แชร์เรื่องราวในแบบเรื่องเล่า ลองเลื่อนอ่าน เลื่อนดูรูปกันก่อนนะครับ
(ต่อจากกระทู้เก่า) เรื่องเล่าจากดินแดนท่องเที่ยวในฝัน ตอนฝรั่งเศส
http://ppantip.com/topic/34118843
(กระทู้ต่อไป) ลุงยิ้มเล่าเรื่อง : แพ็คกระเป๋าเข้าเช็คอิน @ฝรั่งเศส (ตอนที่ 2)
http://ppantip.com/topic/34412976
ฝากเพจไว้ติดตาม พูดคุยกันได้ที่ FB: GO2 >>
https://www.facebook.com/Go2-x-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1-1632477510328553/
วันที่ 1 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre)
ช่างเป็นเช้าที่แสนงัวเงีย หลังจากบิดขี้เกียจเสร็จ พลันให้นึกถึงแผนท่องเที่ยวของวันนี้ ... อื้มม พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre) สถานที่ที่ผมจะได้ชมศิลปะชั้นยอด ได้เจอนางโมนาลิซ่า ของลีโอนาร์โด ดาวินชี่ รวมถึงได้เห็นโฉมของเทพีวีนัส รูปปั้นอันโด่งดังที่ผมเคยเห็นแต่รูปถ่ายในชั่วโมงศิลปะเมื่อสมัยตอนเด็กๆ ว่ากันว่าพิพิธภัณฑ์ลูฟร์นั้นใหญ่มาก ขนาดหนึ่งวันก็ยังเดินไม่ทั่วถึง ผมแอบหึๆ ในใจว่าจะสักแค่ไหนกันเชียว ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็วางแผนมาแล้วว่าจะอยู่ที่นี่หนึ่งวันเต็ม
หลังจากจัดแจงธุระส่วนตัวเสร็จ ก็เก็บของใช้จำเป็นมาใส่กระเป๋าเป้ อย่างเงินยูโร พาสปอร์ต กล้องถ่ายรูป แว่นกันแดด เอกสารแผนการเดินทาง หนังสือท่องเที่ยวของโลนลี่ แพลเน็ต และแผนที่เมืองปารีสที่ได้มาตอนเช็คอินเมื่อคืนวาน
ผมส่องกระจกสำรวจตัวเองอีกครั้ง ตั้งแต่ทรงผมไล่ลงมา เสื้อโปโลสีขาวที่ทับด้วยสเวตเตอร์สีน้ำเงิน กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบสีขาว
โอเค ผมพร้อมแล้ว
ผมเปิดประตูห้องออก เจอลิฟท์อยู่ข้างหน้า ลิฟท์ของที่นี่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอีกครั้งเหมือนที่ขึ้นมาเมื่อคืนวาน เพราะเป็นลิฟท์ที่ขนาดเล็กที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา โดยสารได้มากสุดเพียงแค่ 3 คน ลิฟท์ขับเคลื่อนจากชั้น 5 ลงสู่ชั้น 1 อย่างช้าๆ ผมก้าวขาออกมากำลังมุ่งตรงไปยังประตูที่อยู่ด้านหน้า และแล้วก็มีเสียงทุ้มๆ แว่วมาก้องกังวานในหูผม “บงชูร์” ชายหนุ่มพนักงานของโรงแรมกล่าวทักทาย ผมทักทายด้วยคำเดียวกันและยิ้มกลับ ประตูอัตโนมัติถูกเปิดออก อากาศเย็นๆ มาประทะตัวผมอีกครั้ง เดาว่าน่าจะประมาณ 20 องศาได้
