สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปนะครับ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของผมที่ได้เริ่มเขียนรีวิวอย่างจริงๆจังๆ และเริ่มทำ Facebook Fan Page แชร์ประสบการณ์การเที่ยวของผมเอง ชื่อ “เพื่อนเที่ยว” หรือ กดLink :
https://www.facebook.com/pagepuentiew ได้เลย ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
ก่อนอื่นขออนุญาตแนะนำตัวสักเล็กน้อย ผมชื่อ “ป๊อก” นะครับ ตอนนี้ก็อายุ 27 ปีเต็ม ปกติก็ใช้ชีวิตทั่วไป มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ เป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ก็เริ่มเที่ยวช่วงที่ทำงานแหละครับ จนกลายเป็นคนชอบเที่ยวและก็ชอบถ่ายรูปไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และช่วงนี้รู้สึกเบื่องานนิดๆ เลยหันไปสิ่งที่จะช่วยบำบัดอาการเบื่อ นั่นก็คือ การหาทริปเที่ยวสักทริปหนึ่ง และตั้งใจว่าจะไปคนเดียวเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับชีวิต
จนวันหนึ่งก็มีโปรโมชั่นของสายการบินหนึ่งที่ไปกลับ Osaka ในราคาไม่ถึง 8,000 บาท ทำให้ผมกดจองตั๋วแบบไม่ทันได้คิดอะไรทั้งสิ้น คิดอย่างเดียวว่าจะไปเที่ยววววว แล้วอะไรก็หยุดไม่อยู่ กดจองทันที จองตั๋วล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน และเมื่อวันที่ 16-21 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา ทริปเที่ยวคนเดียวของผมก็ได้เกิดขึ้น ผมเลยขอแชร์ประสบการณ์ เผื่อจะข้อมูลและเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครที่อยากลองไปเที่ยวคนเดียว แต่ยังกล้าๆกลัวๆอยู่ กลัวว่าไปแล้วจะลำบาก กลัวหลงทาง กลัวจะสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่อง และที่สำคัญคือ กลัวจะเหงา ซึ่งผมว่าสิ่งเหล่านี้แหละเป็นเสน่ห์ของการเที่ยวคนเดียว
1. การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
- จัดทริป: ครั้งนี้ผมตั้งใจว่าจะเที่ยวในแถวKansai และจัดทริปหลวมมากๆ เพราะไม่อยากรีบ หลักๆก็จะมี รายละเอียดประมาณนี้ครับ
Day 1 : ดอนเมือง – Osaka ถึงช่วงเย็น เดินเล่นย่าน Shinsaibashi ไปถ่ายรูปป้ายกุลิโกะ และหาของกินที่ Dotonbori
Day 2 : ไปเมือง Himeji ดูปราสาท และเที่ยวเมือง Kobe
Day 3 : ไปเมือง Nara เที่ยววัด Todaiji และเดินเล่นดูกวางใน Nara Park
Day 4 : ไปเมือง Arashiyama นั่งรถไฟสายSagano Romantic Train ,วัดTenryu-ji และเดินป่าไผ่
Day 5 : ไปMinoo Waterfall ที่อยู่ตอนเหนือของOsaka และShopping แถว Shinsaibashi
Day 6 : เก็บตก Shopping และเดินทางกลับไทยตอนเย็น
- การหาข้อมูลเที่ยว: ผมอาศัยการหาข้อมูลจาก www.japan-guide.com ซึ่งให้แบ่งเป็นเมืองๆเลยว่ามีที่เที่ยวอะไรบ้างที่ควรไป และรายละเอียดค่อนข้างดี บอกการวิธีการเดินทาง ค่าใช้จ่าย เวลาเปิด เวลาปิด ถือว่าเว็บเดียวครบเลยครับ
