หลังจากที่วันก่อนเราไปดูหนังเรื่อง เดอะดาวน์ (The Down) เราก็รู้สึกว่าอยากเขียนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ บางคนอาจจะไม่ค่อยสนใจหนังแนวนี้เท่าไหร่ เพราะมันเป็นหนังสารคดีที่เกี่ยวกับเด็กดาวน์ซินโดรม ไม่ใช่หนังตลกโปกฮา ไม่ใช่หนังผีสยองขวัญ ไม่ใช่หนังแอคชั่นเลือดสาด แต่......คุณรู้จักดาวน์ซินโดรมดีแค่ไหน?
credit :
http://movie.mthai.com/movie-news/185042.html
ก่อนดูหนัง ยอมรับว่าเราก็มีคำถามเกี่ยวกับเด็กดาวน์ซินโดรมมากมาย เช่น
- ดาวน์ซินโดมคืออะไรกันแน่?
- แล้ววันๆ หนึ่งพวกเค้าทำอะไรบ้าง?
- เข้ากับคนอื่นได้ไหม?
- พวกเค้าจะทำงานได้ไหม?
- แล้วงานอะไร?
- รู้สึกต่อสิ่งรอบตัวยังไง? เหมือนคนทั่วไปรึป่าว?
หลังจากดูหนัง
ดาวน์ซินโดรม คือ ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 ที่มีโครโมโซมเกินมาตัวหนึ่ง มันคือความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากพันธุกรรม ไม่ใช่ความผิดปกติจากทางฝ่ายแม่หรือฝ่ายพ่อ อาการดาวน์ซินโดรมนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์แล้ว ลักษณะนิสัยของเด็กดาวน์ซินโดรมแต่ละคนก็จะแตกต่าง (เสิร์ชหาข้อมูลเพิ่มเติมในกูเกิ้ลดูได้)
ดาวน์ซินโดรมทำอะไรได้บ้าง?
เริ่มแรกเลย พี่โหน่งพาเราไปพบกับฝาแฝดหญิงดาวน์ซินโดรมชื่อ อันกับออม ซึ่งเรียนอยู่ที่ร.ร.ปัญญานุกูลที่เป็นโรงเรียนสำหรับผู้พิการทางสมอง อันกับออมได้เข้าร่วมเล่นกีฬาบอชชี่ ซึ่งเป็นกีฬาที่ช่วยพัฒนาทางด้านสมองและปัญญาของผู้พิการทางสมอง ด้วยศักยภาพ ความตั้งใจจริง และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจนสามารถคว้าเหรียญทองจากมหกรรมสเปเชียลโอลิมปิก ที่ประเทศกรีซมาได้ (น่าปลื้มใจจัง) แล้วเรื่องเรียนหนังสือล่ะ? โรงเรียนที่อันกับออมเรียนก็เหมือนโรงเรียนทั่วๆไป เพียงแต่มีวิธีการสอนและเนื้อหาที่แตกต่างกัน โดยจะเน้นฝึกทักษะทางด้านอาชีพมากกว่า นอกจากนี้สอนการอ่าน การเขียน เรื่องทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน เป็นต้น อ้อ!! ที่นี่เป็นโรงเรียนประจำ และยังมีระบบพี่ดูแลน้อง (น่ารักจัง) แล้วพวกเค้าจะเรียนต่อในระดับสูงได้ไหม? ถ้าเรื่องนี้คงต้องเอ่ยถึง ‘แพน’ แพนได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าแม้เค้าจะเป็นดาวน์ซินโดรม ก็สามารถเรียนจบป.ตรี คณะมนุษยศาสตร์ได้ โดยแพนได้ครูยี่เป็นผู้ช่วยพิเศษ
แล้วคนที่เป็นดาวน์ซินโดรมเนี่ย พวกเค้าทำงานได้ไหม?