ผมค่อยๆ คลี่แผนที่ออกมา ทบทวนเส้นทางอีกครั้ง ผมต้องระวังในการข้าม 5 แยกตรงนี้ เพื่อจะได้เข้าถนนไม่ผิดเส้น ต่อจากนั้นเดินต่ออีกไม่ไกลก็ถึงสถานีรถไฟใต้ดินดูรอค (Duroc) เพื่อต่อรถไฟสายอื่นๆ เชื่อมไปจนถึงสถานีลูฟร์ ริโวลี (Louvre Rivoli) อันเป็นจุดหมายของเช้าวันนี้ ผมพับแผนที่ไว้ในมือแล้วเริ่มต้นออกเดินทาง
อากาศดีๆ ช่วยเพิ่มความรู้สึกดีๆ แต่แล้วก็มาสะดุดกึ๊กตรงที่เห็นเศษก้นบุหรี่เต็มเกลื่อนท้องถนน เห็นเศษขยะ เศษพลาสติก กระจายให้เห็นอยู่เป็นระยะ แม้มันจะดูขัดหูขัดตา สร้างความรำคาญใจอยู่บ้าง แต่ก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมต้องรีบไปแล้ว
เดินเท้าไม่กี่ช่วงถนนก็มาถึงสถานีรถไฟใต้ดิน สังเกตุได้จากป้ายที่เขียนว่าเมโทร (Metro) ผมเดินลงบันไดไปที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ โชคดีที่หน้าจอมีให้เลือกภาษาอังกฤษได้ ทำให้พอเข้าใจวิธีการซื้อได้ไม่ยาก ผมซื้อตั๋ว Ticket t+ ที่สามารถใช้เดินทางในเขตเมืองได้จนกว่าจะออกจากสถานีปลายทางที่ใดที่หนึ่ง ราคาเที่ยวเดียวอยู่ที่ 1.8 ยูโร หรือประมาณ 70 บาท เห็นจะได้ จ่ายเสร็จจะได้ตั๋วกระดาษใบเล็กๆ ออกมา
ผละออกจากเครื่องขายตั๋ว ผมก็มองป้าย เดินคลำทางไปเรื่อยๆ จนมาถึงชานชาลา ระหว่างรอขบวนรถไฟได้กวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้งว่า สถานีรถไฟที่นี่เก่ามากจริงๆ คงถูกใช้งานมาเนิ่นนานหลายศตวรรษ บริเวณปากอุโมงค์ที่รถไฟจะวิ่งออกมาเทียบท่านั้น มีลวดลายกราฟิตี้ขีดเขียนอยู่เต็มไปหมดภายในอุโมงค์มืดๆ นั้น
เสียงรถไฟวิ่งเข้าใกล้มาแล้ว ใกล้มาแล้ว แล้วก็เบรคดังเอี๊ยด เสมือนรถเมล์นรกก็ไม่ปาน ผมก้าวเท้าเข้าไปและนั่งลงตรงที่ว่างใกล้ประตู รถไฟได้ออกตัวเหมือนรถเมล์นรกเช่นเคย วิ่งฉวัดเฉวียน คดเคี้ยวไปมา คดเคี้ยวมา ช่างสนุกตื่นเต้นดีจริงๆ และแล้วในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงสถานีลูฟร์ ริโวลี (Louvre Rivoli) จนได้
จริงๆ แล้วการมาที่มิวเซียมยอดฮิตนี้ จะลงสถานีปาเล่ โรยาล มูเซ่ ดู ลูฟร์ (Palais Royal Musee du Louvre) ก็ได้เหมือนกัน แต่เหตุผลที่ผมนั่งรถไฟเลยมาอีกสถานีโผล่ขึ้นมาอยู่ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์นี้ก็เพื่อมารับตั๋วเข้าชมที่ซื้อล่วงหน้าไว้แล้วทางออนไลน์ตั้งแต่อยู่เมืองไทย ผ่านบริษัทเอเย่นต์ของที่นี่ ตั๋วนี้เองที่ทำให้ผมไม่ต้องเข้าคิวยาวยืดให้เมื่อยขาเหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