- การหาวิธีการเดินทาง: ก็ใช้เว็บยอดฮิตอย่าง www.hyperdia.com ซึ่งช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่เราต้องรู้สถานีต้นทางและปลายทางที่เราจะไป ใส่วันและเวลาเดินทาง จากนั้นเว็บก็จะบอกวิธีการเดินทางที่เร็วที่สุด และยังเลือกวิธีการเดินทางได้ด้วย เช่น รถไฟJR รถไฟเอกขน รถบัส เครื่องบิน เป็นต้น
- ตั๋วรถไฟ: แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ
1. การเดินทางไปกลับจากสนามบิน: ใช้ Nankai Airport Express เที่ยวละ 920 เยน ใช้ 40 นาที จากสนามบินKIXถึง Namba
2. การเดินทางเที่ยวเมืองรอบๆOsaka: ใช้ Kansai Thru Pass แบบ 3 วัน ราคา 5,200 เยน เป็นตั๋วบุฟเฟ่ต์รถไฟของเอกชนที่สามารถเที่ยวได้ทั่วภูมิภาคKansai ไม่ว่าจะเป็น Osaka / Kyoto / Kobe / Nara / Wakayama / Himeji
3. การเดินทางเที่ยวในOsaka: ใช้ Osaka One Day Pass ราคา 800 เยน เป็นตั๋วบุฟเฟ่ต์รถไฟใต้ดินใน Osaka
- การจองที่พัก: ผมใช้ Osaka เป็นฐานที่มั่น เทคนิคในการเลือกที่พักของผมจะเลือกราคาสมเหตุสมผล ทำเลใกล้สถานีรถไฟ ใกล้ย่านที่หาของกินได้ง่าย และใกล้แหล่งช็อปปิ้ง แหล่งในการหาที่พักก็คือ Booking.com และซึ่งในครั้งนี้ผมได้ลองไปนอนที่ “New Japan Capsule Hotel Cabana” เป็นที่พักแบบแค็ปซูลสำหรับผู้ชายเท่านั้น
2. เรื่องดราม่าก่อนออกเดินทาง
- วันที่ 16 ตุลาคม 2558 ก่อนที่จะไปถึงสนามบินดอนเมือง ยังไม่ทันไปถึงไหน ก็มีเรื่องตื่นเต้นและดราม่าหนักมากแล้ว T T สืบเนื่องจากเมื่อคืนได้ทำเคลียร์งานอย่างหนักหน่วง หลังจากทำได้ประมาณ 90% แล้วส่งไม้ต่อให้กับน้องในทีม ก็สักประมาณตีหนึ่งได้ ก็หลับตามปกติ และก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตั้งใจจะตื่นตีห้า หลับฝันดีว่าได้อยู่ญี่ปุ่นสมใจ แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อนาฬิกาทำหน้าที่ของมันตามปกติ แต่สมองสั่งการไม่ให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มารบกวนการนอน รู้ตัวอีกที เอ้ยยยยยย!! เจ็ดโมง (เครื่องออก 8.30 น.) สตั๊นไปสามวิ หลังจากตั้งสติได้ก็ โกยของทุกอย่างลงกระเป๋า โบกมอไซต์วินหน้าคอนโด ตั้งใจจะให้ถึงภายในเจ็ดโมงยี่สิบ แต่สิ่งที่คิดกับสิ่งที่เป็นจริงต่างกันลิบลับ การจราจรเมืองไทยทำพิษ มาถึงเจ็ดโมงสี่สิบ สรุป...ตกเครื่องสิครับ รออะไร ไม่ทันเช็คอิน ไปยืนงงที่หน้าเคาน์เตอร์ อ้อนวอนให้พนักงานช่วย T T แต่เค้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่ความผิดพลาดของสายการบิน หลังจากช็อคไปแปปนึง ก็ตั้งสติและก็คิดว่าตั้งใจจะไปแล้ว ไม่ไปคงไม่ได้ สุดท้ายเลยตัดสินใจซื้อตั๋วขาไปใหม่ ในราคาแพงกว่าตั๋วไปกลับที่ซื้อมา น้ำตาจิไหล เฮ้ออออ ซื้อตั๋วlow cost ในราคาfull service (รวมแล้วค่าตั๋วที่ซื้อใหม่ + ตั๋วที่ตกเครื่องไป = 18,700 บาท) เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าควรถ้าเที่ยวคนเดียวไม่ควรนอนดึก และควรหาคนปลุก
