คือบทความมันเว่อร์ไปไหม เเบบเป็นคนนํ้าในตัวหอม ประจําเดือนก็ยังหอมอะไรจะขนาดนั้น มีเรื่องราวเเบบนี้ด้วยหรือคะ ไม่รู้มาก่อนเลยนะ อ่านเเล้วคิดว่าไงคะ
ความลับในเรือนร่างเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แม้ผึ้งแมลงยังหลงใหลในกลิ่นรส!!!
ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้บันทึกถึงสตรีที่มีบทบาทสูงสุดทางการเมืองไว้เพียงนางเดียว คือ เจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แต่ชื่อเสียงของนางกลับถูกกล่าวถึงในด้านเกมกามอันฉาวโฉ่ ควบคู่ไปกับการครองอำนาจทางการเมืองอย่างเด็ดขาด จนสามารถยกชายชู้ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ได้
ท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็นสนมฝ่ายซ้ายของ สมเด็จพระไชยราชา กษัตริย์พระองค์ที่ ๑๒ ของกรุงศรีอยุธยา นอกจากนางจะมีโอรสกับพระไชยราชาองค์หนึ่ง นามว่า “พระศรีศิลป์” แล้ว ยังได้รับมอบหมายให้ดูแล “พระยอดฟ้า” พระราชโอรสองค์โตที่ประสูติจากพระสนมฝ่ายขวาผู้ล่วงลับด้วย
เมื่อพระไชยราชายกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ ได้มอบให้ท้าวศรีสุดาจันทร์ พระสนมเอก เป็นผู้ว่าราชการแผ่นดินแทน นางจึงได้รับยกย่องขึ้นเป็น “นางพระยาเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์” ถือพระราชอำนาจแทนกษัตริย์
ความฉาวโฉ่ในประวัติศาสตร์ได้เริ่มขึ้นในวันหนึ่ง เมื่อนางได้เสด็จไปพระที่นั่งพิมานรัตยา ซึ่งเป็นหอพระนอก ทอดพระเนตรเห็น พันบุตรศรีเทพ คนเฝ้าหอพระ ก็เกิดความเสน่หา จึงให้สาวใช้นำเอาเมี่ยงหมากห่อผ้าเช็ดหน้าไปให้ พันบุตรศรีเทพก็รู้ความหมาย จึงเอาดอกจำปาให้สาวใช้ไปถวายแก่พระนาง ทำให้นางเกิดความกำหนัดในพันบุตรศรีเทพ มีพระเสาวนีย์ให้ย้ายพันบุตรศรีเทพไปเป็น ขุนชินราช รักษาหอพระใน แล้วให้ขุนชินราชคนเก่าออกมาเฝ้าหอพระนอกแทน
จากนั้นนางก็ลอบลักสมัครสังวาสกับขุนชินราชเป็นประจำจนตั้งครรภ์
เมื่อพระไชยราชายกทัพกลับมาจากเชียงใหม่ นางเกรงว่าความลับจะถูกเปิดเผย อันมีโทษถึงตาย จึงเสด็จไปรับถึงค่ายนอกเมือง และแล้วคืนนั้นพระไชยราชาก็สวรรคต กล่าวกันว่าพระองค์ถูกวางยาพิษ
พระยอดฟ้า วัย ๑๑ พรรษา ถูกยกขึ้นครองราชย์สมบัติ โดยมี พระเฑียรราชา เชื้อพระวงศ์ของพระไชยราชา เป็นผู้ว่าราชการแทนพระองค์ แต่เจ้าแม่อยู่หัวยังไม่อาจเปิดเผยการตั้งครรภ์กับขุนชินราชได้ จนกว่าจะยึดอำนาจได้เบ็ดเสร็จ นางจึงเดินเกมข่มขู่ต่างๆจนพระเฑียรราชารู้ตัวดีว่า หากอยู่ในตำแหน่งต่อไปเห็นภัยจะถึงชีวิตแน่ จึงขอลาจากราชการไปผนวช เอาผ้ากาสาวพัสตร์คุ้มตัว