ผมเดินไปที่ตึก 2 คูหา อันเป็นที่ตั้งของ บริษัทเอเย่นต์นี้ ผมหยิบหลักฐานเอกสารการซื้อตั๋วมาแสดง ผ่านการเจรจาสักพัก ในที่สุดตั๋วก็อยู่ในมือของผมแล้ว ระบุราคา 28 ยูโร หรือประมาณ 1,100 บาท ผมเก็บตั๋วใส่เข้ากระเป๋าเป้ และเดินต่อไปยังประตูทางเข้า 1 ใน 3 ของทางเข้าหลัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ตอนนี้ผมเลี้ยวซ้าย กำลังเดินผ่านประตูใหญ่ เบื้องหน้าปรากฎพิระมิดแก้วขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางของลานกว้าง ที่โอบล้อมไปด้วยอาคารทรงยุโรปที่วางเป็นรูปตัวยู
ไม่ผิดแน่ นี่คือพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ แกเลอรี่ศิลปะขนาดใหญ่ ที่รวบรวมงานศิลป์จากทั่วโลก หนึ่งในสถานที่เก็บงานระดับมาสเตอร์พีช ที่ผมต้องมาเยี่ยมชมให้ได้ ครั้งหนึ่งในชีวิต
ผมมาถึงที่นี่ราวๆ 9 โมง แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามากระทบผิวกระจกของพีระมิดแก้ว และบางส่วนของอาคาร ผู้คนยังค่อนข้างบางตา อยู่กระจัดกระจายไปตามลานกว้างผมจึงสบโอกาสหามุมถ่ายรูปสวยๆ ของลูฟร์ ก่อนที่กองทัพมนุษย์จะเดินขวักไขว่ไปมากกว่านี้
หลังจากที่เก็บภาพด้านนอกของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์เป็นที่พอใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมต้องไปเก็บภาพด้านในบ้าง ผมเดินเข้าคิวในช่องพิเศษ ไม่นานนักผมก็ได้แฝงตัวเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ การวางผังอาคารของที่นี่เป็นรูปทรงตัวยูที่เชื่อมติดต่อกัน ผมจะวางแผนเดินชมอย่างไรดี
ทางเลือกที่ 1 คือเดินไล่ไปทีละโซนตึก จากชั้นล่างสุด ขึ้นชั้นบนสุด แล้วถึงไปตึกต่อๆ ไป ไล่จากชั้นล่างสุดขึ้นชั้นบนสุดเช่นกัน หรือ
ทางเลือกที่ 2 คือ เดินให้จบไปทีละชั้น เริ่มจากชั้นล่างเดินไล่ยาวเป็นรูปตัวยู เสร็จแล้วก็ขึ้นไปชั้นบน แล้วเดินให้ครบ ก่อนที่จะไปชั้นต่อๆ ไป
ผมยืนครุ่นคิด ... สุดท้ายผมเลือกที่จะไปหาอะไรทานก่อน ผมเดินไปที่คาเฟทีเรีย ซึ่งคล้ายๆ ศูนย์อาหาร คือไปซื้อจากร้านแล้วมานั่งทานที่โต๊ะ ผมซื้อแซนด์วิชไก่ กับน้ำแร่ มาหย่อนลงกระเพาะที่ว่างอยู่ หลังทานเสร็จก็ได้เวลาตัดสินใจว่าจะเดินอย่างไรดี ทางเลือกที่ 1 หรือทางเลือกที่ 2 ผมยืนครุ่นคิด ...