3. เมื่อถึงญี่ปุ่น
- Day 1: ดอนเมือง – Osaka
หลังจากที่ตกเครื่อง ทำให้แผนการเที่ยววันแรกพังพินาศ เหลือแค่เดินทางไปถึงสนามบิน KIX และเข้าที่พักทันที เนื่องจาก Flight ที่จองใหม่ออกจากดอนเมือง 15.30 น. ถึงOsaka ประมาณ 22.40 น. เมื่อถึงสนามบิน
ก็ไปที่สถานีรถไฟ Nankai ทันที จากนั้นมองทางซ้ายจะมือ จะมี Ticket Office อยู่ จัดการเรื่องการซื้อตั๋ว Airport Express เข้าเมือง และซื้อ Kansai Thru Pass 3 Day ได้ที่เจ้าหน้าที่เลยครับ
หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟไปประมาณ 40 นาที ก็ถึงสถานีรถไฟ Namba Nankai ซึ่งอยู่ใต้ห้าง Takashiyama หลังจากนั้นให้มองหา Exit ที่ไปถนน Midosuji เพื่อเดินไปที่พัก “New Japan Capsule Hotel Cabana” ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จากสถานีรถไฟ ซึ่งความเห็นส่วนตัวคิดว่าเป็นที่พักที่ดีเลยแหละ ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนี้
- ทำเลใกล้แหล่งช็อปปิ้ง อย่างShinsaibashi สามารเดินถึงได้ไม่เดิน 3 นาที
- ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินสถานี Namba (Exit 25) และ สถานี Namba Nankai ที่มาจากมีรถไฟไปกลับสนามบิน
- มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ สบู่ แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าขนหนู มีโกนหนวด อุปกรณ์เซ็ทผม และมีชุดนอนให้
- เปิด 24 ชั่วโมง มีพนักงานตลอด พูดภาษาอังกฤษได้ และมีคนไทยเป็นพนักงานด้วยครับ
- ปลอดภัย จริงๆที่นี่เป็นซาวน่าที่มีโรงแรม ซึ่งแยกสัดส่วนชัดเจน ต้องมีคีย์การ์ดถึงจะเข้าโซนโรงแรมได้
- มีอาหารขายในราคาไม่แพง ตกจานละ 680-1200 เยน
- ราคาคืนละ 4,100 เยน (หรือประมาณ 1,200 บาท)
แต่ข้อเสียของที่นี้ คือ เรื่องที่เก็บของค่อนข้างเล็ก ไม่เหมาะสำหรับคนที่สัมภาระเยอะ ไม่เหมาะกับมาเป็นครอบครัว และไม่เหมาะกับผู้ชายขี้อาย เพราะว่าเป็นห้องน้ำรวมตามสไตล์ญี่ปุ่น เพราะทุกคนจะโป๊กันหมด ใครเล็กใครใหญ่ งานนี้เห็นกันจะๆไปเลยครับ
- Day 2: ไปเมือง Himeji ดูปราสาท และเที่ยวเมือง Kobe
สำหรับวันที่สอง ก็แพลนจะไปเที่ยวHimeji และKobe โดยในช่วงเช้าเริ่มที่ปราสาทHimeji และตอนเย็นไปถ่ายรูปHarbourlandที่Kobe
Himeji Castle
- การเดินทาง: เริ่มต้นจากตั้งต้นจากสถานี Umeda(Hanshin) นั่งรถไฟไปลงสถานี Sanyohimeji ใช้เวลาประมาณ 90 นาที (สามารถใช้Kansai Thru Passได้)
- ความน่าสนใจ: Himeji Castle ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมะจิ จังหวัดเฮียวโงะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538 ปราสาทฮิเมะจิได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2536 ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น โดยอีก 2 แห่งคือ Kumamoto Castle กับ Matsumoto Castle
- ค่าเข้า: 1,000 เยน
- เวลาเปิด-ปิด: 9.00-16.00 น.
