใสๆ ดังรูป
จากนั้นให้กดลงไปที่หน้าเบาๆ สำหรับตัวนี้เนื้อครีมข้น หนาและหนักมาก แต่ในระหว่างที่ใช้ก็ไม่ได้มีสิวอุดตันเพิ่มขึ้น เพียงแค่ไม่สามารถทากลางวันได้เพราะหน้าจะมันเยิ้มมากกกครับ
พอใช้ไปซักพัก Cream de lamer กำลังจะหมดกระปุกและต้องผ่าน King Power พอดี เลยไปถอยตัว The moisturizing soft cream ( ราคา King Power 6035 ฿ ลดอีก 10% ) มาแทน cream de lamer เพราะเบื่อกับการวอร์มครีม ผมว่ามันเป็นอะไรที่ยุ่งยากไป
ตัว soft cream เนื้อจะเบากว่าตัว Cream de lamer แต่จะหนักกว่า The oil absorbing lotion และ The moisturizing gel cream ซึ่งสำหรับผม เจ้าตัว soft cream ถือว่า OK เลยครับ ไม่ต้องวอร์มก่อนใช้และให้ความชุ่มชื่นกำลังดีครับ
สรุปหลังจากที่ใช้ LAMER ต่อเนื่องมา 6-7 เดือนผมรู้สึกว่าครีมมันค่อยๆปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้นและรอยสิวจางเร็ว อาจเป็นเพราะผิวเราได้รับความชุ่มชื่นที่เพียงพอ เลยทำให้ภาพรวมของผิวดูดีขึ้นครับ+เนื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวด้วยมั้ง หลังจากใช้ LAMER มาซักระยะ แม่ผมกับเพื่อนผมทักว่าช่วงกลับขึ้นฝั่งจากทำงานหน้าตาดูสดใสขึ้นและไม่โทรมเหมือนแต่ก่อน แต่อย่างไรก็ตามผลลัพธ์อาจแตกต่างกันในแต่ละคนและต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานเหมือนกัน ครั้งแรกที่ผมใช้ไม่เห็นผลมากเท่าไหร่อาจเป็นเพราะใช้ต่อเนื่องไม่นานก็อาจเป็นได้ครับ
*** The oil absorbing lotion ( ซื้อต่อสำหรับใช้กลางวัน)
Cream de lamer ( ไม่ซื้อต่อ )
The moisturizing soft cream ( ซื้อต่อสำหรับใช้กลางคืน)