เดินตามใจแล้วกัน ขอเพียงให้ได้ชมชิ้นงานไฮไลท์ครบทุกชิ้นตามที่อยู่ในโบร์ชัวร์ก็เป็นพอ สนุกแน่แหละคราวนี้ เพราะชิ้นงานศิลป์อยู่กระจัดกระจายในแต่ละโซน และในแต่ละชั้น ผมดูโบรชัวร์เห็นแผนผังห้อง เลขที่ห้อง และประเภทงานศิลปะต่างๆ จากทั่วโลก อาทิ รูปปั้น ภาพวาด และวัตถุโบราณ เป็นต้น ที่นี่แบ่งโซนการจัดแสดงออกเป็น 3 โซนหลัก มีชื่อว่า รีเชอลีเยอ (Richelieu) ซุลลี้ (Sully) และเดนง (Denon)
ผมเริ่มจากโซนรีเชอลีเยอ (Richelieu) อาคารฝั่งด้านซ้ายของพีระมิดแก้ว ชั้นล่างสุด มีรูปปั้นแกะสลักหินสีขาวเหมือนเทพเจ้ากรีกในลักษณะท่าทางต่างๆ เช่น ยืนเปลือยเปล่าเต็มตัว ยืนสู้กับงูยักษ์ ชายหนุ่มสู้กับม้าพยศ หญิงสาวกับเด็กน้อย เป็นต้น ผมแอบคิดในใจว่าช่างสมัยก่อนเก่งมากที่ถอดแบบของมนุษย์แล้วมาแกะสลักเป็นรูปปั้น ในท่าทางต่างๆ ให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้
ถัดจากโซนนี้ ก็เดินปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ ชมศิลปะจากหลายอารยธรรม หลายประเทศ อย่างอารยธรรมอียิปต์ ที่มีรูปปั้นสฟิงก์ มีโลงศพที่แฝงไปด้วยอักษรสัญลักษณ์ปริศนา มีมัมมี่นอนเหยียดอยู่ในตู้กระจก นอกจากนี้ยังมีห้องของกษัตริย์นโปเลียนที่ 3 (Napoleon III Apartments) อยู่บนชั้น 2 แต่ละห้องตกแต่งอย่างหรูหรา ทั้งห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่น รวมไปถึงห้องนอน มองขึ้นไปที่เพดานเห็นภาพวาดหญิงสาวและเด็กน้อยท่าทางมีความสุขอยู่บนสวรรค์ มีโคมไฟแชนเดอเลียขนาดใหญ่ เล็กแขวนเรียงราย ผนังมีลวดลายสีทองแลดูวิจิตร หน้าต่างตกแต่งด้วยผ้าม่านกำมะหยี่สีแดง มีชุดเฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากันในสไตล์หลุยส์ บนพื้นพรมถักทอลวดลายขนาดใหญ่
ต่อจากนั้น ผมก็เดินสาละวน ไปกับวัตถุงานศิลป์ต่างๆ ไปเรื่อยๆ ... ยกแขนมองไปที่นาฬิกาข้อมือ เวลาบ่าย 2 แล้ว ผมลองกะเกณฑ์เวลากับสถานที่ที่ผมจะต้องไป ... ไม่ทันแน่ ผมต้องเร่งทำเวลาแล้ว
ลุงยิ้มเล่าเรื่อง : แพ็คกระเป๋าเข้าเช็คอิน @ฝรั่งเศส (ตอนที่ 1)
(ต่อจากกระทู้เก่า) เรื่องเล่าจากดินแดนท่องเที่ยวในฝัน ตอนฝรั่งเศส http://ppantip.com/topic/34118843
(กระทู้ต่อไป) ลุงยิ้มเล่าเรื่อง : แพ็คกระเป๋าเข้าเช็คอิน @ฝรั่งเศส (ตอนที่ 2) http://ppantip.com/topic/34412976
ฝากเพจไว้ติดตาม พูดคุยกันได้ที่ FB: GO2 >> https://www.facebook.com/Go2-x-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1-1632477510328553/
วันที่ 1 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre)
ช่างเป็นเช้าที่แสนงัวเงีย หลังจากบิดขี้เกียจเสร็จ พลันให้นึกถึงแผนท่องเที่ยวของวันนี้ ... อื้มม พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre) สถานที่ที่ผมจะได้ชมศิลปะชั้นยอด ได้เจอนางโมนาลิซ่า ของลีโอนาร์โด ดาวินชี่ รวมถึงได้เห็นโฉมของเทพีวีนัส รูปปั้นอันโด่งดังที่ผมเคยเห็นแต่รูปถ่ายในชั่วโมงศิลปะเมื่อสมัยตอนเด็กๆ ว่ากันว่าพิพิธภัณฑ์ลูฟร์นั้นใหญ่มาก ขนาดหนึ่งวันก็ยังเดินไม่ทั่วถึง ผมแอบหึๆ ในใจว่าจะสักแค่ไหนกันเชียว ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็วางแผนมาแล้วว่าจะอยู่ที่นี่หนึ่งวันเต็ม
