เรื่องเริ่มจากเมื่อวันอังคารจขกท.ได้ดูรายการหนึ่งในช่องไทยรัฐทีวี
ที่คุณโหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ไปให้สัมภาษณ์โปรโมทหนังกับเจ๊แพน(หนึ่งในนักแสดงที่เป็นดาวน์ซินโดรม)
เราไม่ได้ดูตั้งแต่เริ่มรายการแต่เผอิญเปิดเจอตอนการสัมภาษณ์มาถึงช่วงท้ายๆแล้ว
ได้ทันฟังคุณโหน่งพูดถึงแนวคิดเริ่มต้นของการทำหนัง
แนวคิดที่จุดประกายให้เขาได้เริ่มสงสัยในเรื่องราวของ “เดอะ ดาวน์” ในประเทศไทย
จขกท.เลยไปดูมาวันนี้ค่ะ
หนังเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์สารคดีค่ะ จขกท.ไม่เคยดูภาพยนตร์แนวนี้มาก่อน
แต่ขอชื่นชมว่าการดำเนินเรื่องลื่นไหล ไม่น่าเบื่อเลย
ไม่ต้องแทรกมุกตลกอะไรก็ทำให้ยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่องเพราะความน่ารักของนักแสดงที่เป็นดาวน์ซินโดรม
เสน่ห์ของเรื่องนี้อยู่ที่ความเป็นธรรมชาติ การสัมภาษณ์ของพี่โหน่งก็ดูไม่อึดอัด
เรื่องราวจะเดินไปรอบๆตัวละครหลัก 5 คน คือ เจ๊แพน น้องอัม น้องออม(น้องอัมน้องออมเป็นฝาแฝดกัน) น้องกอล์ฟ และน้องเบียร์
หนังจะเล่าเรื่องคนเหล่านี้สลับกันไป นอกจากการสัมภาษณ์และการตามติดชีวิตของน้องๆในแต่ละวัน
ก็จะมีการสัมภาษณ์พ่อแม่ของน้องๆ(ซึ่งทำเราน้ำตาไหลหลายรอบเลยแหละ) สัมภาษณ์เพื่อนร่วมงานหรือครูของน้องๆ
เราเพิ่งรู้จากการดูหนังเรื่องนี้ว่ามีโรงเรียนสำหรับผู้พิการทางสมองโดยเฉพาะและเป็นโรงเรียนประจำด้วย(โรงเรียนเพชรบุรีปัญญานุกูล)
ขอชื่นชมคุณครูและบุคลากรทุกคนเลยนะคะ เหนื่อยมากแน่ๆ เรานึกออกเลยตอนครูพูดประมาณว่า
“โรงเรียนอื่นเขายังจัดแยกประเภทของเด็กได้ แต่โรงเรียนนี้เด็ก 316 คนก็คือ 316 ประเภท”
ความรู้สึกหลังดูจบแล้วมันอิ่มปนเศร้า อิ่มเพราะมีความสุขในการได้รับรู้ชีวิตของผู้เป็นดาวน์ซินโดรมที่เราไม่ได้สัมผัสเท่าไรนัก
ได้ซึ้งถึงความรักของพ่อแม่ที่ไม่ยอมท้อถอยแม้จะเหนื่อยกับการเลี้ยงดูสักเท่าไร
ได้ดีใจที่มีองค์กรหลายที่ให้โอกาสพวกเขาเหล่านี้ได้ทำงาน
ได้ให้เขารู้สึกว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้ เขาเป็นคุณค่าหนึ่งในโลกใบนี้เช่นกัน
แต่ที่เราเศร้าเพราะมองย้อนกลับดูรอบๆตัวเรายังมีอีกหลายๆคนที่ยังไม่ได้มองเขาว่าเป็นคนเหมือนๆเรา
มองเขาเป็นตัวตลก ชี้ชวนกันขำ ถึงในหนังจะไม่ได้แสดงถึงแง่มุมนี้แต่คนรอบข้างเราหลายๆคนเป็นแบบนั้นจริงๆค่ะ
ทุกครั้งเราก็ได้พยายามอธิบายแล้วว่าเขาเป็นโรคอย่างนี้มันผิดตรงไหน เขาไม่ได้เลือกเองด้วยซ้ำ
ปล.ตอนเช็ครอบหนังเรื่องนี้จึงได้ทราบว่าหนังเข้าโรงค่อนข้างน้อยค่ะ โรงแถวบ้านเราไม่มีเลย ใกล้สุดคือเมกะบางนา
แต่ใจเราอยากดูมากถึงไกลบ้านหน่อยก็ยอม
นอกจากโรงน้อยรอบหนังก็น้อยด้วยค่ะ วันละสองรอบเอง
ยิ่งกว่านั้นรอบที่เราไปดูวันนี้มีคนแค่สิบคนถ้วนค่ะ
ปล.2 เราชอบสัตว์เลี้ยงของน้องกอล์ฟที่สุดเลย จำชื่อไม่ได้แล้วแต่ขำมาก 5555 เพื่อนๆที่ไปดูมาแล้วชอบฉากไหนกันบ้างคะ?
