ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม............มีแต่เสียง 30/10/2015

กระทู้คำถาม



***สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ห้องราชดำเนินทุกคน***


กระทู้นี้ เป็นมุมพักผ่อน มุมนี้ไม่มีสี  ไม่มีกลุ่ม.........แต่มีเสียง...................


พลุ MC นู๋สร้างชาติ รับหน้าที่ค่ะพลุ







พรุ่งนี้ 31 ตุลาคม เป็นวันฮาโลวีน  ขอถามว่าในวันฮาโลวีนปีนี้ คุณอยากไปเคาะประตูบ้านใคร? เพราะอะไร?


วันฮาโลวีน (Halloween) ประเพณีปลุกผีชาติตะวันตก!!

ในวันที่ 31 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ เป็น วันฮาโลวีน (Halloween) ซึ่งเป็นวันที่ชาวชาติตะวันตก นิยมแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจและพาเพื่อนฝูงไปงานเลี้ยงฉลองกัน โดยในวันฮาโลวีนนั้น จะมีการประดับแสงไฟ ต่างๆ ให้คล้ายกับเมืองภูตผีปีศาจ โดยสัญลักษณะของวันฮาโลวีน คือ โคมไฟฟักทองแกะสลัก เรียกกันว่า แจ๊ก โอแลนเทิร์น (Jack-o lantern) ซึ่งประเทศที่นิยมจัดงานในวันฮาโลวีนได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหรราชอาณาจักร (อังกฤษ) แคนาดา และชาติต่างๆ อีกมากมาย แต่ในโซนเอเซียบ้านเราไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก





ประวัติวันฮาโลวีน

สาเหตุที่วันฮาโลวีน ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีนั้น เชื่อกันว่า เป็นวันที่ชาวเคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอซ์แลนด์ ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดปี โดยถือกันว่าเป็นวันที่มิติคนตายและ มนุษย์จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและ วิญญาณผู้เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จึงทำให้คนเป็นอย่างเรา ในวันฮาโลวีนจะต้องหหาทางแก้ไขด้วยการปิดไฟในบ้านทุกดวง ให้บ้านมืดมิด ร่วมกับอากาศที่หนาวซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนาของบรรดาผีร้าย อีกทั้งยังมีบางส่วนจะแต่งตัวเป็นผีต่างๆ เพื่อกลบเกลือนวิญญาณว่าไม่ใช่คนเป็นนั้นเอง










ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ


1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด

2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน

3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม





ปล. กระทู้นี้ พักยกการเมือง นะจ๊ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เพลงประทับใจ   จากไร่แห้วคุณนิ 93     เมื่อวาน        Can't Let Go
                                                                เพราะความรัก  ในเธอนั้น  มันปักจิต                 หัวใจ
                                                                เฝ้าครุ่นคิด  คร่ำครวญ  ยามเธอจาก
                                                                ใจปวดร้าว  มากมาย  เพราะพลัดพราก
                                                                คิดว่า"หาก  ไม่มีเธอ  ฉันคงตาย"
                                                                แต่อกหัก  ไม่ถึงตาย  ใครก็รู้                          ใจร้าว
                                                                มันเพียงอยู่   ทรมาน  ไม่ยอมหาย
                                                                รอเวลา  เยียวยา  ให้ผ่านกลาย
                                                                จะยากง่าย  อยู่ที่เรา  เข้าใจทาง
                                                                เพราะอกหัก  นั้นเป็น  ธรรมชาติ                      อมยิ้ม14
                                                                ที่ไม่อาจ  เลี่ยงได้   เมื่อรักห่าง
                                                                ใจรับรู้  ความสูญเสีย  รักแยกทาง
                                                                ร่างกายสร้าง  ความปวดร้าว  มาผลักดัน