เมื่อเรียนจบแล้ว ชีวิตก็เข้าสู่กระแสธารอีกหนึ่งสายที่เรียกว่า “การทำงาน” แพนได้เข้าทำงานที่บริษัทเอไอเอสที่ครูยี่ทำงานอยู่ด้วย ครูยี่จะคอยช่วยสอนงานให้แพน เค้าสามารถเข้าใจขั้นตอนการทำงานต่างๆได้ดี มันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่แพนก็ทำมันได้ แล้วถ้าหากคุณกำลังคิดว่าก็แพนมีครูยี่คอยช่วยนี่ งั้นมาลองดูแบงค์กับเบียร์กัน แบงค์ทำงานอยู่ที่ร้านเสื้อผ้ายูนิโคล่ สาขาเซ็นทรัลเวิร์ด ตอนที่เข้าทำงานใหม่ๆ แบงค์ต้องมีพี่เลี้ยงพิเศษคอยช่วยสอนงานต่างๆ แต่นั่นก็แค่ช่วงแรกๆ เท่านั้นแหละ เพราะหลังจากนั้นแบงค์ก็สามารถทำงานของตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใครคอยช่วยอีก เบียร์เองก็คล้ายๆกับแบงค์และแพนในการทำงานช่วงแรกๆ คือ อาจจะต้องมีคนคอยช่วยสอนและให้คำแนะนำพวกเค้า อันที่จริงพวกเค้าก็สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบได้เหมือนพนักงานคนอื่นๆ แม้จะมีเรื่องผิดพลาดบ้าง นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กฝึกงานที่เพิ่งเข้าไปทำงานใหม่ๆและยังไม่ผ่านโปรฯ ซึ่งต้องผ่านการเรียนรู้งานเหมือนกัน แม้จะใช้เวลาฝึกงานนานมากกว่าคนทั่วๆไปก็ตาม ขอแค่พวกเค้าได้รับโอกาสและความกรุณาจากเพื่อนร่วมงานกับหัวหน้างานเท่านั้น ก็สามารถทำงานได้อย่างคนทั่วๆไปได้
พวกเค้าปรับตัวเข้ากับผู้คนในสังคมได้ไหม?
เบียร์เป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านกาแฟสตาร์บัคสาขาหนึ่ง งานของเบียร์จำเป็นต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ลูกค้าที่แวะเวียนมาเรื่อยๆ ลูกค้าหน้าใหม่ที่อยากจะหาเครื่องดื่มสักแก้ว รวมถึงลูกค้าชาวต่าง ชาติขาประจำ เบียร์มักจะต้อนรับลูกค้าด้วยยิ้มละไมและกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง ส่วนกับเพื่อนร่วม งานนั้น เบียร์เองเข้ากันได้ดีกับเพื่อนร่วมงานทุกคน และพวกเค้าเองก็ดูจะเข้าใจเบียร์ในสิ่งที่เบียร์เป็น แถมยังมีจัดงานปาร์ตี้วันเกิดเล็กๆให้เบียร์ด้วย ข้อกำหนดของร้านยูนิโคล่ทุกแห่งจะให้พนักงานเขียนคำขอบคุณพนักงานด้วยกันโดยการเขียนใส่จดหมายเล็กๆ นี่เป็นอีกหนึ่งในวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเอาใจใส่ของคนญี่ปุ่น ตัวแบงค์เองก็ปฏิบัติข้อกำหนดนี้ โดยจะเขียนคำอวยพรหรือคำขอบคุณให้คนอื่นๆ ทุกวัน ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะทำแบบนี้ สิ่งเล็กน้อยที่แบงค์ทำกลับสร้างกำลังใจให้กับพนักงานคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ทีนี้มาพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างแพนกับครูยี่ดีกว่า ครูยี่ให้สัมภาษณ์ว่ารู้จักกับแพนมาตั้งแต่แพนยังเป็นเด็ก เธอจะคอยสอนแพนในทุกๆเรื่องทั้งเรื่องงานและเรื่องการเรียนในมหาวิทยาลัย เธอบอกว่าบางครั้งเธอก็ท้อก็เหนื่อย แต่เธอก็ใช้ความอดทนและความรักสอนแพนจนเป็นแพนแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้ ส่วนชีวิตในมหาวิทยาลัย แพนกลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในคณะฯไม่น้อย เช่น ครู เจ้าหน้าที่ แม่บ้าน ไปจนถึงแม่ค้าขายข้าวแกงในโรงอาหาร และโดยเฉพาะกับคุณแม่บ้านที่ดูจะสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
credit :
http://www.patsonic.com/movie/the-down-review/
เด็กดาวน์ซินโดรมมีบุคลิกต่างกันอน่างไร?
