ออกไปให้ภูเขากอด ที่บ้านป่าบงเปียง เชียงใหม่


กักเก็บออกซิเจนของความสุข บ้านป่าบงเปียง จ.เชียงใหม่

การรอคอย กาลเวลา จังหวะสายตา และแสงแดด

ร่างกายอาจไม่ค่อยพร้อม แต่ใจนี่สิ! ที่พร้อมกว่า ได้เวลาก็เก็บกระเป๋า เตรียมออกเดินทางอีกครั้ง

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

และเพื่อสร้างความทรงจำ ให้การเดินทางในทุกทุกครั้ง เราก็ไม่ลืมที่จะหยิบกล้องถ่ายรูปติดตัวมาด้วย และครั้งนี้มันก็พิเศษกว่าครั้งอื่นๆ ตรงที่เราอยากเห็นภาพบ้านป่าบงเปียงที่ถูกถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม


บ่อยครั้งที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ร่ำร้องต่อการพาตัวเองให้ออกเดินทางไปในที่ ที่เราสามารถจะใช้ชีวิตให้มันช้าลง
เราว่า บางทีเราอาจไม่ต้องการจะใช้ชีวิต slow life ก็ได้ แต่แค่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายบางอย่างที่เราต้องเจอ เพื่อมาพักฟื้นใจให้มันแข็งแรง ก็แค่นั้น จุดหมายของเราในครั้งนี้คือ บ้านป่าบงเปียง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่  อยากเห็นทุ่งนาข้าวสีเขียว ก็ต้องไปหน้านี้แหละ อยู่ใต้ฟ้า จะกลัวอะไรกับแค่ฝน
การเดินทาง : จากอ.จอมทอง ด้วยรถมอเตอร์ไซค์เช่า (โดยละเอียด จะเพิ่มเติมตอนท้ายค่ะ)

บ้านป่าบงเปียง ในวันฝนตก

วันที่เราเฝ้ารอแสงแดด มากระทบกับยอดข้าวที่กำลังทยอยออกรวงภาพตรงหน้าคงสวยมากจนไม่รู้จะอธิบายยังไง? แต่.......วันนั้น ระหว่างทาง ฝนก็ดันตกลงมาจนได้ โชคดีที่ระหว่างทางมีร้านเล็กเล็กของคุณป้าใจดีมากๆตั้งอยู่ เราเลยได้เข้าไปพักหลบฝน เพื่อรอแค่ให้ฝนซา และขับรถไปจุดหมายกันต่อ ยังไม่ทันได้ลงจากมอไซค์ ป้าก็เรียกกินข้าวเลย กับข้าวของป้าคือเห็ดคั่ว กินแกล้มกับข้าวเหนียว ป้าใจดีจัง นั่งหนาวไปซักพัก ป้าก็ชวนกินชามิ้น ป้าหยิบใบมิ้นใส่ลงในแก้ว แล้วเติมน้ำร้อน ชามิ้นของป้ามันซ่าส์ๆหอมๆ แก้วละ 5 บาทเท่าเอง จิบชาคลายหนาวไป สนทนากับป้าไปเรื่อยเปื่อย แค่ได้ฟังป้าเล่าเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ ก็หายพะวงกับบรรยากาศฝนตก พอฝนซา เราก็ลาป้า แล้วหวังว่าขากลับเราจะมาแวะอีกครั้ง ไม่นึกว่าฝนที่ซาลงจากตรงนั้นขับมาตรงนี้ มันตกหนักขึ้นเรื่อยๆ พอเราเปียกมาก ฝนก็ซาลง ทิ้งไว้แต่ร่องรอยของความเปียก!