เมื่ออำนาจกลับมาอยู่ในมือ พระนางจึงดำริในพระทัยจะให้ขุนชินราชได้ราชสมบัติ จึงดำรัสสั่งให้ตั้งขุนชินราช เป็น ขุนวรวงศาธิราช และมีเสาวนีย์ให้นำราชยานและเครื่องสูงออกไปรับขุนวรวงศามาทำพิธีราชาภิเษก ยกเป็นเจ้าพิภพครองกรุงศรีอยุธยา และเอา นายจัน ผู้น้องขุนวรวงศา มาเป็นมหาอุปราช นายจันเป็นแค่ช่างตีเหล็ก เมื่อมาเป็นใหญ่แบบตั้งตัวไม่ทัน จึงใช้ความกักขฬะหยาบคายข่มเหงขุนนางข้าราชการ จนเป็นที่เกลียดชังไปทั่ว
ความมัวเมาในอำนาจของเจ้าแม่อยู่หัวกับชู้รักยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ เพื่อให้หมดเสี้ยนหนาม นางจึงให้นำพระแก้วฟ้า อดีตกษัตริย์ ไปสังหารเสียที่วัดโคกพระยา
เมื่อบ้านเมืองเป็นเสนียด
ถึงเพียงนี้ คนที่รักชาติรักแผ่นดินสวามิภักดิ์ต่อราชบัลลังก์ สุดจะทนต่อไปได้ ขุนนางกลุ่มหนึ่งจึงคบคิดกันที่จะสังหารเจ้าแม่อยู่หัวและชู้รัก พอดีทางเมืองลพบุรีแจ้งมาว่าพบช้างต้องลักษณะเป็นช้างเผือก ขุนวรวงศาจึงจะไปจับ ให้มหาอุปราชจันขี่ช้างล่วงหน้าไปที่เพนียดก่อน หมื่นราชเสน่หา ขุนนางนอกราชการ จึงแอบซุ่มยิงตกช้างตาย รุ่งขึ้นเช้าตรู่ ขุนวรวงศากับเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์และราชบุตรซึ่งเกิดด้วยกัน พร้อมกับพระศรีศิลป์โอรสพระไชยราชา ได้เสด็จไปทางเรือ กลุ่มขุนนางกู้ชาติที่ดักซุ่มอยู่จึงรุมสังหารเสียสิ้น เหลือแต่พระศรีศิลป์ นำตัวไปถวายพระเฑียรราชารับเลี้ยงไว้
แม้ขุนวรวงศาจะผ่านพิธีราชาภิเษกมาอย่างถูกต้องตามประเพณี และครองราชย์อยู่ได้ ๔๒ วัน แต่พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาก็ไม่ยอมรับเป็นกษัตริย์ คงสุดจะทนรับได้ รายพระนามกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาจึงมีเพียง ๓๓ พระองค์ ไม่ปรากฏชื่อขุนวรวงศาธิราชรวมอยู่ด้วย
ฝ่ายยึดอำนาจล้างเสนียดให้บ้านเมือง ยังระบายความแค้นนำศพอันเปล่าเปลือยของพระนางไปโยนให้แร้งกิน ด้วยเหตุนี้ ความลับในเรือนกายของเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์จึงถูกเปิดเผย และชีวิตแต่หนหลังตั้งแต่กำเนิด ก็ถูกขุดคุ้ยออกมาจารึกไว้ในแผ่นศิลาให้คนรุ่นหลังได้รับรู้
เจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ถือกำเนิดจากคนสามัญในครอบครัวยากจนแสนเข็ญ บิดามารดาอยู่ที่บ้านนาเกลือปากน้ำเจ้าพระยา ตำบลสาขลา แขวงเมืองพระประแดง มีชื่อเดิมว่า บัวผัน
