MUST BE THERE: 10 สิ่งที่ผมประทับใจเมื่อได้มาเที่ยว GERMANY
เมื่อผมได้ไปเที่ยวเยอรมันกับชมพู่ อารยา กับการถ่ายภาพโดยใช้โดรน ในมุมสูง



ผมได้มีโอกาสเดินทางไปในหลากหลายที่และหลากหลายทวีป ปกติผมนั้นจะเลือกประเทศที่ห่างไกลความเจริญเพราะอาชีพผมคือช่างภาพและนักเขียนอิสระ ส่วนมากจะได้เป็นงานในมหาสมุทรหรือในป่า เช่น ตามถ่ายสัตว์ใต้น้ำ อย่างฝูงฉลามในประเทศฟิจิหรือเข้าไปดูวิถีการใช้ชีวิตของคนป่าในป่าอเมซอนหรือไปเขียนชีวิตการเดินทางตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุดของ
ประเทศอียิปต์ซึ่งนับได้ว่าได้มีโอกาสไปมาแล้วทั้ง 5 ทวีปทั่วโลกการเดินทางครั้งนี้คือการเดินทางที่จะแตกต่างกว่าการเดินทางทุกครั้งที่ผมเคยไปมานั่นคือ ผมจะได้ไปยังทวีปที่ผมยังไม่เคยไปและเป็นทวีปที่ 6 ของผมนั่นคือ ทวีปยุโรปเพราะผมได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้ไปเที่ยวเยอรมันกับไส้กรอกบุชเชอร์ ครั้งแรกที่รู้ว่าได้เป็นผู้โชคดีจากการร่วมกิจกรรมกับไส้กรอกบุชเชอร์ ผมดีใจมากเพราะหาโอกาสไปยุโรปมาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสเสียที อีกหนึ่งอย่างสำหรับผมที่คิดว่าจะแตกต่างกว่าทุกครั้งคือ ผมได้ร่วมทริปกับคุณชมพู่ อารยาเอฮาร์เก็ตและรู้สึกโชคดีมากที่ได้มีโอกาสไปทริปเยอรมันครั้งนี้การเดินทางที่ไส้กรอกบุชเชอร์จัดให้นั้น คือได้นั่งชั้นธุรกิจของสายการบินEtihad ด้วยนั่งแบบสบายกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าผมนี่โชดดีจริงๆ แต่สิ่งที่ผมอยากมาทริปนี้มากมี 2 สิ่งที่อยากทำนั้นคือ สิ่งแรกอยากไปดูบ้านเมืองของเยอรมนีว่ามันสวยเหมือนที่เคยดูหนังหรือเปล่า และอย่างที่สองอยากจะไปปีนเขาซุกสปิทเซ่ (Zugspitze) ยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์เพื่อไปดูยิ่งสูงมันยิ่งสวยจริงไหมครับ
    การมาเยอรมันครั้งนี้ ผมได้มีโอกาสเที่ยวทั้งหมด 6 วัน แต่ก็นับว่าได้ไปในสถานที่ที่ต้องการไปครบทุกที่ ผมจึงสรุปการเดินทางครั้งนี้ว่า 10 สิ่งที่ผมประทับใจในเยอรมัน ก่อนอื่นผมต้องแจ้งผู้อ่านทุกท่านทราบว่าผมได้ทำรีวิวเรื่องนี้ด้วยตนเอง ไม่ได้ถูกจ้างมาแต่อย่างใดผมรู้สึกประทับใจกับการไปเยอรมันครั้งนี้จึงอยากมาเล่าให้ทุกๆคนฟัง



10 สิ่งที่ผมประทับใจเมื่อได้มาเที่ยวเยอรมนี
อันดับที่ 10 ล่องเรือในแม่น้ำไรน์ (Rhine River)