                          คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

                                                                รักสามเส้า  หากเรา  คือฝ่ายเศร้า
                                                                ก็ต้องเอา  ความจริง  มาคอยข่ม
                                                                ยอมรับว่า  เขาลงเอย  ได้ชื่นชม
                                                                เราจะขม  สักหน่อย  ต้องปล่อยใจ
                                                                เพราะชีวิต  ครองคู่  อยู่ที่สม                     ดอกไม้
                                                                เราชื่นชม  เขาสมกัน  จึงสุขได้
                                                                ส่วนเรามุ่ง  ค้นหา  ที่สมใหม่
                                                                ไม่นานได้  คู่สมใจ  ใจสุขจริง
ความคิดเห็นที่ 16
ค้างไว้เมื่อวาน....เห็นคุณพระรองเล่าชีวิตการเป็นครูดอยอาสา  อยากเล่าในส่วนของตัวเองบ้าง  คงพอจะช่วยเติมเต็มบางส่วนของคุณพระรองได้บ้าง...พึ่งรู้ว่าคุณพระรองก็เคยเป็นครูอาสามาก่อนเหมือนกัน    ตอนนั้นเกิดเบื่อการใช้ชีวิตในเมืองกรุงอยางรุนแรง....หิ้วกระเป๋ากลับอีสานโดยร่ำลาคนรู้จักไม่กี่คน....ไปตระเวณหางานที่จังหวัดเลย   ตอนนั้นหลงไหลในธรรมชาติมากและชอบจังหวัดเลย   หางานอะไรก็ได้  เด็กปั๊ม  เสริฟ ฯลฯ  แต่ไม่ประสบความสำเร็จ.....ขึ้นไปฝังตัวอยู่บนภูเรือ  กะว่าจะไปเป็นมัคคุเทสก์ประจำที่นั่น  อยู่กินและทำงานบนภูให้สมใจอยาก....แต่ก็ไม่มีลูกค้าสักราย  โดนแม่ค้าส้มตำค่อนแคะว่า "มีความรู้ท่วมหัว  แต่เอาตัวไม่รอด"  เลยคิดได้...(ตอนนั้นผมพูดภาษาอังกฤษได้พอตัวเลยทีเดียว   ก่อนออกจากกรุงเทพฯ มาผมก็เป็นมัคคุเทสก์ที่บริษัทที่มีชื่อพอสมควรแถวๆ ประตูน้ำ).....


จากนั้นก็ขึ้นเชียงใหม่...ทำงานในเชียงใหม่ได้สักพัก  แล้วก็อาสาไปสอนหนังสือชาวเขาที่อำเภอแม่สะเรียง....เป็นชีวิตที่ไม่ได้หรูหรา  และอาจจะไม่ถูกจริตสำหรับบางคน  แต่สำหรับผม  มันคือวิมาน....เสียงไก่ขัน  เสียงหมาเห่า  เสียงนกร้อง  เสียงครกกระเดื่อง ปลุกให้ตื่นแต่เช้า  ปุยหมอกโอบล้อมขุนเขาที่เราอยู่ประหนึ่งเกราะกำบังภัยอันตรายให้พวกเรา....เป็นอาชีพที่น่าภูมิใจ  แม้เงินตอบแทนเพียงน้อยนิด....ผมไม่มีศิษย์ที่โด่งดังหรือได้เรียนต่อสูงๆ อะไร...แต่อย่างน้อยๆ การที่ได้ไปอยู่ตรงนั้นเป็นความภูมิใจของชีวิตอีกส่วนหนึ่ง


นอกจากความเป็นครูแล้ว  ต้องเป็นอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมกัน  เป็นที่ปรึกษา  เป็นหมอ  เป็นพ่อครัว  เป็นแรงงาน  เป็นมันสมอง เป็นมิชชั่นนารี่ฯลฯ  ยิ่งเมื่อพวกเขารู้ว่าครูมาจากอีสาน....เขาจะชอบให้ผมร้องหมอลำให้ฟัง......ทั้งๆ ที่ร้องไม่ถนัดแต่ก็ต้องฝึกร้อง   การได้ไปอยู่ตรงนั้น....มันได้เห็นสัจจธรรมหลายๆ อย่าง...ที่ไม่อาจแสวงหาและสัมผัสได้ในชีวิตของคนในเมือง....ภาพข้างล่างคือความทรงจำเก่า