หลังจากจัดแจงธุระส่วนตัวเสร็จ ก็เก็บของใช้จำเป็นมาใส่กระเป๋าเป้ อย่างเงินยูโร พาสปอร์ต กล้องถ่ายรูป แว่นกันแดด เอกสารแผนการเดินทาง หนังสือท่องเที่ยวของโลนลี่ แพลเน็ต และแผนที่เมืองปารีสที่ได้มาตอนเช็คอินเมื่อคืนวาน
ผมส่องกระจกสำรวจตัวเองอีกครั้ง ตั้งแต่ทรงผมไล่ลงมา เสื้อโปโลสีขาวที่ทับด้วยสเวตเตอร์สีน้ำเงิน กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบสีขาว
โอเค ผมพร้อมแล้ว
ผมเปิดประตูห้องออก เจอลิฟท์อยู่ข้างหน้า ลิฟท์ของที่นี่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอีกครั้งเหมือนที่ขึ้นมาเมื่อคืนวาน เพราะเป็นลิฟท์ที่ขนาดเล็กที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา โดยสารได้มากสุดเพียงแค่ 3 คน ลิฟท์ขับเคลื่อนจากชั้น 5 ลงสู่ชั้น 1 อย่างช้าๆ ผมก้าวขาออกมากำลังมุ่งตรงไปยังประตูที่อยู่ด้านหน้า และแล้วก็มีเสียงทุ้มๆ แว่วมาก้องกังวานในหูผม “บงชูร์” ชายหนุ่มพนักงานของโรงแรมกล่าวทักทาย ผมทักทายด้วยคำเดียวกันและยิ้มกลับ ประตูอัตโนมัติถูกเปิดออก อากาศเย็นๆ มาประทะตัวผมอีกครั้ง เดาว่าน่าจะประมาณ 20 องศาได้
ผมค่อยๆ คลี่แผนที่ออกมา ทบทวนเส้นทางอีกครั้ง ผมต้องระวังในการข้าม 5 แยกตรงนี้ เพื่อจะได้เข้าถนนไม่ผิดเส้น ต่อจากนั้นเดินต่ออีกไม่ไกลก็ถึงสถานีรถไฟใต้ดินดูรอค (Duroc) เพื่อต่อรถไฟสายอื่นๆ เชื่อมไปจนถึงสถานีลูฟร์ ริโวลี (Louvre Rivoli) อันเป็นจุดหมายของเช้าวันนี้ ผมพับแผนที่ไว้ในมือแล้วเริ่มต้นออกเดินทาง
อากาศดีๆ ช่วยเพิ่มความรู้สึกดีๆ แต่แล้วก็มาสะดุดกึ๊กตรงที่เห็นเศษก้นบุหรี่เต็มเกลื่อนท้องถนน เห็นเศษขยะ เศษพลาสติก กระจายให้เห็นอยู่เป็นระยะ แม้มันจะดูขัดหูขัดตา สร้างความรำคาญใจอยู่บ้าง แต่ก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมต้องรีบไปแล้ว
เดินเท้าไม่กี่ช่วงถนนก็มาถึงสถานีรถไฟใต้ดิน สังเกตุได้จากป้ายที่เขียนว่าเมโทร (Metro) ผมเดินลงบันไดไปที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ โชคดีที่หน้าจอมีให้เลือกภาษาอังกฤษได้ ทำให้พอเข้าใจวิธีการซื้อได้ไม่ยาก ผมซื้อตั๋ว Ticket t+ ที่สามารถใช้เดินทางในเขตเมืองได้จนกว่าจะออกจากสถานีปลายทางที่ใดที่หนึ่ง ราคาเที่ยวเดียวอยู่ที่ 1.8 ยูโร หรือประมาณ 70 บาท เห็นจะได้ จ่ายเสร็จจะได้ตั๋วกระดาษใบเล็กๆ ออกมา
ผละออกจากเครื่องขายตั๋ว ผมก็มองป้าย เดินคลำทางไปเรื่อยๆ จนมาถึงชานชาลา ระหว่างรอขบวนรถไฟได้กวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้งว่า สถานีรถไฟที่นี่เก่ามากจริงๆ คงถูกใช้งานมาเนิ่นนานหลายศตวรรษ บริเวณปากอุโมงค์ที่รถไฟจะวิ่งออกมาเทียบท่านั้น มีลวดลายกราฟิตี้ขีดเขียนอยู่เต็มไปหมดภายในอุโมงค์มืดๆ นั้น