Kobe Harbourland
-การเดินทาง: จากสถานี Sanyohimeji นั่งรถไฟ Hanshin/Sanyo Through Ltd. Exp มาลงที่สถานี Kosokukobe ใช้เวลาประมาณ 60 นาที แล้วเดินอีก 10 นาที เพื่อไปที่ อ่าวHarbourland
-ความน่าสนใจ: เป็นย่านช็อปปิ้งริมน้ำ มีร้านกาแฟ ร้านอาหารเรียงตัวอยู่ริมน้ำ และเป็นจุดชมวิวริมอ่าวKobeที่โรแมนติกมากๆ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็ได้เวลากลับ Osaka แล้ว โดยนั่งรถไฟสายHanshin จากสถานี Kobe Sannomiya ไปสถานี Umeda (Hanshin) และก็ต่อรถไฟใต้ดินไปที่สถานี Namba จบทริปวันที่ 2 ครับ
- Day 3: ไปเมือง Nara เที่ยววัด Todaiji และเดินเล่นดูกวางใน Nara Park
สำหรับวันที่สาม วันนี้จะพาไปเที่ยว Nara กันนะครับ สำหรับเมือง Nara มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะมาก แต่ที่ตั้งใจไปครั้งนี้ คือ วัด Todaiji และไปดูกวางที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่น่ารัก เพราะมีกวางเนี่ยแหละเป็นจุดขาย เดินไปทางไหนก็เจอกวางเต็มไปหมด เยอะพอๆกับนักท่องเที่ยว
Todaiji Temple
-การเดินทาง: เริ่มจากสถานี Osaka-Namba นั่งรถไฟสายKintensu Nara ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จากสถานีKintensu Nara สามารถเดินไปได้ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่ถ้าขี้เกียจเดินแนะนำนั่งรถบัสไปครับ ลงป้าย Todaiji Daibutsuden ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
-ความน่าสนใจ: วัดTodaiji เป็นวัดพุทธในเมืองNara ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และศาลาหลักของวัดนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุสสึขนาดใหญ่ และบรรยากาศรอบๆวัดที่เป็น Nara Park มีกวางมายืนคอนต้อนรับนักท่องเที่ยว
-ค่าเข้า: 500 เยน
-เวลาเปิด-ปิด: 7:30 to 17:00 (ช่วงเดือนตุลาคม)
หลังจากเที่ยวNara เสร็จก็ได้เวลาเดินทางกลับOsaka เนื่องจากกลับมาแล้วยังไม่ดึกเลยไปเดินเล่นแถวShinsaibashi และ Dotonbori ซึ่งเป็นย่านShopping และแหล่งรวมของกินอร่อยๆครับ
[CR] Review : Kansai Alone 6 วัน 5 คืน เมื่อเพื่อนเที่ยวมันหายาก คนเดียวก็เปรี้ยวได้
สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปนะครับ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของผมที่ได้เริ่มเขียนรีวิวอย่างจริงๆจังๆ และเริ่มทำ Facebook Fan Page แชร์ประสบการณ์การเที่ยวของผมเอง ชื่อ “เพื่อนเที่ยว” หรือ กดLink : https://www.facebook.com/pagepuentiew ได้เลย ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
ก่อนอื่นขออนุญาตแนะนำตัวสักเล็กน้อย ผมชื่อ “ป๊อก” นะครับ ตอนนี้ก็อายุ 27 ปีเต็ม ปกติก็ใช้ชีวิตทั่วไป มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ เป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ก็เริ่มเที่ยวช่วงที่ทำงานแหละครับ จนกลายเป็นคนชอบเที่ยวและก็ชอบถ่ายรูปไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และช่วงนี้รู้สึกเบื่องานนิดๆ เลยหันไปสิ่งที่จะช่วยบำบัดอาการเบื่อ นั่นก็คือ การหาทริปเที่ยวสักทริปหนึ่ง และตั้งใจว่าจะไปคนเดียวเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับชีวิต
จนวันหนึ่งก็มีโปรโมชั่นของสายการบินหนึ่งที่ไปกลับ Osaka ในราคาไม่ถึง 8,000 บาท ทำให้ผมกดจองตั๋วแบบไม่ทันได้คิดอะไรทั้งสิ้น คิดอย่างเดียวว่าจะไปเที่ยววววว แล้วอะไรก็หยุดไม่อยู่ กดจองทันที จองตั๋วล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน และเมื่อวันที่ 16-21 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา ทริปเที่ยวคนเดียวของผมก็ได้เกิดขึ้น ผมเลยขอแชร์ประสบการณ์ เผื่อจะข้อมูลและเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครที่อยากลองไปเที่ยวคนเดียว แต่ยังกล้าๆกลัวๆอยู่ กลัวว่าไปแล้วจะลำบาก กลัวหลงทาง กลัวจะสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่อง และที่สำคัญคือ กลัวจะเหงา ซึ่งผมว่าสิ่งเหล่านี้แหละเป็นเสน่ห์ของการเที่ยวคนเดียว
1. การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
- จัดทริป: ครั้งนี้ผมตั้งใจว่าจะเที่ยวในแถวKansai และจัดทริปหลวมมากๆ เพราะไม่อยากรีบ หลักๆก็จะมี รายละเอียดประมาณนี้ครับ
Day 1 : ดอนเมือง – Osaka ถึงช่วงเย็น เดินเล่นย่าน Shinsaibashi ไปถ่ายรูปป้ายกุลิโกะ และหาของกินที่ Dotonbori
Day 2 : ไปเมือง Himeji ดูปราสาท และเที่ยวเมือง Kobe
Day 3 : ไปเมือง Nara เที่ยววัด Todaiji และเดินเล่นดูกวางใน Nara Park
Day 4 : ไปเมือง Arashiyama นั่งรถไฟสายSagano Romantic Train ,วัดTenryu-ji และเดินป่าไผ่
Day 5 : ไปMinoo Waterfall ที่อยู่ตอนเหนือของOsaka และShopping แถว Shinsaibashi
Day 6 : เก็บตก Shopping และเดินทางกลับไทยตอนเย็น
- การหาข้อมูลเที่ยว: ผมอาศัยการหาข้อมูลจาก www.japan-guide.com ซึ่งให้แบ่งเป็นเมืองๆเลยว่ามีที่เที่ยวอะไรบ้างที่ควรไป และรายละเอียดค่อนข้างดี บอกการวิธีการเดินทาง ค่าใช้จ่าย เวลาเปิด เวลาปิด ถือว่าเว็บเดียวครบเลยครับ
- การหาวิธีการเดินทาง: ก็ใช้เว็บยอดฮิตอย่าง www.hyperdia.com ซึ่งช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่เราต้องรู้สถานีต้นทางและปลายทางที่เราจะไป ใส่วันและเวลาเดินทาง จากนั้นเว็บก็จะบอกวิธีการเดินทางที่เร็วที่สุด และยังเลือกวิธีการเดินทางได้ด้วย เช่น รถไฟJR รถไฟเอกขน รถบัส เครื่องบิน เป็นต้น
- ตั๋วรถไฟ: แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ
1. การเดินทางไปกลับจากสนามบิน: ใช้ Nankai Airport Express เที่ยวละ 920 เยน ใช้ 40 นาที จากสนามบินKIXถึง Namba
2. การเดินทางเที่ยวเมืองรอบๆOsaka: ใช้ Kansai Thru Pass แบบ 3 วัน ราคา 5,200 เยน เป็นตั๋วบุฟเฟ่ต์รถไฟของเอกชนที่สามารถเที่ยวได้ทั่วภูมิภาคKansai ไม่ว่าจะเป็น Osaka / Kyoto / Kobe / Nara / Wakayama / Himeji
3. การเดินทางเที่ยวในOsaka: ใช้ Osaka One Day Pass ราคา 800 เยน เป็นตั๋วบุฟเฟ่ต์รถไฟใต้ดินใน Osaka
- การจองที่พัก: ผมใช้ Osaka เป็นฐานที่มั่น เทคนิคในการเลือกที่พักของผมจะเลือกราคาสมเหตุสมผล ทำเลใกล้สถานีรถไฟ ใกล้ย่านที่หาของกินได้ง่าย และใกล้แหล่งช็อปปิ้ง แหล่งในการหาที่พักก็คือ Booking.com และซึ่งในครั้งนี้ผมได้ลองไปนอนที่ “New Japan Capsule Hotel Cabana” เป็นที่พักแบบแค็ปซูลสำหรับผู้ชายเท่านั้น
2. เรื่องดราม่าก่อนออกเดินทาง