เมื่อแรกเกิด บัวผันก็เริ่มมีนิมิตที่ไม่เป็นมงคลเสียแล้ว พอตกฟากก็เกิดแผ่นดินไหว ต่อมาก็เกิดไฟไหม้เผาหมู่บ้านทั้ง ๕๐ หลังวอด พอ ๑ เดือนโกนผมไฟตามประเพณี ฟ้าก็ผ่าลงมาที่ต้นไม้ใหญ่ข้างบ้าน หักโค่นลงมาทับบ้าน ต้องไปปลูกกระท่อมพออาศัย แต่ในความอัปมงคลของบัวผัน กลับมีความมหัศจรรย์แฝงอยู่ในเรือนกายอย่างที่หญิงอื่นไม่มี ความพิเศษในเรือนร่างและกลิ่นกายของนางนี้ ทำให้ชายใดที่ใกล้ชิด ไม่อาจยับยั้งอารมณ์กามพิศวาสไว้ได้แผ่นศิลาที่จารึกเรื่องราวของศรีสุดาจันทร์ ได้บรรยายความมหัศจรรย์ในเรือนร่างของนางตั้งแต่เล็กไว้ว่า
“...ครั้นอำแดงบัวผันมีอายุ ๓ เดือนนอนอยู่ในเมาะ มีแมลงผึ้ง แมลงชันโรง แมลงวัน มารุมตอมโยนีกุมารีนั้นเป็นกลุ่ม บิดามารดาต้องให้เด็กนอนในมุ้งเสมอๆ เมื่ออำแดงบัวผันโตขึ้นมาหน่อย มารดาเอามานอนกลางแจ้ง พวกผึ้ง แมลงภู่ แมลงชันโรง และแมลงวัน ต่างก็มารุมตอมโยนีมากขึ้นกว่าเดิมอีก บิดามารดามีความสงสัยจึงลองดมที่โยนี โยนีมีน้ำใสๆไหลออกมา น้ำที่ไหลออกมามีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุลแห้ง บิดามารดาไม่มีความรังเกียจในบุตร จึงลองชิมน้ำที่ไหลออกมาจากโยนี น้ำนั้นหอมหวานเหมือนน้ำตาลสด โคกโยนีมีลักษณะเหมือนปุ่มฆ้อง โยนีโตเท่ากำปั้น คล้ายหอยโข่ง รูปโยนีไม่รีเหมือนใบพลู มีรอยขีดยาวนิดหน่อย เมื่อแย้มรอยขีดออกจึงมีช่องกลมคล้ายกระบอกไม้ไผ่ เมื่ออำแดงบัวผันร้องไห้ เสียงร้องนั้นคล้ายเสียงแตรสังข์ ยามใดที่มีเหงื่อออกตามตัว กลิ่นเหงื่อจะหอมเหมือนกลิ่นข้าวใหม่ กลิ่นตัวตามธรรมชาติจะเหมือนกลิ่นดอกชำมะนาด...”
เมื่อบัวผันโตขึ้น ความงามของนางก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นทุกวัน เป็นเลิศกว่าหญิงทั้งหลาย ดังข้อความที่จารึกบนแผ่นศิลาไว้ว่า
“...ใบหน้าเป็นรูปไข่ คิ้วโก่งสุดหางตา ดวงตาคมกลมดำเป็นมันเหมือนมณีนิล จมูกโด่งเรียวงามดังคันศร เมื่อใดที่นางยิ้ม แก้มทั้งสองจะปรากฏลักยิ้ม แก้มทั้งสองมีสีราวมะปรางสุก เนื้อหนังอ่อนละมุนดังผ้ากำมะหยี่หรือสำลี เนื้อละเอียดเกลี้ยงมีสองสี มีขาวเจือเหลืองเหมือนลูกจันทน์สุก เส้นผมอ่อนนุ่มดำเป็นเงาเจืออ่อนๆ เล็บมือเท้างุ้มคล้ายเล็บครุฑ ฟันเล็กๆเท่ากันทั้ง ๓๒ ซี่ ถันยุคลทั้งคู่อวบอูมดังดอกบัวสัตตบงกช ฐานคอดกลางป้องปลายงอน ดันฐานชิดติดกันเอาพลูเสียบไม่หล่น นมมีน้ำใสๆไหลออกมาบางคราว มีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุล เมื่อบัวผันเริ่มมีระดู ระดูนั้นมีกลิ่นคล้ายคล้ายดอกพิกุลแห้ง แม้แต่ผ้าที่เปื้อนโลหิตระดู เมื่อซักด้วยน้ำแล้วนำไปตาก จะมีแมลงภู่ผึ้ง แมลงชันโรง แมลงวัน มาตอมเป็นกลุ่ม สูบกลิ่นหอมหวานโลหิตติดผ้านั้นทุกคราวตากผ้า...”