[CR] เดอะ ดาวน์ เป็นคนธรรมดามันง่ายไป : หนังดีที่อยากให้ทุกคนได้ดู
ที่คุณโหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ไปให้สัมภาษณ์โปรโมทหนังกับเจ๊แพน(หนึ่งในนักแสดงที่เป็นดาวน์ซินโดรม)
เราไม่ได้ดูตั้งแต่เริ่มรายการแต่เผอิญเปิดเจอตอนการสัมภาษณ์มาถึงช่วงท้ายๆแล้ว
ได้ทันฟังคุณโหน่งพูดถึงแนวคิดเริ่มต้นของการทำหนัง
แนวคิดที่จุดประกายให้เขาได้เริ่มสงสัยในเรื่องราวของ “เดอะ ดาวน์” ในประเทศไทย
จขกท.เลยไปดูมาวันนี้ค่ะ
หนังเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์สารคดีค่ะ จขกท.ไม่เคยดูภาพยนตร์แนวนี้มาก่อน
แต่ขอชื่นชมว่าการดำเนินเรื่องลื่นไหล ไม่น่าเบื่อเลย
ไม่ต้องแทรกมุกตลกอะไรก็ทำให้ยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่องเพราะความน่ารักของนักแสดงที่เป็นดาวน์ซินโดรม
เสน่ห์ของเรื่องนี้อยู่ที่ความเป็นธรรมชาติ การสัมภาษณ์ของพี่โหน่งก็ดูไม่อึดอัด
เรื่องราวจะเดินไปรอบๆตัวละครหลัก 5 คน คือ เจ๊แพน น้องอัม น้องออม(น้องอัมน้องออมเป็นฝาแฝดกัน) น้องกอล์ฟ และน้องเบียร์
หนังจะเล่าเรื่องคนเหล่านี้สลับกันไป นอกจากการสัมภาษณ์และการตามติดชีวิตของน้องๆในแต่ละวัน
ก็จะมีการสัมภาษณ์พ่อแม่ของน้องๆ(ซึ่งทำเราน้ำตาไหลหลายรอบเลยแหละ) สัมภาษณ์เพื่อนร่วมงานหรือครูของน้องๆ
เราเพิ่งรู้จากการดูหนังเรื่องนี้ว่ามีโรงเรียนสำหรับผู้พิการทางสมองโดยเฉพาะและเป็นโรงเรียนประจำด้วย(โรงเรียนเพชรบุรีปัญญานุกูล)
ขอชื่นชมคุณครูและบุคลากรทุกคนเลยนะคะ เหนื่อยมากแน่ๆ เรานึกออกเลยตอนครูพูดประมาณว่า
“โรงเรียนอื่นเขายังจัดแยกประเภทของเด็กได้ แต่โรงเรียนนี้เด็ก 316 คนก็คือ 316 ประเภท”
ความรู้สึกหลังดูจบแล้วมันอิ่มปนเศร้า อิ่มเพราะมีความสุขในการได้รับรู้ชีวิตของผู้เป็นดาวน์ซินโดรมที่เราไม่ได้สัมผัสเท่าไรนัก
ได้ซึ้งถึงความรักของพ่อแม่ที่ไม่ยอมท้อถอยแม้จะเหนื่อยกับการเลี้ยงดูสักเท่าไร
ได้ดีใจที่มีองค์กรหลายที่ให้โอกาสพวกเขาเหล่านี้ได้ทำงาน
ได้ให้เขารู้สึกว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้ เขาเป็นคุณค่าหนึ่งในโลกใบนี้เช่นกัน
แต่ที่เราเศร้าเพราะมองย้อนกลับดูรอบๆตัวเรายังมีอีกหลายๆคนที่ยังไม่ได้มองเขาว่าเป็นคนเหมือนๆเรา
มองเขาเป็นตัวตลก ชี้ชวนกันขำ ถึงในหนังจะไม่ได้แสดงถึงแง่มุมนี้แต่คนรอบข้างเราหลายๆคนเป็นแบบนั้นจริงๆค่ะ
ทุกครั้งเราก็ได้พยายามอธิบายแล้วว่าเขาเป็นโรคอย่างนี้มันผิดตรงไหน เขาไม่ได้เลือกเองด้วยซ้ำ
ปล.ตอนเช็ครอบหนังเรื่องนี้จึงได้ทราบว่าหนังเข้าโรงค่อนข้างน้อยค่ะ โรงแถวบ้านเราไม่มีเลย ใกล้สุดคือเมกะบางนา
แต่ใจเราอยากดูมากถึงไกลบ้านหน่อยก็ยอม
นอกจากโรงน้อยรอบหนังก็น้อยด้วยค่ะ วันละสองรอบเอง
ยิ่งกว่านั้นรอบที่เราไปดูวันนี้มีคนแค่สิบคนถ้วนค่ะ
ปล.2 เราชอบสัตว์เลี้ยงของน้องกอล์ฟที่สุดเลย จำชื่อไม่ได้แล้วแต่ขำมาก 5555 เพื่อนๆที่ไปดูมาแล้วชอบฉากไหนกันบ้างคะ?