แบงค์จะเป็นคนที่จริงจังมาก ไม่ว่าใครจะแซวอะไรแบงค์ก็จะคิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง บางทีมีอะไรแบงค์ก็จะไม่พูดตรงๆ แต่ก็มีคำพูดติดปากว่า “ พูดตรงๆเลยนะ” ฮ่าๆๆ งานอดิเรกของแบงค์ คือ เต้นและร้องเพลงโดยเฉพาะเพลงลูกทุ่ง วันหนึ่งพ่อกับแบงค์แข่งกันร้องคาราโอเกะ เมื่อพ่อแบงค์จบเพลง แบงค์ก็วิจารณ์ว่าร้องเสียงเพี้ยนบ้างเสียงสูงบ้าง แล้วแบงค์ก็สาธิตวิธีการร้องเพลงที่ถูกต้องให้ฟัง แต่แบงค์คงไม่รู้ตัวว่าเสียงของตัวเองนั้นกลับร้องไม่ตรงโน๊ตเพลงเอาเสียเลย ฮ่าๆๆๆ ส่วนเบียร์จะชอบแต่งหน้า ก่อนเบียร์เข้างานทุกครั้งจะต้องไปแต่งหน้าก่อน พอแต่งเสร็จแล้วจึงจะเริ่มงานได้ (หื้อ..เรายังแต่งหน้าไม่ได้ทุกวันเหมือนเบียร์เลย) แล้วเมื่อเบียร์ทำแก้วน้ำตกแตก เธอก็จะรีบไปบอกพี่แอน(ผู้จัดการ)ทันที นั่นแสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ของเบียร์ ครอบครัวของเบียร์ยังมีน้องชายอีกสองคน เบียร์จะสนิทกับน้องชายคนเล็กมากที่สุด กิจกรรมที่ทำร่วมกันบ่อยๆ ก็คือ ‘เล่นเกม’ ด้านออมกับอัน เมื่อไปเดินเล่นข้างนอก แล้วเจอของที่อยากได้ หากแม่ของคู่แฝดไม่มีตังค์พอ ออมกับอันก็จะขอแค่จับของเท่านั้น สำหรับแพน แพนจะค่อนข้างมีเหตุมีผล ตั้งใจทำงานและบางครั้งก็จริงจังกับงานมาก แพนจะชอบกินมากเป็นพิเศษ ของโปรดที่สุดของแพนก็คือ “ ข้าวเหนียวไก่ย่าง ” ถ้าหากวันใดไม่ได้กินล่ะก็...แพนจะนอยมาก
ได้อะไรจากหนังเรื่องนี้?
เดิมทีตัวเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แค่อยากจะรู้จักคนที่เป็นดาวน์ซินโดรมก็เท่า นั้น เราไม่ได้คาดหวังว่า หนังจะออกมาดีมากมาย มีเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้งกินใจ หรือกดดันอารมณ์ความรู้สึกสุดๆ สำหรับเรา เราได้มากกว่าสิ่งที่คิดว่าตัวเองจะได้ หนังเรื่อง ‘เดอะดาวน์’ ถ่ายทอดแง่มุมของผู้พิการทางสมองในแบบเราไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน และไม่เคยสัมผัสมาก่อน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะสื่อที่เกี่ยวกับคนที่มีความผิดปกติทางสมองค่อนข้างมีน้อย นอกจากนี้ ‘เดอะดาวน์’ ยังทำให้เรารู้สึกว่าผู้พิการทางสมองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ เสียใจ ดีใจ มีสุข มีความปราถนา ความรัก และความฝัน มันทำให้เรากล้าที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับพวกเค้ามากขึ้น
ฉากที่เราประทับใจมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือ ตอนที่พี่โหน่งถามคนในครอบครัวของแก็งค์ ‘เดอะดาวน์’ แต่ละคนเกี่ยวกับการเลี้ยงดู จนมาถึงตอนสัมภาษณ์แม่ของเบียร์ พี่โหน่งถามว่า “ ตอนเบียร์เรียก ‘แม่’ ได้ คุณรู้สึกยังไง? " คำตอบของแม่เบียร์นั้นช่างเนิ่นนาน เหมือนเค้ากำลังล่องลอยไปกับความคิดบางอย่าง จนในที่สุดแม่เบียร์ก็ตอบออกมาพร้อมน้ำตาว่า “ ดีใจมาก ” (เจอแบบนี้เข้าไป เรานี่น้ำตาร่วงเลย...ทั้งที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้แล้วนะ)
ปิดท้ายด้วยเพลงประกอบหนัง ' สุดสายตา ' ของพี่เล็ก greasy cafe เพลงเพราะมากและความหมายก็ดีมากเลยคะ
รีวิว : หนัง เดอะดาวน์ (The Down) เป็นดาวน์พิเศษตรงไหน?