ความมหัศจรรย์ในความงามของบัวผันร่ำลือไปทั้งตำบล จนกำนันรายงานรูปลักษณ์อย่างละเอียดไปยังเจ้าเมืองพระประแดง ซึ่งได้ส่งต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ เหมือนได้พบช้างเผือกฉะนั้น สมเด็จพระอัครมเหสีรับสั่งให้นำบัวผันมาเข้าเฝ้า และทรงเมตตารับเลี้ยงไว้
ชีวิตในวังหลวง บัวผันได้รับพระกรุณาจากพระอัครมเหสีให้รับใช้ใกล้ชิด จนวันหนึ่งขณะมีอายุ ๙-๑๐ ขวบ เกิดฝนตกหนัก บัวผันได้แก้ผ้าไปเล่นน้ำฝนกับเพื่อนหญิงฝ่ายในอย่างสนุกสนาน จนวิ่งไปเล่นบนระเบียงมหาปราสาท สมเด็จพระไชยราชาทอดพระเนตรเห็นความพิเศษของบัวผันที่แตกต่างจากเด็กอื่น ทรงพิจารณาอยู่นาน จากนั้นก็รับสั่งขอตัวเด็กหญิงที่สะดุดพระเนตรต่อพระอัครมเหสี ซึ่งพระนางก็ได้นำตัวบัวผันไปถวายต่อพระราชสวามี
บัวผันรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทจนวัยล่วงเข้า ๑๔-๑๕ สมเด็จพระไชยราชาจึงยกขึ้นเป็นเจ้าจอม อยู่งานพระสนมเอก พระราชทานชื่อใหม่ว่า “นางศรีจันทร์” เพราะผิวเนื้อของนางละเอียดนวลเป็นสีเหลืองเหมือนสีผลจันทร์สุก ทั้งกลิ่นกายก็ยังหอมรัญจวนพระราชหฤทัย จึงโปรดปรานนางศรีจันทน์ยิ่งกว่าพระสนมองค์อื่นๆ
สิ่งที่ปรากฏในเรือนกายของบัวผัน ทั้งรูปลักษณ์และกลิ่นกายนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชายที่ใกล้ชิดนางต้องหลงใหลเท่านั้น นางเองก็มีความเร่าร้อนต้องการชายมาสนองอารมณ์จนไม่อาจยับยั้งชั่งใจ จึงได้ก่อเรื่องบัดสีผิดประเวณีไว้อื้อฉาวในประวัติศาสตร์
ตอนท้ายของข้อความในแผ่นศิลาที่จารึกเรื่องราวของนาง ได้กล่าวไว้ว่า
“...ครั้งนั้น ไม่ช้าเสนาบดีผู้ใหญ่แลข้าราชการ พร้อมกันจับพระเจ้าแผ่นดินใหม่ ฆ่าเสียทั้งผัวทั้งเมียสองพระองค์ด้วยกัน เอาศพไปทิ้งไว้ที่วัดกะไดอิฐให้แร้งกิน เป็นการประจานความชั่วร้าย ด้วยเหตุนี้จึงได้รู้กันว่า โยนีไม่มีเส้นโลมาเลย เกลี้ยง สะอาด เตียนโล่ง จึงยกราชสมบัติถวายพระเจ้าช้างเผือกองค์ใหม่ พระองค์มีรับสั่งให้จารึกเรื่องนี้ลงบนแผ่นศิลาแผ่นหนึ่ง ติดไว้ที่ฐานพระเจดีย์แดงวัดกะไดอิฐ เพนียด เป็นการประจานความชั่วร้ายของนางศรีสุดาจันทร์...”
ต่อมา พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ ในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ทรงนิยมสัปดน “เล่นเพื่อน” ได้นำแผ่นศิลาจารึกนี้มาจากวัดกะไดอิฐ คลองเพนียด กรุงศรีอยุธยา เอามาไว้ที่พระเจดีย์สามองค์ในวัดพระเชตุพน กรุงเทพฯ ในต้นรัชกาลที่ ๓ และคัดลอกข้อความไว้
เมื่อกรมหลวงรักษ์รณเรศต้องโทษเป็นกบฏถูกประหารชีวิตใน พ.ศ.๒๓๙๑ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า แผ่นหินนั้นเป็นเรื่องอุบาทว์ คนเอามาก็อุบาทว์ ให้เอาแผ่นหินไปทิ้งน้ำถ่วงศพหม่อมไกรสรลงด้วยกัน แต่ก่อนที่แผ่นหินอุบาทว์นี้จะจมลงใต้น้ำในบริเวณที่ไม่เปิดเผย กรมหลวงบวรศักดาภิศาล ได้คัดลอกเอาไว้ แล้วนำไปถวายไว้กับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นนุชิตชิโนรส
ความลับของเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ที่ปรากฏอยู่ในแผ่นศิลานั้น จึงถูกนำมาเปิดเผยให้คนรุ่นหลังได้รับรู้
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000117700
อ่านเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์มาหลายหน เเต่พออ่านอันนี้เเล้วอึ้ง
ความลับในเรือนร่างเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แม้ผึ้งแมลงยังหลงใหลในกลิ่นรส!!!
ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้บันทึกถึงสตรีที่มีบทบาทสูงสุดทางการเมืองไว้เพียงนางเดียว คือ เจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แต่ชื่อเสียงของนางกลับถูกกล่าวถึงในด้านเกมกามอันฉาวโฉ่ ควบคู่ไปกับการครองอำนาจทางการเมืองอย่างเด็ดขาด จนสามารถยกชายชู้ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ได้
ท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็นสนมฝ่ายซ้ายของ สมเด็จพระไชยราชา กษัตริย์พระองค์ที่ ๑๒ ของกรุงศรีอยุธยา นอกจากนางจะมีโอรสกับพระไชยราชาองค์หนึ่ง นามว่า “พระศรีศิลป์” แล้ว ยังได้รับมอบหมายให้ดูแล “พระยอดฟ้า” พระราชโอรสองค์โตที่ประสูติจากพระสนมฝ่ายขวาผู้ล่วงลับด้วย
เมื่อพระไชยราชายกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ ได้มอบให้ท้าวศรีสุดาจันทร์ พระสนมเอก เป็นผู้ว่าราชการแผ่นดินแทน นางจึงได้รับยกย่องขึ้นเป็น “นางพระยาเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์” ถือพระราชอำนาจแทนกษัตริย์
ความฉาวโฉ่ในประวัติศาสตร์ได้เริ่มขึ้นในวันหนึ่ง เมื่อนางได้เสด็จไปพระที่นั่งพิมานรัตยา ซึ่งเป็นหอพระนอก ทอดพระเนตรเห็น พันบุตรศรีเทพ คนเฝ้าหอพระ ก็เกิดความเสน่หา จึงให้สาวใช้นำเอาเมี่ยงหมากห่อผ้าเช็ดหน้าไปให้ พันบุตรศรีเทพก็รู้ความหมาย จึงเอาดอกจำปาให้สาวใช้ไปถวายแก่พระนาง ทำให้นางเกิดความกำหนัดในพันบุตรศรีเทพ มีพระเสาวนีย์ให้ย้ายพันบุตรศรีเทพไปเป็น ขุนชินราช รักษาหอพระใน แล้วให้ขุนชินราชคนเก่าออกมาเฝ้าหอพระนอกแทน
จากนั้นนางก็ลอบลักสมัครสังวาสกับขุนชินราชเป็นประจำจนตั้งครรภ์
เมื่อพระไชยราชายกทัพกลับมาจากเชียงใหม่ นางเกรงว่าความลับจะถูกเปิดเผย อันมีโทษถึงตาย จึงเสด็จไปรับถึงค่ายนอกเมือง และแล้วคืนนั้นพระไชยราชาก็สวรรคต กล่าวกันว่าพระองค์ถูกวางยาพิษ
พระยอดฟ้า วัย ๑๑ พรรษา ถูกยกขึ้นครองราชย์สมบัติ โดยมี พระเฑียรราชา เชื้อพระวงศ์ของพระไชยราชา เป็นผู้ว่าราชการแทนพระองค์ แต่เจ้าแม่อยู่หัวยังไม่อาจเปิดเผยการตั้งครรภ์กับขุนชินราชได้ จนกว่าจะยึดอำนาจได้เบ็ดเสร็จ นางจึงเดินเกมข่มขู่ต่างๆจนพระเฑียรราชารู้ตัวดีว่า หากอยู่ในตำแหน่งต่อไปเห็นภัยจะถึงชีวิตแน่ จึงขอลาจากราชการไปผนวช เอาผ้ากาสาวพัสตร์คุ้มตัว