เสียงรถไฟวิ่งเข้าใกล้มาแล้ว ใกล้มาแล้ว แล้วก็เบรคดังเอี๊ยด เสมือนรถเมล์นรกก็ไม่ปาน ผมก้าวเท้าเข้าไปและนั่งลงตรงที่ว่างใกล้ประตู รถไฟได้ออกตัวเหมือนรถเมล์นรกเช่นเคย วิ่งฉวัดเฉวียน คดเคี้ยวไปมา คดเคี้ยวมา ช่างสนุกตื่นเต้นดีจริงๆ และแล้วในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงสถานีลูฟร์ ริโวลี (Louvre Rivoli) จนได้
จริงๆ แล้วการมาที่มิวเซียมยอดฮิตนี้ จะลงสถานีปาเล่ โรยาล มูเซ่ ดู ลูฟร์ (Palais Royal Musee du Louvre) ก็ได้เหมือนกัน แต่เหตุผลที่ผมนั่งรถไฟเลยมาอีกสถานีโผล่ขึ้นมาอยู่ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์นี้ก็เพื่อมารับตั๋วเข้าชมที่ซื้อล่วงหน้าไว้แล้วทางออนไลน์ตั้งแต่อยู่เมืองไทย ผ่านบริษัทเอเย่นต์ของที่นี่ ตั๋วนี้เองที่ทำให้ผมไม่ต้องเข้าคิวยาวยืดให้เมื่อยขาเหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
ผมเดินไปที่ตึก 2 คูหา อันเป็นที่ตั้งของ บริษัทเอเย่นต์นี้ ผมหยิบหลักฐานเอกสารการซื้อตั๋วมาแสดง ผ่านการเจรจาสักพัก ในที่สุดตั๋วก็อยู่ในมือของผมแล้ว ระบุราคา 28 ยูโร หรือประมาณ 1,100 บาท ผมเก็บตั๋วใส่เข้ากระเป๋าเป้ และเดินต่อไปยังประตูทางเข้า 1 ใน 3 ของทางเข้าหลัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ตอนนี้ผมเลี้ยวซ้าย กำลังเดินผ่านประตูใหญ่ เบื้องหน้าปรากฎพิระมิดแก้วขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางของลานกว้าง ที่โอบล้อมไปด้วยอาคารทรงยุโรปที่วางเป็นรูปตัวยู
ไม่ผิดแน่ นี่คือพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ แกเลอรี่ศิลปะขนาดใหญ่ ที่รวบรวมงานศิลป์จากทั่วโลก หนึ่งในสถานที่เก็บงานระดับมาสเตอร์พีช ที่ผมต้องมาเยี่ยมชมให้ได้ ครั้งหนึ่งในชีวิต
ผมมาถึงที่นี่ราวๆ 9 โมง แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามากระทบผิวกระจกของพีระมิดแก้ว และบางส่วนของอาคาร ผู้คนยังค่อนข้างบางตา อยู่กระจัดกระจายไปตามลานกว้างผมจึงสบโอกาสหามุมถ่ายรูปสวยๆ ของลูฟร์ ก่อนที่กองทัพมนุษย์จะเดินขวักไขว่ไปมากกว่านี้
หลังจากที่เก็บภาพด้านนอกของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์เป็นที่พอใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมต้องไปเก็บภาพด้านในบ้าง ผมเดินเข้าคิวในช่องพิเศษ ไม่นานนักผมก็ได้แฝงตัวเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ การวางผังอาคารของที่นี่เป็นรูปทรงตัวยูที่เชื่อมติดต่อกัน ผมจะวางแผนเดินชมอย่างไรดี
ทางเลือกที่ 1 คือเดินไล่ไปทีละโซนตึก จากชั้นล่างสุด ขึ้นชั้นบนสุด แล้วถึงไปตึกต่อๆ ไป ไล่จากชั้นล่างสุดขึ้นชั้นบนสุดเช่นกัน หรือ
ทางเลือกที่ 2 คือ เดินให้จบไปทีละชั้น เริ่มจากชั้นล่างเดินไล่ยาวเป็นรูปตัวยู เสร็จแล้วก็ขึ้นไปชั้นบน แล้วเดินให้ครบ ก่อนที่จะไปชั้นต่อๆ ไป
ผมยืนครุ่นคิด ... สุดท้ายผมเลือกที่จะไปหาอะไรทานก่อน ผมเดินไปที่คาเฟทีเรีย ซึ่งคล้ายๆ ศูนย์อาหาร คือไปซื้อจากร้านแล้วมานั่งทานที่โต๊ะ ผมซื้อแซนด์วิชไก่ กับน้ำแร่ มาหย่อนลงกระเพาะที่ว่างอยู่ หลังทานเสร็จก็ได้เวลาตัดสินใจว่าจะเดินอย่างไรดี ทางเลือกที่ 1 หรือทางเลือกที่ 2 ผมยืนครุ่นคิด ...
