“โกรกอีดกที่กำลังฮิตๆอะนะ”
“เออ กรูไม่เคยเดินป่าเลย”
เมื่อไอ้เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันกว่า 20 ปี มาชวน ผมกับอาเจ้ก็ไม่อยากทำให้มันผิดหวัง
สำหรับนักนิยมเนื้อ ไม่เอาน้ำ ข้ามไปอ่านสรุปด้านล่างได้เลยค๊าบ
...
ผ้าห่มพร้อม หมอนพร้อม ยาทากันยุงพร้อม คืนนี้เต็นท์ของเราจะเป็นห้องนอนแสนสบายท่ามกลางธรรมชาติ เสริมบรรยากาศด้วยเสียงกีต้าร์ เสียงคุยกับเบาๆจากเพื่อนร่วมลาน อากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย ทำให้ผมหลับอย่างง่ายดาย
จนกระทั่งเสียงหัวเราะดังลั่นจากเต็นท์ข้างหน้าปลุกให้ผมกับอาเจ้ตื่นขึ้น มือคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา
“23:40”
พวกนี้คงมาตอนที่เราหลับไปแล้ว
นี่คือผลจากค่านิยมผิดๆของคนบางกลุ่ม ซึ่งสนใจแต่สิทธิและเสรีภาพของตนเอง แต่ไม่สนใจสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น
กว่าจะสงบอย่างที่มันควรจะเป็น ก็ราวตีหนึ่งครึ่ง
ประสบการณ์การกางเต็นท์ที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้าในคืนวันศุกร์เลยเป็นอะไรที่ไม่ดีนัก ถึงแม้ว่าสถานที่จะจัดว่าสะดวกสบายก็ตาม
...
วันรุ่งขึ้น นาฬิกาปลุกทำหน้าที่ของมัน เพื่อนร่วมลานเก็บเต็นท์กันพรึบพรับ กลุ่มเต็นท์ของนักทำลายการท่องเที่ยวยังคงอยู่ตรงหน้า แต่ผมไม่ใส่ใจนัก ไม่มีประโยชน์ที่จะหงุดหงิดกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
สายหน่อยเพื่อนตัวแสบโผล่มาตรงเวลา น่าแปลกที่ผมกับมันยังคุยกันได้เหมือนเดิม ถึงจะไม่ได้เจอกันมานานขนาดนั้น บรรยากาศเก่าๆสมัยเรียนลอยมาตามลม เฮ้อ... นี่ตูแก่ละสินะ
จากศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เราต้องขับรถต่อไปยังสำนักงานของอุทยานใกล้น้ำตกเจ็ดคต เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ ขั้นตอนก็ง่ายๆ แค่ลงชื่อ จ่ายเงินค่าธรรมเนียม จากนั้นเค้าจะติดรถไปกับเราด้วย เพื่อนำทางไปโกรกอีดก
ช่วงแรกของการเดิน อากาศเย็นสบาย ต้นไม้ร่มครึ้ม เนินเล็กเนินน้อยไม่ใช่ปัญหา ป่าเริ่มทักทายเราด้วยทางชันสั้นๆ แต่ก็เล่นเอาอาเจ้เข่าอ่อน
“นี่แค่น้ำจิ้มพี่” เจ้าหน้าที่หนุ่มหันมายิ้ม ตัดกำลังใจของผมกับอาเจ้ไปโข
เส้นทางหลังจากนี้ยากขึ้นเรื่อยๆ เดินขึ้นเขา ทางลื่น ปีนข้ามขอนไม้ ก้มลอดต้นไผ่ เดินเลาะน้ำตก ผ่านทางสูงชั้นที่มาพร้อมกับที่วางเท้าอันเล็กจิ๋ว ก่อนที่ขาและเข่าจะไปต่อไม่ไหว น้ำตกโกรกอีดกก็อยู่ตรงหน้า
“เพื่อมาดูไอ้เนี๊ยะอะนะ...” ผมคิด
ค่อนข้างผิดหวังที่มันไม่มีต้นไม้ ไม่มีลานกว้าง ไม่มีแอ่งน้ำใหญ่ที่เราสามารถลงไปเล่นได้อย่างสบายใจให้สมกับความเหนื่อยยากที่ปีนป่ายขึ้นมา ต่างจากอาเจ้ที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งตลอดทาง แต่พอได้หย่อนก้นเอาเท้าแช่น้ำซักพัก มันก็เริ่มยิ้มร่า ควักเอาข้าวที่เตรียมไว้ออกมาแจก
ขาลง ถึงจะใช้เวลาน้อยกว่า แต่เสี่ยงต่อการลื่นไถล่หน้าคว่ำมากกว่า และนับเป็นเส้นทางนรกสำหรับอาเจ้ผู้ไม่มีทักษะในการลงทางลาด ถึงขนาดบางช่วงต้องลงไปนั่งแล้วไถ่ลงมาตามทาง บางช่วงต้องลงไปนอนคว่ำหน้ากอดก้อนหิน แล้วค่อยๆกระดึ๊บๆไปทีละนิด
“ชั้นจะไม่เดินป่าอีกแล้ววว” อาเจ้โอดโอย
ถึงจะช้า ถึงจะทุลักทุเลขนาดไหน พวกเราทุกคน โดยเฉพาะผมกับอาเจ้ ก็เอาตัวรอดกลับมาถึงรถได้อย่างปลอดภัย
แล้วไอ้เพื่อนสุดแสบของผมหละเป็นไง มันเป็นทหารครับ ของแค่นี้ทำอะไรมันไม่ได้ เดินตัวปลิวตลอดทริป... เออ มิน่า ถึงไม่มีเพื่อนยอมมากะมัน เพราะงี้นี่เอง
ตามกระแสโกรกอีดก คลานขึ้น กลิ้งลง ผลออกมาเป็นแบบนี้...