- วันที่ 16 ตุลาคม 2558 ก่อนที่จะไปถึงสนามบินดอนเมือง ยังไม่ทันไปถึงไหน ก็มีเรื่องตื่นเต้นและดราม่าหนักมากแล้ว T T สืบเนื่องจากเมื่อคืนได้ทำเคลียร์งานอย่างหนักหน่วง หลังจากทำได้ประมาณ 90% แล้วส่งไม้ต่อให้กับน้องในทีม ก็สักประมาณตีหนึ่งได้ ก็หลับตามปกติ และก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตั้งใจจะตื่นตีห้า หลับฝันดีว่าได้อยู่ญี่ปุ่นสมใจ แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อนาฬิกาทำหน้าที่ของมันตามปกติ แต่สมองสั่งการไม่ให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มารบกวนการนอน รู้ตัวอีกที เอ้ยยยยยย!! เจ็ดโมง (เครื่องออก 8.30 น.) สตั๊นไปสามวิ หลังจากตั้งสติได้ก็ โกยของทุกอย่างลงกระเป๋า โบกมอไซต์วินหน้าคอนโด ตั้งใจจะให้ถึงภายในเจ็ดโมงยี่สิบ แต่สิ่งที่คิดกับสิ่งที่เป็นจริงต่างกันลิบลับ การจราจรเมืองไทยทำพิษ มาถึงเจ็ดโมงสี่สิบ สรุป...ตกเครื่องสิครับ รออะไร ไม่ทันเช็คอิน ไปยืนงงที่หน้าเคาน์เตอร์ อ้อนวอนให้พนักงานช่วย T T แต่เค้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่ความผิดพลาดของสายการบิน หลังจากช็อคไปแปปนึง ก็ตั้งสติและก็คิดว่าตั้งใจจะไปแล้ว ไม่ไปคงไม่ได้ สุดท้ายเลยตัดสินใจซื้อตั๋วขาไปใหม่ ในราคาแพงกว่าตั๋วไปกลับที่ซื้อมา น้ำตาจิไหล เฮ้ออออ ซื้อตั๋วlow cost ในราคาfull service (รวมแล้วค่าตั๋วที่ซื้อใหม่ + ตั๋วที่ตกเครื่องไป = 18,700 บาท) เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าควรถ้าเที่ยวคนเดียวไม่ควรนอนดึก และควรหาคนปลุก
3. เมื่อถึงญี่ปุ่น
- Day 1: ดอนเมือง – Osaka
หลังจากที่ตกเครื่อง ทำให้แผนการเที่ยววันแรกพังพินาศ เหลือแค่เดินทางไปถึงสนามบิน KIX และเข้าที่พักทันที เนื่องจาก Flight ที่จองใหม่ออกจากดอนเมือง 15.30 น. ถึงOsaka ประมาณ 22.40 น. เมื่อถึงสนามบิน
ก็ไปที่สถานีรถไฟ Nankai ทันที จากนั้นมองทางซ้ายจะมือ จะมี Ticket Office อยู่ จัดการเรื่องการซื้อตั๋ว Airport Express เข้าเมือง และซื้อ Kansai Thru Pass 3 Day ได้ที่เจ้าหน้าที่เลยครับ
หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟไปประมาณ 40 นาที ก็ถึงสถานีรถไฟ Namba Nankai ซึ่งอยู่ใต้ห้าง Takashiyama หลังจากนั้นให้มองหา Exit ที่ไปถนน Midosuji เพื่อเดินไปที่พัก “New Japan Capsule Hotel Cabana” ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จากสถานีรถไฟ ซึ่งความเห็นส่วนตัวคิดว่าเป็นที่พักที่ดีเลยแหละ ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนี้
- ทำเลใกล้แหล่งช็อปปิ้ง อย่างShinsaibashi สามารเดินถึงได้ไม่เดิน 3 นาที
- ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินสถานี Namba (Exit 25) และ สถานี Namba Nankai ที่มาจากมีรถไฟไปกลับสนามบิน
- มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ สบู่ แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าขนหนู มีโกนหนวด อุปกรณ์เซ็ทผม และมีชุดนอนให้
- เปิด 24 ชั่วโมง มีพนักงานตลอด พูดภาษาอังกฤษได้ และมีคนไทยเป็นพนักงานด้วยครับ
- ปลอดภัย จริงๆที่นี่เป็นซาวน่าที่มีโรงแรม ซึ่งแยกสัดส่วนชัดเจน ต้องมีคีย์การ์ดถึงจะเข้าโซนโรงแรมได้
- มีอาหารขายในราคาไม่แพง ตกจานละ 680-1200 เยน
- ราคาคืนละ 4,100 เยน (หรือประมาณ 1,200 บาท)