นั่งเพ่งมองแม่น้ำยวมที่ไหลเอื่อย...ชีวิตคนเป็นเฉกเช่นสายน้ำที่ไหลเชี่ยวบางจังหวะหรือไหลเอื่อยในบางช่วง  หรือว่าเป็นเฉกเช่นโขดหินที่ถูกกระแสน้ำเซาะกร่อน?   อุปมาอุปไมยของแต่ละชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป  สุดแต่ใครจะมอง




การเดินทางไกลด้วยเท้า....บางทีก็ต้องพกปืนติดตัวไปด้วย  ภัยอันตรายมีรอบด้าน  จากสัตว์ป่าและคน(ลักลอบขนยาเสพติด)...จะไปไหนมาไหนชาวเขาก็มีน้ำใจร่วมเดินทางไปกับเรา....เขาบอกว่า "กลัวครูจะจากพวกเราไปแล้วไม่กลับมาอีก"



เสียงเพลงและดนตรี...ไม่ว่าจะอยู่สูงไกลบนยอดดอย  หรือในเมืองที่ศิวิไลซ์...ดนตรีจะยังคงสะกดและกล่อมจิตใจให้เคลิบเคลิ้มได้เสมอ



ซุปเปอร์มาร์เก็ตของพวกเราก็คือป่าผืนใหญ่....อาหารหลากหลายสามารถหาได้อย่างสบายใจ...




ห้องเรียน....ไม่จำเป็นต้องเป็นห้องสี่เหลี่ยมติดกระดานดำ  โปรเจคเตอร์ เครื่องคอมพ์  และแสงไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้านานาชนิดเสมอไป...บนพื้นและฝาผนังทำจากฟากไม้ไผ่   ใต้แสงเทียน  และไออุ่นจากกองไฟ  เป็นห้องเรียนที่เรียนรู้ได้



บางครั้งการที่ได้ลงมาในเมืองเพื่อจับจ่ายซื้อหาอาหารจากในเมืองไปทำเลี้ยงเด็กๆ....ก็เป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง



กำลังขับ "โรสรอยส์" บนแม่น้ำยวม  เพื่อลงจากดอยไปต่อรถเข้าในเมือง....เอาให้เห็นแค่แผ่นหลังก็พอ...ถ้าเห็นซิกส์แพ็คด้านหน้ากลัวสาวจะกรี๊ดสลบ ฮ่า ฮ่า ฮ่า



หากไม่มีพันธะ ภาระ  และหน้าที่ทางครอบครัวแล้ว.........ผมจะขอกลับไปอยู่นั่นอีกจนวาระสุดท้าย  "ครูดอย"
ความคิดเห็นที่ 5
มอญดูดาว

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



*เพลงมอญดูดาว เป็นเพลงทำนองเก่า โดยเป็นเพลงสำเนียงมอญ ใช้หน้าทับมอญกำกับจังหวะ เพลงนี้ใช้ประกอบการแสดงละคร และประกอบลีลาท่ารำในละครเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เรียกรำพลายชุมพล ต่อมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำเพลงนี้ไปพระราชนิพนธ์เป็นเพลงเถา ใช้หน้าทับปรบไก่กำกับจังหวะ(ทรงเพิ่มจังห­วะในทำนองเดิม) เรียกชื่อใหม่ว่า "เพลงราตรีประดับดาว"