การล่องเรือชมวิวที่แม่น้ำไรน์ซึ่งเป็น 1 ในแม่น้ำที่แปลกที่สุดอีกแห่งหนึ่ง โดยแม่น้ำจะไหลจากทิศใต้ขึ้นสู่ทิศเหนือ สองฝั่งข้างทางแม่น้ำไรน์นั้นเป็นวิวที่สวยงามมาก อากาศประมาณ 10องศา เราสามารถมองเห็นตึก ปราสาทที่สร้างมาตั้งแต่ยุคกลางและยุคโรมัน เป็นจำนวนมาก และทุ่งไร่องุ่นสำหรับทำไวน์ชั้นดี มันทำให้ วิวแม่น้ำ ภูเขา และสายลม รู้สึกโรแมนติกมากด้วยเหตุนี้ ในเดือนมิถุนายน 2002 เส้นทางล่องเรือในแม่น้ำไรน์ จึงได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมผาหินโลเรอไลน์ (Loreley Rock) ตำนานลึกลับของเสียงสะท้อนของหญิงสาว บริเวณหน้าผานี้เป็นเรื่องเศร้าของความรักของเธอ เสียงเธอจะคอยหลอกหลอน เรือที่ผ่านมาบริเวณนั้น แต่จริงๆแล้วเป็นเสียงสะท้อนของลมที่พัดอยู่บริเวณนั้น



อันดับที่ 2 เมืองไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg)




เมืองไฮเดลเบิร์ก(Heidelberg) คือเมืองเก่าทางตอนใต้ของเมืองแฟรงเฟิร์ต เมื่อผมได้เดินทางมายังที่นี่ รู้สึกได้เลยว่าเมืองนี้คือสถานที่อันดับต้นๆในใจผม ที่ผมจะให้เป็นเมืองที่โรแมนติกเพราะความลงตัวของปราสาทและเมืองที่ซ่อนความเป็นสถาปัตยกรรม ตั้งแต่สมัยก่อนผสมกับสมัยปัจจุบันจึงทำให้ดูลงตัว กลมกลืนแบบแปลกใหม่และอีกอย่างนั่นคือเมืองที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย มันทำให้รู้สึกถึงความสดชื่นและข้างเมืองเก่ามีแม่น้ำเนกคาร์ ไหลผ่าน หากมองจากมุมสูงเราจะเห็นเป็นฉากประกอบระหว่างแม่น้ำ เมืองเก่า ปราสาท และภูเขา มันคือการลงตัวที่ดูแล้วงดงามมาก จนมีนักกวีที่มีชื่อเสียงของเยอรมนีได้เดินทางมายังที่นี่แล้วได้แต่งกวีให้กับความงดงามของไฮเดลเบิร์กนี้ว่า “InchabmeinHerz in Heidelberg verloren” I lost my heart in Heidelberg เมื่อผมได้มายังเมืองนี้ผมก็จึงเข้าใจว่า ความโรแมนติกบางระดับ อย่ามาคนเดียวและ ณ ที่เมืองนี้นับว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากเมืองหนึ่งของประเทศไทยเพราะเป็นเมืองที่พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8ได้ทรงพระราชสมภพ ณ ที่เมืองแห่งนี้

3. ปราสาทไฮเดลเบิร์ก(Heidelberg Castle)



บนเขาของเมืองไฮเดลเบิร์กนั้นจะมีปราสาทไฮเดลเบิร์กถูกสร้างขึ้น ในปี ค.ศ.1300(พ.ศ.1843) ตั้งอยู่บนเนินเขาโดยรอบมีป่าละเมาะแสนสวยให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นได้บริเวณสวนของปราสาทจะมีต้นไม้ใหญ่อย่างต้นเบิช ต้นเมเปิ้ล และต้นโอ๊ก เมื่อขึ้นไปอยู่บนเนินเขาที่ตั้งของปราสาทจะมีจุดชมวิวที่จะมองลงไปดูตัวเมืองเก่าไฮเดลเบิร์กและยังเห็นแม่น้ำเนคคาร์ที่ไหลผ่านตัวเมืองไฮเดลเบิร์กอีกด้วย