เก็บไว้ ระหว่างทาง


คุณป้าใจดี และชามิ้นหอมซ่าส์ของป้า ไว้จะกลับไปหาอีกค่ะ


สองข้างทางมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด ทางคดเคี้ยว โค้งเยอะ จนอาจจะทำให้เวียนหัว แต่เชื่อเราเหอะ! ปลายทางย่อมคุ้มค่าเสมอ

เอาล่ะ! ถึงเราจะเปียก ถึงฝนจะยังตกอยู่ เราก็ต้องไปต่อ
เราแวะถามทางเข้าบ้านป่าบงเปียงจากเจ้าหน้าที่ตรงที่ทำการอุทยานน้ำตกห้วยทรายเหลือง เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่าตรงขึ้นไป แล้วจะมีทางแยกทางซ้ายมือเป็นทางลูกรัง
เรา : ไปอีกไกลไหมคะพี่
เจ้าหน้าที่ : ไม่ไกลครับ ประมาณ 2 โล แต่ตอนนี้ฝนตก ระวังทางลื่น เพราะมันเป็นทางลูกรัง
เรา : ขอบคุณมากค่ะพี่
จากจุดนั้นไม่ไกล เราก็เจอทางแยกเป็นทางลูกรังที่เฉอะแฉะมากๆ เราก็ขับกันเข้าไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตรเห็นจะได้ ก็ถึงทางแยก 1.คือทางแยกไปยังน้ำตกแม่ปาน และ 2.ไม่มีอะไรที่แม้จะบอกทางเราได้ว่ามันเป็นเส้นทางไปไหน เพื่อนเราบอกว่าหรือเราจะกลับไปถามกันใหม่อีกรอบ แต่เราก็มาไกล เนื่องจากเราถามพี่เค้าด้วยความไม่มีวัวปนเลย เลยถามไม่ละเอียด แต่ไหนๆก็ไหนๆ อ่ะเข้าไปดูละกัน 2 โล ไม่ไกลมาก เราตัดสินใจไปทางแยกที่ 2 ขับไปเรื่อยๆ ค่อยๆประคองรถกันไป ลงเดินบ้าง ซ้อนรถบ้าง เส้นทางที่ค่อนข้างจะหนักหนาสำหรับพวกเรา ถนนลูกรังหลังฝนตก เป็นหลุมเป็นบ่อ สองข้างทางคือป่า บางจุดไหล่ทางคือเหวดีดีนี่เอง เราก็ไปกันแบบระมัดระวังอย่างมาก และแล้วก็เจอจุดพีคที่เรียกได้ว่า โคตรหนัก เมื่อพ้นโค้งๆนึง ภาพข้างหน้าเราเหมือนจะเป็นทางตัน แต่จริงๆไม่ตันนะ เราหยุดกันซักแป๊บนึง ว่าจะเอายังไงต่อ ตอนนั้นก็ 5 โมงเย็นกว่าๆแล้ว ฝนก็ลงเม็ดประปราย สัญญาณโทรศัพท์ไม่มี ไม่มีรถ ไม่มีคนอื่นผ่านมา ซ้ายก็ป่า ขวาก็ป่า ไม่เห็นจะมีวี่แววหมู่บ้านคน หรือนาขั้นบันไดเลยซักนิด จะไปข้างหน้าก็ไม่รู้จะเจออะไร จะหันหลังกลับไป พวกเราก็มาไกลกันพอสมควร กลับไปตอนนี้คงไม่ทันอะไร ฟ้ากำลังจะมืด พวกเราต้องแข่งกับเวลาที่เหลืออยู่จริงๆ เราบอกเพื่อนว่า กลับไปถามพี่เค้าใหม่ไหม? เป็นคำถามที่โง่มาก แต่ตอนนั้นใจเริ่มไม่ดีจริงๆ แต่ลึกๆเรามีความหวัง เราต้องเจอสิ ระหว่างทางก็นึกถึงเจ้าป่าเจ้าเขา ฮ่าๆ ช่วยให้เราได้เจอหมู่บ้านซักที ขอให้เราปลอดภัย จุดตรงนั้นเป็นจุดที่แย่มากๆสำหรับพวกเรา ถึงมีความหวัง แต่สิ่งที่พวกเราเจอ มันไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เสียดายไม่มีภาพถ่าย ตอนนั้นทำได้แค่รีบไปให้ไวที่สุด เมื่อเราตัดสินใจไปต่อ เราก็ไปต่ออย่างระมัดระวัง ขับไปประมาณ 500-700 เมตรได้ แล้วเราก็เจอ!! เราเห็นหมู่บ้านคน เห็นป้ายเขียนว่าบ้านป่าบงเปียง ตอนนั้นน้ำตาแทบไหล ดีใจมากๆ รู้สึกเหมือนตัวเองรอดตาย รีบไปหาพี่เจ้าของที่พักทันที "บ้านพี่วีระศักดิ์" จากในหมู่บ้านเดินไปที่พักซึ่งเป็นทางเดินขึ้น เราเหนื่อยมาก หายใจหอบแฮกๆ แต่ภาพตรงหน้าที่เห็น มันทำให้เราหายเหนื่อยจริงๆ

