คุณเป็นนัก "เก็บ" อดีตตัวยงอยู่รึเปล่า?



วันก่อน
นั่งอ่านหนังสือสอนวิธีจัดเก็บบ้านไม่ให้รก
ในนั้นเขียนไว้ว่า ขั้นตอนแรกของการจัดบ้าน..ก็คือการ "ทิ้ง"

เราต้องเริ่มจากการ "ทิ้ง" สิ่งของที่ไม่จำเป็น หรือไม่ได้ใช้งาน
ออกไปให้หมดเสียก่อน แล้วถึงจะเริ่มต้นลงมือจัดบ้านได้
ในหนังสือบอกว่า คนส่วนใหญ่มักจะมาตายกันตรงขั้นตอนนี้นี่แหละ
คือ ตัดใจทิ้งของไม่ลง ทั้งๆที่ของเหล่านั้น อาจจะไม่ได้ถูกแตะ หรือหยิบออกมา
ใช้งานเลยเป็นปีๆ แต่พอหยิบมันขึ้นมาดูตอนจัดบ้าน คนส่วนใหญ่
จะเกิดอาการ "อาลัยอาวร" รู้สึกทิ้งไม่ลง หรือบางคนก็คิดว่า
อาจจะมีโอกาสได้หยิบของสิ่งนั้นมาใช้อีกในอนาคต
ก็เลยตัดสินใจเก็บมันกลับไปที่เดิม แทนที่จะทิ้งไป

อ่านไปก็คิดไปว่าจริงๆแล้ว คนเรามีนิสัย "ชอบเก็บ"
ไม่ใช่แค่ข้าวของในห้อง แต่รวมไปถึงเรื่องราวหลายๆอย่าง
ที่เกิดขึ้น และผ่านไปแล้ว ซึ่งเรื่องที่เราจดจำเอาไว้ในสมอง
ก็มีมากมาย ซึ่งเราเคยคิดที่จะจัดพื้นที่ในสมองของเราบ้างรึเปล่า?
เราเคยคิดที่จะ "ทิ้ง" อดีต" บางอย่างไปบ้างรึเปล่า?

ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยพยายาม อยากจะทิ้งอดีตบางอย่างไป
แต่จนแล้วจนรอด เราก็ตัดใจทิ้ง หรือลืมเรื่องราวเหล่านั้นไม่ลง
อาจจะเพราะเหตุผลคล้ายๆกับที่เราตัดใจทิ้งข้าวของในห้องไปไม่ได้นั่นแหละ
คือ เราเสียดายความทรงจำเหล่านั้น เพราะถึงแม้มันจะเจ็บปวด
แต่มันก็อัดแน่นไปด้วยเรื่องราว และช่วงเวลาดีๆที่เราเคยมีให้กับใครคนหนึ่ง
และความทรงจำดีๆเหล่านั้น ก็อาจจะมีคุณค่ากับจิตใจของเรามาก
เสียจนเราตัดใจลืมอดีตนั้นไปไม่ได้ แม้ว่าทุกครั้งที่ย้อนคิดถึงมัน
จะเหมือนกับการนั่งดูหนังรักที่จบลงท้ายด้วยความเจ็บปวดก็ตาม

หรือบางคนก็ตัดใจทิ้งอดีตไม่ลง เพราะยังแอบมีความหวังว่า
อดีตนั้น อาจจะหวนคืนกลับมาได้ใหม่ เหมือนที่เราทิ้งของบางอย่างไม่ลง
เพราะคิดว่า เดี๋ยวอาจจะมีโอกาสได้หยิบมันมาใช้มันอีก แต่เอาเข้าจริงๆ
ร้อยทั้งร้อย ของสิ่งนั้นก็จะถูกเก็บกลับไว้ในซอกหลืบเดิมไปอีกปี
จนเมื่อเรารื้อมันออกมาเจอใหม่ เราก็ยังไม่ได้หยิบมันออกมาใช้อยู่ดี
เหมือนกับอดีตบางเรื่อง ที่เราไม่ทิ้งไป เพราะหวังว่ามันจะย้อนกลับมา
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ทุกครั้งที่เราย้อนนึกถึงมัน
อดีต..ก็ยังคงเป็นอดีตอยู่ดี