เมื่ออำนาจกลับมาอยู่ในมือ พระนางจึงดำริในพระทัยจะให้ขุนชินราชได้ราชสมบัติ จึงดำรัสสั่งให้ตั้งขุนชินราช เป็น ขุนวรวงศาธิราช และมีเสาวนีย์ให้นำราชยานและเครื่องสูงออกไปรับขุนวรวงศามาทำพิธีราชาภิเษก ยกเป็นเจ้าพิภพครองกรุงศรีอยุธยา และเอา นายจัน ผู้น้องขุนวรวงศา มาเป็นมหาอุปราช นายจันเป็นแค่ช่างตีเหล็ก เมื่อมาเป็นใหญ่แบบตั้งตัวไม่ทัน จึงใช้ความกักขฬะหยาบคายข่มเหงขุนนางข้าราชการ จนเป็นที่เกลียดชังไปทั่ว
ความมัวเมาในอำนาจของเจ้าแม่อยู่หัวกับชู้รักยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ เพื่อให้หมดเสี้ยนหนาม นางจึงให้นำพระแก้วฟ้า อดีตกษัตริย์ ไปสังหารเสียที่วัดโคกพระยา
เมื่อบ้านเมืองเป็นเสนียดถึงเพียงนี้ คนที่รักชาติรักแผ่นดินสวามิภักดิ์ต่อราชบัลลังก์ สุดจะทนต่อไปได้ ขุนนางกลุ่มหนึ่งจึงคบคิดกันที่จะสังหารเจ้าแม่อยู่หัวและชู้รัก พอดีทางเมืองลพบุรีแจ้งมาว่าพบช้างต้องลักษณะเป็นช้างเผือก ขุนวรวงศาจึงจะไปจับ ให้มหาอุปราชจันขี่ช้างล่วงหน้าไปที่เพนียดก่อน หมื่นราชเสน่หา ขุนนางนอกราชการ จึงแอบซุ่มยิงตกช้างตาย รุ่งขึ้นเช้าตรู่ ขุนวรวงศากับเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์และราชบุตรซึ่งเกิดด้วยกัน พร้อมกับพระศรีศิลป์โอรสพระไชยราชา ได้เสด็จไปทางเรือ กลุ่มขุนนางกู้ชาติที่ดักซุ่มอยู่จึงรุมสังหารเสียสิ้น เหลือแต่พระศรีศิลป์ นำตัวไปถวายพระเฑียรราชารับเลี้ยงไว้
แม้ขุนวรวงศาจะผ่านพิธีราชาภิเษกมาอย่างถูกต้องตามประเพณี และครองราชย์อยู่ได้ ๔๒ วัน แต่พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาก็ไม่ยอมรับเป็นกษัตริย์ คงสุดจะทนรับได้ รายพระนามกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาจึงมีเพียง ๓๓ พระองค์ ไม่ปรากฏชื่อขุนวรวงศาธิราชรวมอยู่ด้วย
ฝ่ายยึดอำนาจล้างเสนียดให้บ้านเมือง ยังระบายความแค้นนำศพอันเปล่าเปลือยของพระนางไปโยนให้แร้งกิน ด้วยเหตุนี้ ความลับในเรือนกายของเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์จึงถูกเปิดเผย และชีวิตแต่หนหลังตั้งแต่กำเนิด ก็ถูกขุดคุ้ยออกมาจารึกไว้ในแผ่นศิลาให้คนรุ่นหลังได้รับรู้
เจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ถือกำเนิดจากคนสามัญในครอบครัวยากจนแสนเข็ญ บิดามารดาอยู่ที่บ้านนาเกลือปากน้ำเจ้าพระยา ตำบลสาขลา แขวงเมืองพระประแดง มีชื่อเดิมว่า บัวผัน