“โกรกอีดกที่กำลังฮิตๆอะนะ”
“เออ กรูไม่เคยเดินป่าเลย”
เมื่อไอ้เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันกว่า 20 ปี มาชวน ผมกับอาเจ้ก็ไม่อยากทำให้มันผิดหวัง
สำหรับนักนิยมเนื้อ ไม่เอาน้ำ ข้ามไปอ่านสรุปด้านล่างได้เลยค๊าบ
ผ้าห่มพร้อม หมอนพร้อม ยาทากันยุงพร้อม คืนนี้เต็นท์ของเราจะเป็นห้องนอนแสนสบายท่ามกลางธรรมชาติ เสริมบรรยากาศด้วยเสียงกีต้าร์ เสียงคุยกับเบาๆจากเพื่อนร่วมลาน อากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย ทำให้ผมหลับอย่างง่ายดาย
จนกระทั่งเสียงหัวเราะดังลั่นจากเต็นท์ข้างหน้าปลุกให้ผมกับอาเจ้ตื่นขึ้น มือคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา
“23:40”
พวกนี้คงมาตอนที่เราหลับไปแล้ว
นี่คือผลจากค่านิยมผิดๆของคนบางกลุ่ม ซึ่งสนใจแต่สิทธิและเสรีภาพของตนเอง แต่ไม่สนใจสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น
กว่าจะสงบอย่างที่มันควรจะเป็น ก็ราวตีหนึ่งครึ่ง
ประสบการณ์การกางเต็นท์ที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้าในคืนวันศุกร์เลยเป็นอะไรที่ไม่ดีนัก ถึงแม้ว่าสถานที่จะจัดว่าสะดวกสบายก็ตาม
วันรุ่งขึ้น นาฬิกาปลุกทำหน้าที่ของมัน เพื่อนร่วมลานเก็บเต็นท์กันพรึบพรับ กลุ่มเต็นท์ของนักทำลายการท่องเที่ยวยังคงอยู่ตรงหน้า แต่ผมไม่ใส่ใจนัก ไม่มีประโยชน์ที่จะหงุดหงิดกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
สายหน่อยเพื่อนตัวแสบโผล่มาตรงเวลา น่าแปลกที่ผมกับมันยังคุยกันได้เหมือนเดิม ถึงจะไม่ได้เจอกันมานานขนาดนั้น บรรยากาศเก่าๆสมัยเรียนลอยมาตามลม เฮ้อ... นี่ตูแก่ละสินะ
จากศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เราต้องขับรถต่อไปยังสำนักงานของอุทยานใกล้น้ำตกเจ็ดคต เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ ขั้นตอนก็ง่ายๆ แค่ลงชื่อ จ่ายเงินค่าธรรมเนียม จากนั้นเค้าจะติดรถไปกับเราด้วย เพื่อนำทางไปโกรกอีดก
ช่วงแรกของการเดิน อากาศเย็นสบาย ต้นไม้ร่มครึ้ม เนินเล็กเนินน้อยไม่ใช่ปัญหา ป่าเริ่มทักทายเราด้วยทางชันสั้นๆ แต่ก็เล่นเอาอาเจ้เข่าอ่อน
“นี่แค่น้ำจิ้มพี่” เจ้าหน้าที่หนุ่มหันมายิ้ม ตัดกำลังใจของผมกับอาเจ้ไปโข
เส้นทางหลังจากนี้ยากขึ้นเรื่อยๆ เดินขึ้นเขา ทางลื่น ปีนข้ามขอนไม้ ก้มลอดต้นไผ่ เดินเลาะน้ำตก ผ่านทางสูงชั้นที่มาพร้อมกับที่วางเท้าอันเล็กจิ๋ว ก่อนที่ขาและเข่าจะไปต่อไม่ไหว น้ำตกโกรกอีดกก็อยู่ตรงหน้า
“เพื่อมาดูไอ้เนี๊ยะอะนะ...” ผมคิด
ค่อนข้างผิดหวังที่มันไม่มีต้นไม้ ไม่มีลานกว้าง ไม่มีแอ่งน้ำใหญ่ที่เราสามารถลงไปเล่นได้อย่างสบายใจให้สมกับความเหนื่อยยากที่ปีนป่ายขึ้นมา ต่างจากอาเจ้ที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งตลอดทาง แต่พอได้หย่อนก้นเอาเท้าแช่น้ำซักพัก มันก็เริ่มยิ้มร่า ควักเอาข้าวที่เตรียมไว้ออกมาแจก
ขาลง ถึงจะใช้เวลาน้อยกว่า แต่เสี่ยงต่อการลื่นไถล่หน้าคว่ำมากกว่า และนับเป็นเส้นทางนรกสำหรับอาเจ้ผู้ไม่มีทักษะในการลงทางลาด ถึงขนาดบางช่วงต้องลงไปนั่งแล้วไถ่ลงมาตามทาง บางช่วงต้องลงไปนอนคว่ำหน้ากอดก้อนหิน แล้วค่อยๆกระดึ๊บๆไปทีละนิด
“ชั้นจะไม่เดินป่าอีกแล้ววว” อาเจ้โอดโอย
ถึงจะช้า ถึงจะทุลักทุเลขนาดไหน พวกเราทุกคน โดยเฉพาะผมกับอาเจ้ ก็เอาตัวรอดกลับมาถึงรถได้อย่างปลอดภัย
แล้วไอ้เพื่อนสุดแสบของผมหละเป็นไง มันเป็นทหารครับ ของแค่นี้ทำอะไรมันไม่ได้ เดินตัวปลิวตลอดทริป... เออ มิน่า ถึงไม่มีเพื่อนยอมมากะมัน เพราะงี้นี่เอง