credit : http://movie.mthai.com/movie-news/185042.html
ก่อนดูหนัง ยอมรับว่าเราก็มีคำถามเกี่ยวกับเด็กดาวน์ซินโดรมมากมาย เช่น
หลังจากดูหนัง
ดาวน์ซินโดรม คือ ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 ที่มีโครโมโซมเกินมาตัวหนึ่ง มันคือความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากพันธุกรรม ไม่ใช่ความผิดปกติจากทางฝ่ายแม่หรือฝ่ายพ่อ อาการดาวน์ซินโดรมนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์แล้ว ลักษณะนิสัยของเด็กดาวน์ซินโดรมแต่ละคนก็จะแตกต่าง (เสิร์ชหาข้อมูลเพิ่มเติมในกูเกิ้ลดูได้)
เริ่มแรกเลย พี่โหน่งพาเราไปพบกับฝาแฝดหญิงดาวน์ซินโดรมชื่อ อันกับออม ซึ่งเรียนอยู่ที่ร.ร.ปัญญานุกูลที่เป็นโรงเรียนสำหรับผู้พิการทางสมอง อันกับออมได้เข้าร่วมเล่นกีฬาบอชชี่ ซึ่งเป็นกีฬาที่ช่วยพัฒนาทางด้านสมองและปัญญาของผู้พิการทางสมอง ด้วยศักยภาพ ความตั้งใจจริง และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจนสามารถคว้าเหรียญทองจากมหกรรมสเปเชียลโอลิมปิก ที่ประเทศกรีซมาได้ (น่าปลื้มใจจัง) แล้วเรื่องเรียนหนังสือล่ะ? โรงเรียนที่อันกับออมเรียนก็เหมือนโรงเรียนทั่วๆไป เพียงแต่มีวิธีการสอนและเนื้อหาที่แตกต่างกัน โดยจะเน้นฝึกทักษะทางด้านอาชีพมากกว่า นอกจากนี้สอนการอ่าน การเขียน เรื่องทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน เป็นต้น อ้อ!! ที่นี่เป็นโรงเรียนประจำ และยังมีระบบพี่ดูแลน้อง (น่ารักจัง) แล้วพวกเค้าจะเรียนต่อในระดับสูงได้ไหม? ถ้าเรื่องนี้คงต้องเอ่ยถึง ‘แพน’ แพนได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าแม้เค้าจะเป็นดาวน์ซินโดรม ก็สามารถเรียนจบป.ตรี คณะมนุษยศาสตร์ได้ โดยแพนได้ครูยี่เป็นผู้ช่วยพิเศษ
เมื่อเรียนจบแล้ว ชีวิตก็เข้าสู่กระแสธารอีกหนึ่งสายที่เรียกว่า “การทำงาน” แพนได้เข้าทำงานที่บริษัทเอไอเอสที่ครูยี่ทำงานอยู่ด้วย ครูยี่จะคอยช่วยสอนงานให้แพน เค้าสามารถเข้าใจขั้นตอนการทำงานต่างๆได้ดี มันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่แพนก็ทำมันได้ แล้วถ้าหากคุณกำลังคิดว่าก็แพนมีครูยี่คอยช่วยนี่ งั้นมาลองดูแบงค์กับเบียร์กัน แบงค์ทำงานอยู่ที่ร้านเสื้อผ้ายูนิโคล่ สาขาเซ็นทรัลเวิร์ด ตอนที่เข้าทำงานใหม่ๆ แบงค์ต้องมีพี่เลี้ยงพิเศษคอยช่วยสอนงานต่างๆ แต่นั่นก็แค่ช่วงแรกๆ เท่านั้นแหละ เพราะหลังจากนั้นแบงค์ก็สามารถทำงานของตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใครคอยช่วยอีก เบียร์เองก็คล้ายๆกับแบงค์และแพนในการทำงานช่วงแรกๆ คือ อาจจะต้องมีคนคอยช่วยสอนและให้คำแนะนำพวกเค้า อันที่จริงพวกเค้าก็สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบได้เหมือนพนักงานคนอื่นๆ แม้จะมีเรื่องผิดพลาดบ้าง นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กฝึกงานที่เพิ่งเข้าไปทำงานใหม่ๆและยังไม่ผ่านโปรฯ ซึ่งต้องผ่านการเรียนรู้งานเหมือนกัน แม้จะใช้เวลาฝึกงานนานมากกว่าคนทั่วๆไปก็ตาม ขอแค่พวกเค้าได้รับโอกาสและความกรุณาจากเพื่อนร่วมงานกับหัวหน้างานเท่านั้น ก็สามารถทำงานได้อย่างคนทั่วๆไปได้