แต่ข้อเสียของที่นี้ คือ เรื่องที่เก็บของค่อนข้างเล็ก ไม่เหมาะสำหรับคนที่สัมภาระเยอะ ไม่เหมาะกับมาเป็นครอบครัว และไม่เหมาะกับผู้ชายขี้อาย เพราะว่าเป็นห้องน้ำรวมตามสไตล์ญี่ปุ่น เพราะทุกคนจะโป๊กันหมด ใครเล็กใครใหญ่ งานนี้เห็นกันจะๆไปเลยครับ
- Day 2: ไปเมือง Himeji ดูปราสาท และเที่ยวเมือง Kobe
สำหรับวันที่สอง ก็แพลนจะไปเที่ยวHimeji และKobe โดยในช่วงเช้าเริ่มที่ปราสาทHimeji และตอนเย็นไปถ่ายรูปHarbourlandที่Kobe
Himeji Castle
- การเดินทาง: เริ่มต้นจากตั้งต้นจากสถานี Umeda(Hanshin) นั่งรถไฟไปลงสถานี Sanyohimeji ใช้เวลาประมาณ 90 นาที (สามารถใช้Kansai Thru Passได้)
- ความน่าสนใจ: Himeji Castle ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมะจิ จังหวัดเฮียวโงะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538 ปราสาทฮิเมะจิได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2536 ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น โดยอีก 2 แห่งคือ Kumamoto Castle กับ Matsumoto Castle
- ค่าเข้า: 1,000 เยน
- เวลาเปิด-ปิด: 9.00-16.00 น.
Kobe Harbourland
-การเดินทาง: จากสถานี Sanyohimeji นั่งรถไฟ Hanshin/Sanyo Through Ltd. Exp มาลงที่สถานี Kosokukobe ใช้เวลาประมาณ 60 นาที แล้วเดินอีก 10 นาที เพื่อไปที่ อ่าวHarbourland
-ความน่าสนใจ: เป็นย่านช็อปปิ้งริมน้ำ มีร้านกาแฟ ร้านอาหารเรียงตัวอยู่ริมน้ำ และเป็นจุดชมวิวริมอ่าวKobeที่โรแมนติกมากๆ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็ได้เวลากลับ Osaka แล้ว โดยนั่งรถไฟสายHanshin จากสถานี Kobe Sannomiya ไปสถานี Umeda (Hanshin) และก็ต่อรถไฟใต้ดินไปที่สถานี Namba จบทริปวันที่ 2 ครับ
- Day 3: ไปเมือง Nara เที่ยววัด Todaiji และเดินเล่นดูกวางใน Nara Park
สำหรับวันที่สาม วันนี้จะพาไปเที่ยว Nara กันนะครับ สำหรับเมือง Nara มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะมาก แต่ที่ตั้งใจไปครั้งนี้ คือ วัด Todaiji และไปดูกวางที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่น่ารัก เพราะมีกวางเนี่ยแหละเป็นจุดขาย เดินไปทางไหนก็เจอกวางเต็มไปหมด เยอะพอๆกับนักท่องเที่ยว
Todaiji Temple
-การเดินทาง: เริ่มจากสถานี Osaka-Namba นั่งรถไฟสายKintensu Nara ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จากสถานีKintensu Nara สามารถเดินไปได้ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่ถ้าขี้เกียจเดินแนะนำนั่งรถบัสไปครับ ลงป้าย Todaiji Daibutsuden ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
-ความน่าสนใจ: วัดTodaiji เป็นวัดพุทธในเมืองNara ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และศาลาหลักของวัดนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุสสึขนาดใหญ่ และบรรยากาศรอบๆวัดที่เป็น Nara Park มีกวางมายืนคอนต้อนรับนักท่องเที่ยว
-ค่าเข้า: 500 เยน
-เวลาเปิด-ปิด: 7:30 to 17:00 (ช่วงเดือนตุลาคม)
หลังจากเที่ยวNara เสร็จก็ได้เวลาเดินทางกลับOsaka เนื่องจากกลับมาแล้วยังไม่ดึกเลยไปเดินเล่นแถวShinsaibashi และ Dotonbori ซึ่งเป็นย่านShopping และแหล่งรวมของกินอร่อยๆครับ