กระทู้นี้ ไม่ได้มีเจตนาเป็น กระทู้คำถามนะครับ.....ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณชาวพันทิป ทุกคนที่คอยให้คำแนะนำให้คำปรึกษา มาตลอดนะครับ
วันนี้ขอเอาพื้นที่ในพันทิประบายความรู้สึกสักหน่อย นะครับ ก่อนหน้านี้ที่ผมป่วยแล้วมาตั้งกระทู้ในพันทิป มีเพื่อนในพันทิปคนหนึ่งแนะนำให้ผมหากิจกรรม ทำร่วมกับแฟน เพื่อที่จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และจะไม่เครียด วันนี้ผมได้ทำตามคำแนะนำแล้วนะครับ
วันหยุดยาวที่ผ่านมา ผมและ J จัดทริปกับพี่ๆ ของ J ไปพิชิตลานสนภูสอยดาวกัน ซึ่งแน่นอนตลอดระยะทางอันแสนลำบาก ที่เต็มไปด้วยป่าเขา ลำธาร ภูเขาสลับซับซ้อน ที่กว่าจะผ่านมาได้ก็เอาแทบแย่เหมือนกัน แต่มันคุ้มค่ามากกับสิ่งที่เราได้รับจากธรรมชาติ และครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มาทำอะไรแบบนี้ กับคนที่เรารักและรักเรา
ผมเคยคิดว่าสักครั้งหนึ่งจะมีคนยื่นมือมาให้เราจับเวลาขึ้นเขา เหมือนในละคร และมันก็มีจริงๆ นั่นก็คือ J นี่แหล่ะครับ ที่ส่งมือมาให้ผมจับและประคองตัวเพื่อเดินขึ้นเขา และคอยเคียงข้างตลอดระยะทางแม้ว่าจะยากลำบากขนาดไหน ทั้งขึ้นเขา ลงห้วย ผมรับรู้ได้ว่าเขาจะไม่ทิ้งผมแน่นอน ระยะทางกว่า 6.5 กิโลเมตร ที่แสนลำบากนี้มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่เหนื่อยเลย ถ้าเทียบกับสิ่งดีดี ความรู้สึกดีดี ที่ผมได้รับ
พี่ที่ไปด้วยก็แซว ว่า “จะเลิกหรือจะคบกันต่อก็ดูตอนนี้แหล่ะ” ตอนเดินขึ้นภูสอยดาว เขาว่ากันว่ามีหลายคู่ที่เลิกรา กันไป นั่นอาจจะเป็นเพราะใช้ความเหนื่อยมาเป็นอารมณ์มากกว่า เราต้องรู้จักปรับวิกฤต ให้มันเป็นโอกาส แล้วสร้างสิ่งดีดีให้กันดีกว่า
จะว่าที่นี่เป็นที่แรกก็ได้ที่เราสองคนกอดกันต่อหน้าคนอื่น ก็เพราะความหนาว ทุกคืนที่นั่งทานข้าว และจิบ Smirnoff เย็นๆ ข้างกองไฟ ผมก็จะนั่งติดกับ J พอดึกๆ อากาศเย็นลงผมก็จะกอดเขา แล้วล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อของเขา แล้วเอาขาพาดไปข้างหน้า อยากบอกว่ามันอุ่นมากๆๆๆๆ และก็มีความสุขมากๆด้วยเช่นกัน จนพี่ที่ไปด้วยหมั่นไส้ ฮ่าๆๆๆๆ ก็นานๆที จะได้อยู่แบบนี้ พอเข้าเต็นท์ การที่ผมเป็นคนตัวเล็กกว่า J ทำให้ผมได้เปรียบมาก เพราะมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นและแสนสบาย โดยที่ไม่ต้องห่มผ้าเองก็อุ่นจนถึงเช้า
3 วัน 2 คืน บนลานสนภูสอยดาวมันพิสูจน์อะไรๆ ได้หลายอย่าง จริงๆ
ชาย-ชาย แชร์ความรู้สึก
วันนี้ขอเอาพื้นที่ในพันทิประบายความรู้สึกสักหน่อย นะครับ ก่อนหน้านี้ที่ผมป่วยแล้วมาตั้งกระทู้ในพันทิป มีเพื่อนในพันทิปคนหนึ่งแนะนำให้ผมหากิจกรรม ทำร่วมกับแฟน เพื่อที่จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และจะไม่เครียด วันนี้ผมได้ทำตามคำแนะนำแล้วนะครับ
วันหยุดยาวที่ผ่านมา ผมและ J จัดทริปกับพี่ๆ ของ J ไปพิชิตลานสนภูสอยดาวกัน ซึ่งแน่นอนตลอดระยะทางอันแสนลำบาก ที่เต็มไปด้วยป่าเขา ลำธาร ภูเขาสลับซับซ้อน ที่กว่าจะผ่านมาได้ก็เอาแทบแย่เหมือนกัน แต่มันคุ้มค่ามากกับสิ่งที่เราได้รับจากธรรมชาติ และครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มาทำอะไรแบบนี้ กับคนที่เรารักและรักเรา
ผมเคยคิดว่าสักครั้งหนึ่งจะมีคนยื่นมือมาให้เราจับเวลาขึ้นเขา เหมือนในละคร และมันก็มีจริงๆ นั่นก็คือ J นี่แหล่ะครับ ที่ส่งมือมาให้ผมจับและประคองตัวเพื่อเดินขึ้นเขา และคอยเคียงข้างตลอดระยะทางแม้ว่าจะยากลำบากขนาดไหน ทั้งขึ้นเขา ลงห้วย ผมรับรู้ได้ว่าเขาจะไม่ทิ้งผมแน่นอน ระยะทางกว่า 6.5 กิโลเมตร ที่แสนลำบากนี้มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่เหนื่อยเลย ถ้าเทียบกับสิ่งดีดี ความรู้สึกดีดี ที่ผมได้รับ
พี่ที่ไปด้วยก็แซว ว่า “จะเลิกหรือจะคบกันต่อก็ดูตอนนี้แหล่ะ” ตอนเดินขึ้นภูสอยดาว เขาว่ากันว่ามีหลายคู่ที่เลิกรา กันไป นั่นอาจจะเป็นเพราะใช้ความเหนื่อยมาเป็นอารมณ์มากกว่า เราต้องรู้จักปรับวิกฤต ให้มันเป็นโอกาส แล้วสร้างสิ่งดีดีให้กันดีกว่า
จะว่าที่นี่เป็นที่แรกก็ได้ที่เราสองคนกอดกันต่อหน้าคนอื่น ก็เพราะความหนาว ทุกคืนที่นั่งทานข้าว และจิบ Smirnoff เย็นๆ ข้างกองไฟ ผมก็จะนั่งติดกับ J พอดึกๆ อากาศเย็นลงผมก็จะกอดเขา แล้วล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อของเขา แล้วเอาขาพาดไปข้างหน้า อยากบอกว่ามันอุ่นมากๆๆๆๆ และก็มีความสุขมากๆด้วยเช่นกัน จนพี่ที่ไปด้วยหมั่นไส้ ฮ่าๆๆๆๆ ก็นานๆที จะได้อยู่แบบนี้ พอเข้าเต็นท์ การที่ผมเป็นคนตัวเล็กกว่า J ทำให้ผมได้เปรียบมาก เพราะมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นและแสนสบาย โดยที่ไม่ต้องห่มผ้าเองก็อุ่นจนถึงเช้า
3 วัน 2 คืน บนลานสนภูสอยดาวมันพิสูจน์อะไรๆ ได้หลายอย่าง จริงๆ