เบียร์เป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านกาแฟสตาร์บัคสาขาหนึ่ง งานของเบียร์จำเป็นต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ลูกค้าที่แวะเวียนมาเรื่อยๆ ลูกค้าหน้าใหม่ที่อยากจะหาเครื่องดื่มสักแก้ว รวมถึงลูกค้าชาวต่าง ชาติขาประจำ เบียร์มักจะต้อนรับลูกค้าด้วยยิ้มละไมและกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง ส่วนกับเพื่อนร่วม งานนั้น เบียร์เองเข้ากันได้ดีกับเพื่อนร่วมงานทุกคน และพวกเค้าเองก็ดูจะเข้าใจเบียร์ในสิ่งที่เบียร์เป็น แถมยังมีจัดงานปาร์ตี้วันเกิดเล็กๆให้เบียร์ด้วย ข้อกำหนดของร้านยูนิโคล่ทุกแห่งจะให้พนักงานเขียนคำขอบคุณพนักงานด้วยกันโดยการเขียนใส่จดหมายเล็กๆ นี่เป็นอีกหนึ่งในวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเอาใจใส่ของคนญี่ปุ่น ตัวแบงค์เองก็ปฏิบัติข้อกำหนดนี้ โดยจะเขียนคำอวยพรหรือคำขอบคุณให้คนอื่นๆ ทุกวัน ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะทำแบบนี้ สิ่งเล็กน้อยที่แบงค์ทำกลับสร้างกำลังใจให้กับพนักงานคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ทีนี้มาพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างแพนกับครูยี่ดีกว่า ครูยี่ให้สัมภาษณ์ว่ารู้จักกับแพนมาตั้งแต่แพนยังเป็นเด็ก เธอจะคอยสอนแพนในทุกๆเรื่องทั้งเรื่องงานและเรื่องการเรียนในมหาวิทยาลัย เธอบอกว่าบางครั้งเธอก็ท้อก็เหนื่อย แต่เธอก็ใช้ความอดทนและความรักสอนแพนจนเป็นแพนแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้ ส่วนชีวิตในมหาวิทยาลัย แพนกลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในคณะฯไม่น้อย เช่น ครู เจ้าหน้าที่ แม่บ้าน ไปจนถึงแม่ค้าขายข้าวแกงในโรงอาหาร และโดยเฉพาะกับคุณแม่บ้านที่ดูจะสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
credit : http://www.patsonic.com/movie/the-down-review/