เมื่อแรกเกิด บัวผันก็เริ่มมีนิมิตที่ไม่เป็นมงคลเสียแล้ว พอตกฟากก็เกิดแผ่นดินไหว ต่อมาก็เกิดไฟไหม้เผาหมู่บ้านทั้ง ๕๐ หลังวอด พอ ๑ เดือนโกนผมไฟตามประเพณี ฟ้าก็ผ่าลงมาที่ต้นไม้ใหญ่ข้างบ้าน หักโค่นลงมาทับบ้าน ต้องไปปลูกกระท่อมพออาศัย แต่ในความอัปมงคลของบัวผัน กลับมีความมหัศจรรย์แฝงอยู่ในเรือนกายอย่างที่หญิงอื่นไม่มี ความพิเศษในเรือนร่างและกลิ่นกายของนางนี้ ทำให้ชายใดที่ใกล้ชิด ไม่อาจยับยั้งอารมณ์กามพิศวาสไว้ได้แผ่นศิลาที่จารึกเรื่องราวของศรีสุดาจันทร์ ได้บรรยายความมหัศจรรย์ในเรือนร่างของนางตั้งแต่เล็กไว้ว่า
“...ครั้นอำแดงบัวผันมีอายุ ๓ เดือนนอนอยู่ในเมาะ มีแมลงผึ้ง แมลงชันโรง แมลงวัน มารุมตอมโยนีกุมารีนั้นเป็นกลุ่ม บิดามารดาต้องให้เด็กนอนในมุ้งเสมอๆ เมื่ออำแดงบัวผันโตขึ้นมาหน่อย มารดาเอามานอนกลางแจ้ง พวกผึ้ง แมลงภู่ แมลงชันโรง และแมลงวัน ต่างก็มารุมตอมโยนีมากขึ้นกว่าเดิมอีก บิดามารดามีความสงสัยจึงลองดมที่โยนี โยนีมีน้ำใสๆไหลออกมา น้ำที่ไหลออกมามีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุลแห้ง บิดามารดาไม่มีความรังเกียจในบุตร จึงลองชิมน้ำที่ไหลออกมาจากโยนี น้ำนั้นหอมหวานเหมือนน้ำตาลสด โคกโยนีมีลักษณะเหมือนปุ่มฆ้อง โยนีโตเท่ากำปั้น คล้ายหอยโข่ง รูปโยนีไม่รีเหมือนใบพลู มีรอยขีดยาวนิดหน่อย เมื่อแย้มรอยขีดออกจึงมีช่องกลมคล้ายกระบอกไม้ไผ่ เมื่ออำแดงบัวผันร้องไห้ เสียงร้องนั้นคล้ายเสียงแตรสังข์ ยามใดที่มีเหงื่อออกตามตัว กลิ่นเหงื่อจะหอมเหมือนกลิ่นข้าวใหม่ กลิ่นตัวตามธรรมชาติจะเหมือนกลิ่นดอกชำมะนาด...”
เมื่อบัวผันโตขึ้น ความงามของนางก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นทุกวัน เป็นเลิศกว่าหญิงทั้งหลาย ดังข้อความที่จารึกบนแผ่นศิลาไว้ว่า
“...ใบหน้าเป็นรูปไข่ คิ้วโก่งสุดหางตา ดวงตาคมกลมดำเป็นมันเหมือนมณีนิล จมูกโด่งเรียวงามดังคันศร เมื่อใดที่นางยิ้ม แก้มทั้งสองจะปรากฏลักยิ้ม แก้มทั้งสองมีสีราวมะปรางสุก เนื้อหนังอ่อนละมุนดังผ้ากำมะหยี่หรือสำลี เนื้อละเอียดเกลี้ยงมีสองสี มีขาวเจือเหลืองเหมือนลูกจันทน์สุก เส้นผมอ่อนนุ่มดำเป็นเงาเจืออ่อนๆ เล็บมือเท้างุ้มคล้ายเล็บครุฑ ฟันเล็กๆเท่ากันทั้ง ๓๒ ซี่ ถันยุคลทั้งคู่อวบอูมดังดอกบัวสัตตบงกช ฐานคอดกลางป้องปลายงอน ดันฐานชิดติดกันเอาพลูเสียบไม่หล่น นมมีน้ำใสๆไหลออกมาบางคราว มีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุล เมื่อบัวผันเริ่มมีระดู ระดูนั้นมีกลิ่นคล้ายคล้ายดอกพิกุลแห้ง แม้แต่ผ้าที่เปื้อนโลหิตระดู เมื่อซักด้วยน้ำแล้วนำไปตาก จะมีแมลงภู่ผึ้ง แมลงชันโรง แมลงวัน มาตอมเป็นกลุ่ม สูบกลิ่นหอมหวานโลหิตติดผ้านั้นทุกคราวตากผ้า...”