เดินตามใจแล้วกัน ขอเพียงให้ได้ชมชิ้นงานไฮไลท์ครบทุกชิ้นตามที่อยู่ในโบร์ชัวร์ก็เป็นพอ สนุกแน่แหละคราวนี้ เพราะชิ้นงานศิลป์อยู่กระจัดกระจายในแต่ละโซน และในแต่ละชั้น ผมดูโบรชัวร์เห็นแผนผังห้อง เลขที่ห้อง และประเภทงานศิลปะต่างๆ จากทั่วโลก อาทิ รูปปั้น ภาพวาด และวัตถุโบราณ เป็นต้น ที่นี่แบ่งโซนการจัดแสดงออกเป็น 3 โซนหลัก มีชื่อว่า รีเชอลีเยอ (Richelieu) ซุลลี้ (Sully) และเดนง (Denon)
ผมเริ่มจากโซนรีเชอลีเยอ (Richelieu) อาคารฝั่งด้านซ้ายของพีระมิดแก้ว ชั้นล่างสุด มีรูปปั้นแกะสลักหินสีขาวเหมือนเทพเจ้ากรีกในลักษณะท่าทางต่างๆ เช่น ยืนเปลือยเปล่าเต็มตัว ยืนสู้กับงูยักษ์ ชายหนุ่มสู้กับม้าพยศ หญิงสาวกับเด็กน้อย เป็นต้น ผมแอบคิดในใจว่าช่างสมัยก่อนเก่งมากที่ถอดแบบของมนุษย์แล้วมาแกะสลักเป็นรูปปั้น ในท่าทางต่างๆ ให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้
ถัดจากโซนนี้ ก็เดินปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ ชมศิลปะจากหลายอารยธรรม หลายประเทศ อย่างอารยธรรมอียิปต์ ที่มีรูปปั้นสฟิงก์ มีโลงศพที่แฝงไปด้วยอักษรสัญลักษณ์ปริศนา มีมัมมี่นอนเหยียดอยู่ในตู้กระจก นอกจากนี้ยังมีห้องของกษัตริย์นโปเลียนที่ 3 (Napoleon III Apartments) อยู่บนชั้น 2 แต่ละห้องตกแต่งอย่างหรูหรา ทั้งห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่น รวมไปถึงห้องนอน มองขึ้นไปที่เพดานเห็นภาพวาดหญิงสาวและเด็กน้อยท่าทางมีความสุขอยู่บนสวรรค์ มีโคมไฟแชนเดอเลียขนาดใหญ่ เล็กแขวนเรียงราย ผนังมีลวดลายสีทองแลดูวิจิตร หน้าต่างตกแต่งด้วยผ้าม่านกำมะหยี่สีแดง มีชุดเฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากันในสไตล์หลุยส์ บนพื้นพรมถักทอลวดลายขนาดใหญ่
ต่อจากนั้น ผมก็เดินสาละวน ไปกับวัตถุงานศิลป์ต่างๆ ไปเรื่อยๆ ... ยกแขนมองไปที่นาฬิกาข้อมือ เวลาบ่าย 2 แล้ว ผมลองกะเกณฑ์เวลากับสถานที่ที่ผมจะต้องไป ... ไม่ทันแน่ ผมต้องเร่งทำเวลาแล้ว