อ่านมาถึงตรงนี้
หลายคนก็อาจเริ่มเห็นด้วยกับหนังสือ
คงจะจริงที่ "การทิ้ง" เป็นขั้นตอนที่ยากเย็นที่สุด
เราจะตัดใจทิ้งได้อย่างไร ถ้าเรายังเสียดายมันอยู่
เราจะตัดใจทิ้งได้อย่างไร ถ้าเรายังมีหวังกับมันอยู่


ของบางอย่าง อาจไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว แต่มันยังมีคุณค่า
ต่อจิตใจ จนเราหยิบมันทิ้งลงถุงขยะไม่ลง
กับอดีตบางเรื่อง แม้มันจะไม่ได้ทำให้เรามีความสุขได้อีกต่อไปแล้ว
แต่มันก็ "เคย" ทำให้เรามีความสุข และนั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่เรา
ไม่ยอมปล่อยมันไป


แต่ถ้าสมองเป็นเหมือนกับห้องๆหนึ่ง
ถ้าเราไม่ตัดใจทิ้งอะไรออกไปเลย ห้องของเราก็จะกลายเป็นห้องที่รก
เต็มไปด้วยสิ่งของที่ไม่ได้ใช้มากมาย จะขยับตัวเดินไปทางไหน
หรือจะนั่งทำงาน พักผ่อน เราก็จะรู้สึกอึดอัด ไม่คล่องตัว
ฉะนั้น ในหนังสือจึงแนะนำว่า ทุกครั้งที่เราคิดเสียดายที่จะต้องทิ้งอะไรบางอย่างไป
ให้เราคิดว่า เมื่อเราทิ้งของสิ่งนั้นไปแล้ว เราก็จะได้พื้นที่ว่างมากขึ้นกลับมา
ให้เราได้ขยับย้ายข้าวของ เปลี่ยนมุมห้องเดิมให้ดูสดใส และแปลกตามากขึ้น
หรือมีพื้นที่ว่างพอให้ซื้อของชิ้นใหม่ เฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆที่เราอยากได้
แต่ก่อนหน้านั้นทำไม่ได้ เพราะห้องรกจนไม่มีที่พอให้กับมัน

อดีต..
ถ้าเก็บไว้แล้วทำให้เราอึดอัดใจ รู้สึกเหมือนชีวิตไม่ก้าวข้าม
หรือเปลี่ยนแปลงไปไหน ถ้าทุกครั้งที่คิดถึงอดีต เรายังรู้สึกเหมือนติดกับ
หรือจมอยู่กับความหลังเดิมๆ และมองไม่เห็นวี่แววที่จะพบเจอกับความสุขอีกในอนาคต
ลองตัดใจเอาอดีตเหล่านั้นทิ้งไปดู

เพราะสุดท้ายแล้ว...
ชีวิตเราก็อาจเป็นเหมือนกับห้องๆหนึ่ง
ถ้าเราลองเอาอดีตบางอย่างทิ้งไปบ้าง ชีวิตเราอาจมีพื้นที่ว่างมากขึ้น
พอให้เราได้เดินออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆ
พบปะผู้คนใหม่ๆ เจอะเจอกับเรื่องราวใหม่ๆ

อย่าเสียดายห้องเดิมๆ ที่รกไปด้วยอดีตจนเราจัดย้าย หรือตกแต่งอะไรมันไม่ได้
ทิ้งอดีตที่ไม่มีประโยชน์ หรือทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริงไปได้แล้ว

บางที..
เคยรู้สึกรึเปล่า ว่าเวลาเราจัดห้องใหม่
เราจะรู้สึกอยากอยู่ในห้องนั้นมากขึ้น
เราจะรู้สึกว่าห้องนั้นดูสดใส น่าอยู่ และมีชีวิตชีวามากขึ้น
ชีวิตก็คงไม่แตกต่างกัน
เราต้องหมั่นจัดชีวิตใหม่บ่อยๆ เพื่อให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้เป็นชีวิตที่น่าอยู่

อย่าเป็นคนชอบเก็บ แต่จงฝึกตัวเองให้เป็นคนกล้าที่จะทิ้ง
ถ้าเราไม่ยอมทิ้งของเก่า เราจะไม่มีวันมีที่พอสำหรับของใหม่


อย่าจมอยู่กับห้องรกๆที่เต็มไปด้วยอดีต
ที่ไม่อาจมอบความสุขอะไรให้เราได้อีกแล้ว
อย่ามัวทำตัวเป็นนัก "เก็บ" อดีตอยู่เลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่