ความมหัศจรรย์ในความงามของบัวผันร่ำลือไปทั้งตำบล จนกำนันรายงานรูปลักษณ์อย่างละเอียดไปยังเจ้าเมืองพระประแดง ซึ่งได้ส่งต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ เหมือนได้พบช้างเผือกฉะนั้น สมเด็จพระอัครมเหสีรับสั่งให้นำบัวผันมาเข้าเฝ้า และทรงเมตตารับเลี้ยงไว้
ชีวิตในวังหลวง บัวผันได้รับพระกรุณาจากพระอัครมเหสีให้รับใช้ใกล้ชิด จนวันหนึ่งขณะมีอายุ ๙-๑๐ ขวบ เกิดฝนตกหนัก บัวผันได้แก้ผ้าไปเล่นน้ำฝนกับเพื่อนหญิงฝ่ายในอย่างสนุกสนาน จนวิ่งไปเล่นบนระเบียงมหาปราสาท สมเด็จพระไชยราชาทอดพระเนตรเห็นความพิเศษของบัวผันที่แตกต่างจากเด็กอื่น ทรงพิจารณาอยู่นาน จากนั้นก็รับสั่งขอตัวเด็กหญิงที่สะดุดพระเนตรต่อพระอัครมเหสี ซึ่งพระนางก็ได้นำตัวบัวผันไปถวายต่อพระราชสวามี
บัวผันรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทจนวัยล่วงเข้า ๑๔-๑๕ สมเด็จพระไชยราชาจึงยกขึ้นเป็นเจ้าจอม อยู่งานพระสนมเอก พระราชทานชื่อใหม่ว่า “นางศรีจันทร์” เพราะผิวเนื้อของนางละเอียดนวลเป็นสีเหลืองเหมือนสีผลจันทร์สุก ทั้งกลิ่นกายก็ยังหอมรัญจวนพระราชหฤทัย จึงโปรดปรานนางศรีจันทน์ยิ่งกว่าพระสนมองค์อื่นๆ
สิ่งที่ปรากฏในเรือนกายของบัวผัน ทั้งรูปลักษณ์และกลิ่นกายนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชายที่ใกล้ชิดนางต้องหลงใหลเท่านั้น นางเองก็มีความเร่าร้อนต้องการชายมาสนองอารมณ์จนไม่อาจยับยั้งชั่งใจ จึงได้ก่อเรื่องบัดสีผิดประเวณีไว้อื้อฉาวในประวัติศาสตร์
ตอนท้ายของข้อความในแผ่นศิลาที่จารึกเรื่องราวของนาง ได้กล่าวไว้ว่า
“...ครั้งนั้น ไม่ช้าเสนาบดีผู้ใหญ่แลข้าราชการ พร้อมกันจับพระเจ้าแผ่นดินใหม่ ฆ่าเสียทั้งผัวทั้งเมียสองพระองค์ด้วยกัน เอาศพไปทิ้งไว้ที่วัดกะไดอิฐให้แร้งกิน เป็นการประจานความชั่วร้าย ด้วยเหตุนี้จึงได้รู้กันว่า โยนีไม่มีเส้นโลมาเลย เกลี้ยง สะอาด เตียนโล่ง จึงยกราชสมบัติถวายพระเจ้าช้างเผือกองค์ใหม่ พระองค์มีรับสั่งให้จารึกเรื่องนี้ลงบนแผ่นศิลาแผ่นหนึ่ง ติดไว้ที่ฐานพระเจดีย์แดงวัดกะไดอิฐ เพนียด เป็นการประจานความชั่วร้ายของนางศรีสุดาจันทร์...”
ต่อมา พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ ในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ทรงนิยมสัปดน “เล่นเพื่อน” ได้นำแผ่นศิลาจารึกนี้มาจากวัดกะไดอิฐ คลองเพนียด กรุงศรีอยุธยา เอามาไว้ที่พระเจดีย์สามองค์ในวัดพระเชตุพน กรุงเทพฯ ในต้นรัชกาลที่ ๓ และคัดลอกข้อความไว้
เมื่อกรมหลวงรักษ์รณเรศต้องโทษเป็นกบฏถูกประหารชีวิตใน พ.ศ.๒๓๙๑ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า แผ่นหินนั้นเป็นเรื่องอุบาทว์ คนเอามาก็อุบาทว์ ให้เอาแผ่นหินไปทิ้งน้ำถ่วงศพหม่อมไกรสรลงด้วยกัน แต่ก่อนที่แผ่นหินอุบาทว์นี้จะจมลงใต้น้ำในบริเวณที่ไม่เปิดเผย กรมหลวงบวรศักดาภิศาล ได้คัดลอกเอาไว้ แล้วนำไปถวายไว้กับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นนุชิตชิโนรส
ความลับของเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ที่ปรากฏอยู่ในแผ่นศิลานั้น จึงถูกนำมาเปิดเผยให้คนรุ่นหลังได้รับรู้
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000117700