ปราสาทไฮเดลเบิร์กนี้มีชื่อเสียงมากมีการก่อสร้างต่อเนื่องกว่า 400ปี ผมจึงเห็นปราสาทที่สร้างต่างยุคต่างสมัยกัน แต่กลับลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ การเข้าชมครั้งนี้ทางไส้กรอกบุชเชอร์ได้จัดไกด์พิเศษมาบรรยายความสำคัญของแต่ละห้องของปราสาททำให้เข้าใจว่าแต่ละอาคารแต่ละตึกมีความเป็นมาอย่างไร

4. ถังไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก



ในปราสาทไฮเดลเบิร์กนั้นมีห้องหนึ่ง เป็นห้องเก็บไวน์ที่อยู่บริเวณใต้ตึกติดกับเฟรดริชส์บาว (Friedrichsbau) เป็นที่เก็บถังไวน์ยักษ์ ที่เรียกว่า Great Tunหรือ Great Barrel ซึ่งเป็นถังไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำจากไม้โอ๊กถึง 130 ต้น สามารถบรรจุไวน์ได้มากกว่า 2.2 แสนลิตร ขนาดของมันใหญ่อย่างกับบ้านสองชั้นเลยและตามประวัติบอกว่า ถังนี้มีไว้เพื่อเก็บรวบรวมไวน์จากที่ต่างๆทั่วทั้งแคว้น โดยเจ้าของไร่ไวน์จะต้องส่งไวน์มาให้เจ้าของปราสาทเหมือนเครื่องบรรณาการ และไวน์ก็จะถูกนำมาเก็บรวมกันไว้ในนี้ แต่เนื่องจากไวน์แต่ละที่รสชาติก็ไม่เหมือนกันมันจึงไม่น่าจะดื่มได้

5.  Heidelberg Student´s Kiss



เมืองไฮเดลเบิร์กนอกจากจะเป็นเมืองที่โรแมนติกแล้วยังเรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งมหาลัยอีกด้วย เพราะเป็นสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก มหาวิทยาลัยแรกของเยอรมัน และเก่าแก่อันดับสองของยุโรป เพราะฉะนั้นเมื่อสมัยปี 1863 นั้น เจ้าของร้านช็อกโกแลต จึงมีไอเดียว่า หากนักศึกษาอยากจะจีบกันหรือส่งของขวัญให้กันก็น่าจะส่งช็อกโกแลตที่มีรูปชายหญิงจูบกันให้กันและกัน จึงตั้งร้านขึ้นมาชื่อHeidelberg Student´s Kiss ซึ่งกลายเป็นร้านที่โด่งดังมาก เพราะนักศึกษาต่างมาซื้อสินค้าที่มีสัญลักษณ์ของร้านไปมอบให้กัน

6. เมืองแบมเบิร์ก(Bamberg)


เมืองแบมเบิร์ก (Bamberg) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของรัฐบาวาเรียและยังเป็นเมืองที่องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้บรรจุให้เมืองนี้เป็นเมืองมรดกโลกในปี 1993 เมืองแบมเบิร์ก ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศเยอรมนี เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองนั้นถือว่าเป็นศูนย์รวมทางประวัติศาสตร์ที่มีความโดดเด่นทางด้าสถาปัตยกรรมและมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีอีกด้วย ทางบุชเชอร์ได้พาผมเดินชมเมืองทั้งบ่าย ตอนแรกผมว่าทำไมให้เวลานานจัง แต่พอได้เดินจริงๆกลับตะลึงถึงความสวยงามของเมืองนี้เวลาที่ให้มารู้สึกไม่พอขึ้นมาในทันที สถานที่ผมได้มีโอกาสได้เดินดูนั้นคือ อดีตศาลากลางเก่า (AltesRathaus) ซึ่งตั้งอยู่ในกลางของสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ข้ามแม่น้ำเร็กนิทซ์ (Regnitz River) โดยอาคารถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1386  และที่กลางเมืองแห่งนี้ยังมีมหาวิหารแบมเบิร์กหรือชื่อเป็นทางการว่า มหาวิหารแบมเบิร์กเซนต์ปีเตอร์และเซนต์จอร์จ (Bamberger Dom St. Peter und St.Georg) มีความสำคัญเป็นที่ตั้งของสังฆมณฑลของอัครบาทหลวงแห่งแบมเบิร์กโดยมหาวิหารถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรมานเนสก์สร้างครั้งแรกในปี ค.ศ.1004 โดยจักรพรรดิเฮนรีที่ 2 (Henry II) ซึ่งแล้วเสร็จในปี 1012