ไม่มีอะไรครับ วันนี้แค่เอาโปสการ์ดสวยๆจากสะพานมอญ สังขละมาฝาก [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    ในสมัยที่ผมได้มาที่นี้ครั้งแรกเมื่อ 20 กว่าปีก่อน(มาเป็นครูอาสาให้กับเด็กกระเหลี่ยงในป่าทุงใหญ่นเรศวร) จำได้ว่าต้องรีบเดินป่าออกมาตั้งแต่ 2-3 ทุ่มมาให้ถึงที่ กองร้อย ต.ช.ด ที่134 ก่อนตี 4 เพื่อขอติดรถทหารเข้าตัวอำเภอสังขละ แล้วเดินเท้าต่ออีกหลายกิโล เพื่อจะได้ไปใส่บาตรที่สะพานมอญได้ทันเวลา กระเหลี่ยงแถบไล่โว่ที่ผมอยู่ด้วยนั้นเป็นกระเหลี่ยงมอญซึ่งนับถือพุทธครับต่างจากกระเหลี่ยงไทยทางภาคเหนือซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีศาสนาหรือนับถือผี เช่นเดียวกับกระเหลี่ยงฝั่งพม่าซึ่งนับถือผีเป็นส่วนมาก มีเพียงชนกลุ่มน้อยบางพวกเท่านั้น ที่นับถือคริสต์ตามที่นักบวชสอนศาสนาชาวยุโรปมาเผยแพร่ไว้ ฝั่งพม่าบริเวณใกล้กับสะพานมอญกระเหลี่ยงฝั่งโน้นส่วนใหญ่เป็นกระเหลี่ยงคริสต์

     หมู่บ้านกระเหลี่ยงที่ผมอาศัยอยู่นั้น การใส่บาตรเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเขา มีกำหนดการแน่ชัดว่าขึ้นกี่ค่ำ แรมกี่ค่ำจะเป็นวันต้องใส่บาตร เมื่อถึงกำหนดก็จะส่งตัวแทนจำนวนหนึ่งออกมาใส่บาตรแทนคนทั้งหมู่บ้าน เพราะการใส่บาตรแต่ละครั้งไม่ได้ทำกันง่ายๆเพราะสมัยนั้น ยังไม่มีวัดบริเวณใกล้เคียง วัดที่ใกล้ที่สุด ระยะทางเดินป่าประมาณ 4 ชม. แต่กระเหลี่ยงที่ผมไปอยู่ด้วยก็ไม่เลือกที่จะออกมาทำบุญหรือใส่บาตรกันที่นี้ เพราะวัดนั้นเป็นวัดไทยแท้ๆ และมีคนไทยบวชเป็นพระจำพรรษาอยู่

     ชาวกระเหลี่ยงมอญจึงเลือกที่จะไปใส่บาตรกันที่สะพานมอญ แม้จะต้องเดินทางไกลกว่า ใช้เวลามากกว่าก็ยอม ผมเองตอนอยู่ที่นั้นก็เคยติดสอยห้อยตามพวกเขายกขบวนกันออกมาใส่บาตรด้วยอยู่บ้าง เพื่อถือโอกาศเข้าตลาดซื้อของใช้ส่วนตัวในตัวอำเภอสังขละหลังจากใส่บาตรแล้ว แต่การจะออกมาแต่ละที ถ้าไม่จำเป็นถึงขีดสุด ผมจะไม่ออกมากับเขา เพราะการเดินป่ากลางคืนไม่ใช่วิสัยของคนเมืองอย่างผมควรกระทำ ขนาดให้เดินกลางวันคนเดียว  แม้จะเคยเดินบนเส้นทางนั้นมาพอสมควรแล้วก็ตาม ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะไปได้ที่หมายได้ถูกต้องทุกครั้งหรือเปล่า

    เวลาผ่านไป 20 ปี บรรยากาศแถวสะพานมอญเปลี่ยนไปเยอะมาก เซเว่นกระหน่ำเปิดกันไม่รู้ตั้งกี่สาขา เปิดเยอะจนผมรู้สึกว่าร้านสะดวกซื้อเหล่านี้กำลังบุกรุกทำลายความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของคนที่นี้ เพราะสังเกตุดู ผมแทบไม่เห็นคนท้องถิ่นที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเข้าร้านพวกนี้เท่าไรเลย มีแต่เด็กๆเล็กๆที่ยังไม่น่าจะรู้ประสีประสา กับนักท่องเที่ยวที่ยึดติดกับความสะดวกสบายเดินชักแถวกันเข้าไปใช้บริการร้านพวกนี้