ภาพถ่ายทุกภาพ สวยไม่เท่าสองตาที่เรามองเห็นจริงๆ
ต่อไปขอให้ภาพถ่ายทุกภาพบรรยายบรรยากาศของความเป็นบ้านป่าบงเปียงแล้วกันเนอะ (อันนี้เป็นภาพภ่ายจากกล้องดิจิตอลค่ะ)
ทางเข้าบ้านป่าบงเปียง บางช่วงที่ต้องลงเดิน ซึ่งวันนั้นทางค่อนข้างโหดกว่านี้มาก แต่ไม่สามารถจะหยุดถ่ายภาพได้จริงๆ




ใบตองตึง บ้านพักที่นี่ ชาวบ้านเป็นคนสร้างกันเองทั้งหมด หลังคาทำมาจากใบตองตึง กันแดดกันฝนได้สบาย




เราเฝ้ารอแสงแดด แต่พระอาทิตย์ก็ยังไม่ยอมตื่น ฮ่าๆ อาจเป็นเพราะตอนกลางคืนฝนตกเกือบตลอดทั้งคืน เช้ามาก็เจอหมอกหนามาทักทายก่อนเพื่อนเลย ตอนนั้นมันดีมากนะ ยิ้ม







ตอนกลางคืน ได้ยินเสียงธารน้ำไหลตลอดเลย ที่แท้! มีธารน้ำที่ไหลผ่านอยู่ที่พักของเราด้วย  



เราเรียกว่า "โดดเดี่ยวผู้น่ารัก"


















กระท่อมปลายนา สินะ! ยิ้ม



ปิดท้ายกันด้วยสีเขียวของรวงข้าวภาพนี้ละกันค่ะ

เวลาที่เราเหนื่อยล้าจากงาน หรือการใช้ชีวิตในเมืองเล็ก ใหญ่ ก็ตาม เราว่าธรรมชาติ ผืนนา ผืนป่า ภูเขา ท้องฟ้า ทะเล มันช่วยบำบัดได้จริงๆ เราเลยไม่แปลกใจเลย ที่ใครๆต่างก็พากันเดินทาง แม้ว่าระหว่างทางไปอาจจะลำบากไปบ้าง แต่เชื่อสิ ปลายทางมันมักจะสวยงามเสมอ ตอนแรกเรารู้สึกเข็ด กลัวการเดินทาง แต่พอนึกถึงบ้านป่าบงเปียงเมื่อไหร่ ก็ยิ่งอยากกลับไป และเชื่อว่าเราจะกลับไปอีกแน่นอน ภาพถ่ายที่เห็น สวยไม่เท่าสองตาที่ได้ไปมองเห็นจริงๆ....ลองหาเวลา หาเพื่อนรู้ใจ แล้วแบกเป้ไปเที่ยวกันเถอะค่ะ
ดูภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลกันไปแล้ว มาดูภาพถ่ายจากกล้องฟิล์มกันดีกว่าเนอะ

มองบ้านป่าบงเปียง....ผ่านฟิล์ม













เริ่มมีแสงแดดแล้วววววว ยิ้ม


ท้ายสุดจริงๆแล้ว ปิดท้ายกันที่ภาพนี้ ภาพอาจไม่ชัดเท่าไหร่ ต้องลองไปเห็นให้ได้ด้วยสองตานะ ไปกัน ยิ้ม


ขอบคุณทุกคนที่ได้อ่านกระทู้นี้นะคะ และจะขอบคุณมาก ถ้าทุกคนได้ไปเยือนแล้วกลับมาเล่าสู่กันฟัง เราหวังว่าภาพถ่ายที่ถูกถ่ายด้วยฝีมือการถ่ายภาพแบบกากๆของเรา จะทำให้ทุกคนหลงรักบ้านป่าบงเปียง แบบที่เราหลงรักค่ะ ขอบคุณนะคะ หัวใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่