แบงค์จะเป็นคนที่จริงจังมาก ไม่ว่าใครจะแซวอะไรแบงค์ก็จะคิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง บางทีมีอะไรแบงค์ก็จะไม่พูดตรงๆ แต่ก็มีคำพูดติดปากว่า “ พูดตรงๆเลยนะ” ฮ่าๆๆ งานอดิเรกของแบงค์ คือ เต้นและร้องเพลงโดยเฉพาะเพลงลูกทุ่ง วันหนึ่งพ่อกับแบงค์แข่งกันร้องคาราโอเกะ เมื่อพ่อแบงค์จบเพลง แบงค์ก็วิจารณ์ว่าร้องเสียงเพี้ยนบ้างเสียงสูงบ้าง แล้วแบงค์ก็สาธิตวิธีการร้องเพลงที่ถูกต้องให้ฟัง แต่แบงค์คงไม่รู้ตัวว่าเสียงของตัวเองนั้นกลับร้องไม่ตรงโน๊ตเพลงเอาเสียเลย ฮ่าๆๆๆ ส่วนเบียร์จะชอบแต่งหน้า ก่อนเบียร์เข้างานทุกครั้งจะต้องไปแต่งหน้าก่อน พอแต่งเสร็จแล้วจึงจะเริ่มงานได้ (หื้อ..เรายังแต่งหน้าไม่ได้ทุกวันเหมือนเบียร์เลย) แล้วเมื่อเบียร์ทำแก้วน้ำตกแตก เธอก็จะรีบไปบอกพี่แอน(ผู้จัดการ)ทันที นั่นแสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ของเบียร์ ครอบครัวของเบียร์ยังมีน้องชายอีกสองคน เบียร์จะสนิทกับน้องชายคนเล็กมากที่สุด กิจกรรมที่ทำร่วมกันบ่อยๆ ก็คือ ‘เล่นเกม’ ด้านออมกับอัน เมื่อไปเดินเล่นข้างนอก แล้วเจอของที่อยากได้ หากแม่ของคู่แฝดไม่มีตังค์พอ ออมกับอันก็จะขอแค่จับของเท่านั้น สำหรับแพน แพนจะค่อนข้างมีเหตุมีผล ตั้งใจทำงานและบางครั้งก็จริงจังกับงานมาก แพนจะชอบกินมากเป็นพิเศษ ของโปรดที่สุดของแพนก็คือ “ ข้าวเหนียวไก่ย่าง ” ถ้าหากวันใดไม่ได้กินล่ะก็...แพนจะนอยมาก
เดิมทีตัวเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แค่อยากจะรู้จักคนที่เป็นดาวน์ซินโดรมก็เท่า นั้น เราไม่ได้คาดหวังว่า หนังจะออกมาดีมากมาย มีเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้งกินใจ หรือกดดันอารมณ์ความรู้สึกสุดๆ สำหรับเรา เราได้มากกว่าสิ่งที่คิดว่าตัวเองจะได้ หนังเรื่อง ‘เดอะดาวน์’ ถ่ายทอดแง่มุมของผู้พิการทางสมองในแบบเราไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน และไม่เคยสัมผัสมาก่อน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะสื่อที่เกี่ยวกับคนที่มีความผิดปกติทางสมองค่อนข้างมีน้อย นอกจากนี้ ‘เดอะดาวน์’ ยังทำให้เรารู้สึกว่าผู้พิการทางสมองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ เสียใจ ดีใจ มีสุข มีความปราถนา ความรัก และความฝัน มันทำให้เรากล้าที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับพวกเค้ามากขึ้น
ฉากที่เราประทับใจมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือ ตอนที่พี่โหน่งถามคนในครอบครัวของแก็งค์ ‘เดอะดาวน์’ แต่ละคนเกี่ยวกับการเลี้ยงดู จนมาถึงตอนสัมภาษณ์แม่ของเบียร์ พี่โหน่งถามว่า “ ตอนเบียร์เรียก ‘แม่’ ได้ คุณรู้สึกยังไง? " คำตอบของแม่เบียร์นั้นช่างเนิ่นนาน เหมือนเค้ากำลังล่องลอยไปกับความคิดบางอย่าง จนในที่สุดแม่เบียร์ก็ตอบออกมาพร้อมน้ำตาว่า “ ดีใจมาก ” (เจอแบบนี้เข้าไป เรานี่น้ำตาร่วงเลย...ทั้งที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้แล้วนะ)
ปิดท้ายด้วยเพลงประกอบหนัง ' สุดสายตา ' ของพี่เล็ก greasy cafe เพลงเพราะมากและความหมายก็ดีมากเลยคะ