    ผมไม่มีทัศนะคติเป็นลบกับเซเว่นเพราะความเห็นทางการเมือง แต่ตรงกันข้าม ผมกับถือว่าเซเว่นมีบุญคุณกับผมด้วยซ้ำ เพราะงานแรกที่ผมหาได้หลังหยุดเป็นครูอาสากลับเข้าเมือง ก็คือได้เป็นผู้จัดการฝึกหัดร้านเซเว่น แม้จะทำไม่ได้นาน เพราะหางานที่ตรงสายกับสิ่งที่เรียนมาได้ภายหลัง แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากที่นี้ ก็ช่วยต่อชีวิตของครอบครัวใหม่ สองคนผัวเมียกับหนึ่งชีวิตน้อยๆที่กำลังจะมาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว ได้ทันเวลาพอดี

    และผมก็ไม่ได้หัวโบราณจัดจนต้องปิดกั้นไม่ให้ความเจริญถาโถมเข้ามาในพื้นที่ที่มีธรรมเนียมวัฒนธรรมที่สวยงาม แต่มันควรจะมีลิมิต หรือข้อจำกัดบางอย่างบ้าง ไม่ใช่มีเยอะจนรู้สึกว่า วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี้ดูล้าหลังขัดแย้งกับความเจริญที่ทะลักเข้ามาชาวมอญและกระเหลี่ยงแถบนั้น เขาอยู่ที่นี้ตั้งรกรากกันมาเป็นร้อยปี มีขนมธรรมเนียมวิถีชีวิตของตัวเอง และรักษาตกทอดกันเรื่อยมา แต่วันนี้ตัวคนเหล่านี้กลับใกล้จะสูญเสียความเป็นตัวเองไป ลูกหลานรุ่นใหม่ที่เริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งแปลกใหม่มากขึ้น เพราะธุรกิจที่มุ่งเน้นผลกำไร จนไม่ใส่ใจวัฒธรรม


วิถีเก่า แก่ใกล้.............สูญสิ้น
ธุรกิจ รุกถิ่น................ทั่วหน้า
ลูกเล็กเด็กชาชิน..........สูดกลิ่น คนเมือง
สะพานมอญ ไม่ช้า.......คงหมดชาวมอญ




ป.ล.หงุดหงิดเล็กๆครับ ที่รูปถ่ายครอบครัวตัวเองที่ตั้งใจจะถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่หันไปถ่ายมุมไหน ก็ดันมีสิ่งแปลกปลอมกับบรรยากาศตลาดไม้เก่า อย่างร้านเซเว่น โผล่มาโดยไม่ได้รับเชิญ ถ่ายติดมาด้วยแทบทุกภาพ เลยต้องเอาโปสการ์ดของที่นี้ มาให้ทุกๆคนดูแทน

จริงๆตอนแรกกะเขียนเรื่องนี้เอาไปโพสต์ในราชดำเนิน โดยจับประเด็นการทำธุรกิจโดยไม่ใส่ใจจะรักษาวัฒธรรม ซึ่งถ้าผมเขียนก็คงจะแซ่บตามสไตล์ผม แต่คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า เพราะเดี๋ยวจะหาว่าไปตีวัวกระทบคราด ด่าซีพีเพื่อกระทบใครบางคน ซึ่งไม่เกิดประโยชนือันใด เพราะเขาด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ก็ยังเฉยๆเดินหน้ากอบโกยต่อไป เลยเอามาเล่าสู่กันฟังในห้องนี้ตามประสาคนชอบเขียนครับ เป็นรีวิวท่องเที่ยวสไตล์ไอ้รอง แปลกๆหน่อย ก็ทนอ่านๆกันไปนะครับ 555+
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่