7.  เมืองเรเกนสบวร์ก(Regensburg)




ณ เมืองเรเกนสบวร์กหรือแปลว่าเมืองแห่งสายฝน วันนี้ผมเดินทางมาที่นี่ในตอนค่ำ เมืองนี้มีสิ่งน่าสนใจหลายอย่างโดยเฉพราะ มหาวิหารเรเกนสบวร์ก เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่มีความประณีตงดงามที่สุดของเยอรมนีตอนใต้  St.Peter's cathedral ภายในก็มีกระจกประดับ ( stained glass ) ภาพกระจกที่สำคัญ ก็จะเป็นภาพ St.Peterหรือนักบุญเปโตร ซึ่งในภาพจะถือกุญแจอยู่เป็นกุญแจที่พระเยซูมอบให้ถือเป็นกุญแจสู่คริสตจักรและให้ขนานนามว่า Rock ซึ่งแปลว่า ฐานที่มั่นคงของคริสตจักร

8. Oktoberfest




การเดินทางมายังประเทศเยอรมนีกับไส้กรอกบุชเชอร์ในครั้งนี้นั้น หนึ่งในไฮไลท์คือการได้มาเทศกาลดื่มเบียร์และกินไส้กรอกระดับโลกนั้นก็คือเทศกาล Oktoberfest  หรือชาวเยอรมันเรียกว่า Wiesnเป็นงานเทศกาลเบียร์ประจำปีของเมืองมิวนิค จัดขึ้นเป็นเวลา 2 สัปดาห์       ซึ่งจะจัดขึ้นทุกปี ช่วงปลายเดือน ก.ย - ต้นเดือน ต.ค ของทุกปี นับว่าเป็นงานเทศกาลที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้คนมางานนี้ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน  ภายในงานจะเป็นลานกว้างที่ใหญ่มากๆและจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งส่วนแรกจะมีเต็นท์ยักษ์ที่สามารถบรรจุคนได้ประมาณ2 พันคนต่อวันมีเต็นท์แบบนี้ประมาณ 20 กว่าเต็นท์ซึ่งภายในผมได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสรู้สึกได้ว่าทุกคนสนุกมาก เพราะต่างดื่มเบียร์ที่มีขนาดเดียวคือแก้วละ 1 ลิตรและมีวงดนตรีเล่นเพลงสไตล์เยอรมัน  ทุกคนต่างสนุกสนานร้องเพลงไป ดื่มเบียร์ไป เต้นตามจังหวะเพลงไป ส่วนอีกโซนหนึ่งคงมีไว้สำหรับคนที่ไม่ดื่มเบียร์ นั้นก็คือ สวนสนุกซึ่งผมได้มีโอกาสเดินดูทั่วงานซึ่งแต่ละเครื่องเล่นนั้นคล้ายบ้านเรามาก มีทั้งรถไฟลอยฟ้า ม้าหมุน เขาได้เอาเครื่องเล่นดังๆของโลกมาลงให้เล่นกันมากมาย แต่ที่บอกว่าเหมือนบ้านเรานั้นคือบ้านผีสิงรถไต่ถังและเขาวงกต ให้เล่นด้วย เทศกาลนี้มีคนหลายแสนคนเข้ามาเที่ยว มาดื่มเต็มไปหมดทั้งสนุกและแปลกตาดี