[CR] Review เที่ยว Nikko ญี่ปุ่น ต้นฤดูใบไม้แดง

หมายเหตุ การเดินทางไป Nikko ครั้งนี้เจ้าของกระทู้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับโซนมรดกโลกมากนักเพราะว่ามีหลายๆกระทู้แนะนำไปแล้ว
กล้องที่ถ่ายเป็น Iphone 6 รูปเลยอาจจะไม่สวย และเจ้าของกระทู้ไม่ได้ค่อยมีความรู้เรื่องการถ่ายภาพมากนัก

การเดินทาง โดยเจ้าของกระทู้เองเดินทางมาญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2558 ด้วยสายการบิน air AsiaX เที่ยว XJ600 กรุงเทพ-นาริตะ มาถึงโตเกียวตอน 7 โมงเช้า แต่กว่าจะผ่านเข้า ตรวจคนเข้าเมืองและทำความสะอาดร่างกายใช้เวลาเกือบประมาณ 2 ชม. จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถไฟ Keisei Sky Access สาย Narita-Haneda มาลงที่สถานี Asakusa ราคา 1290 Yen (นั่งรถไฟสายนี้ไม่ต้องต่อรถที่ไหน สายเดียวถึงเลย) ขึ้นที่ terminal 1 ตอน 9.28 น. และถึง Asakusa 10.19 น.



เพื่อที่จะเดินทางไป Nikko จากสถานี Asakusa ให้ออกทางออก A5 ก็จะเห็นป้าย Nikko Tobu บอกให้เลี้ยวซ้ายไป 180 เมตร


ข้ามถนนก็จะเห็นตึก IKEMISE  ด้านขวามือจะมีตึก Asahi และ Tokyo Sky Tree


เมื่อเข้าไปก็จะมีเคาเตอร์ขายตั๋วรถไฟ Tobu Nikko อยู่ด้านซ้าย


เจ้าของกระทู้เลือกซื้อตั๋ว All Nikko pass เพราะจะคุ้มกว่า สามารถเที่ยวกับรถบัสเข้าชมโซนธรรมชาติและโซนมรดกโลกได้ เพียงแค่โชว์บัตรกับคนขับรถบัส เมื่อซื้อเสร็จ เจ้าหน้าที่จะอธิบายการใช้งานให้ ซึ่งมีพนักงานเป็นคนไทย อธิบายเป็นภาษาไทยให้ (บางวันจะมีเจ้าหน้าที่คนไทยประจำอยู่คะ)
ลักษณะของบัตรจะเป็นแบบนี้


เมื่อขึ้นรถก็จะขึ้นตู้ที่ 5-6 เพราะ 2 ตู้นี้จะไป Nikko แต่อีก 4 ตู้จะไปทาง Kinugawa ภายในขบวนรถไฟก็จะมีโต๊ะให้กางทานข้าว หรือทานขนมได้


เมื่อถึงสถานีก็ 10.30 เลยหาข้าวกล่องมานั่งทานบนรถไฟ (หาซื้อได้ที่ชั้น 1 หรือ ถนนหน้าสถานี หน้าตาข้าวกล่อง แต่ไม่ค่อยอร่อยนะคะ ฝืนทานเพราะหิว) เจ้าของกระทู้นั่งรถไฟเที่ยว 10.40น. เพื่อให้ถึง Nikko ตอนบ่าย จะได้มีเวลาเที่ยวได้เยอะขึ้น โดยแผนจะพักที่ Nikko 2 คืนคะ


บรรยากาศระหว่างทางก็จะเป็นทุ่งนา ที่รอการเก็บเกี่ยวและเก็บเกี่ยวไปแล้ว




ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม. ก็จะถึงสถานี Tobu Nikko ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของสาย

เจ้าของกระทู้จองโรงแรมไว้ทาง booking.com โรงแรม Nikko park lodge hotel  mountain side จึงไปถามที่ประชาสัมพันธ์ เค้าแนะนำให้เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ Nikko park lodge hotel ซึ่งอยู่หน้าสถานี Tobu nikko พอดี ดังรูป แล้วจะมีรถมารับไปยังโรงแรมตอน 15.00-17.00 น. (โชคดีมากที่ไปถามก่อน ก่อนหน้านี้วางแผนไว้ว่าจะลากกระเป๋าขึ้นเขากัน ถ้าทำจริงคงเหนือยมาก)



จากนั้นก็เดินกลับมาหน้าสถานีเพื่อมาขึ้นรถไปเที่ยวโซนมรดกโลก โดยขึ้นรถ 2C (โดยทางประชาสัมพันธ์จะให้ตารางการเดินรถมาให้ พร้อมอธิบาย)

ในโซนมรดกโลก เจ้าของกระทู้ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่ต้องการจะมาเห็นเท่านั้น ก็เลยไม่ได้เข้าในทุกสถานที่ดูในทุกสถานที่ เจ้าของกระทู้แวะไปสะพานชินเคียวหรือสะพานแดง (Shinkyo Sacred Bridge) วัดรินโนจิ Rinnoji และเดินไปศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine) ใช่เวลาเดินเล่นประมาณ 3 ชั่วโมงก็ทั่ว

กลับไปที่พัก ออมแรงไว้ไปทะเลสาย Chuzenji และ Yumoto วันถัดไป
ซึ่งพอเดินกลับมาก็ถึงตึก Nikko park lodge hotel  มีรถจากโรงแรมมารับกลับโรงแรม Nikko park lodge hotel  montain side ซึ่งโรงแรมอยู่โซนภูเขา เลยร่มรื่น อากาศดี และหนาวมาก ทางโรงแรมมีอาหารเช้าและอาหารเย็นให้บริการ

เจ้าของโรงแรมเป็นฝรั่ง และมีพ่อครัวเป็นชาวฟิลิปปินส์

ห้องในโรงแรมก็ดังรูปคะ ห้องสะอาด มีห้องน้ำในห้องด้วย ทางโรงแรมมีแบบ Dorm ด้วยคะ


เจ้าของกระทู้สั่งอาหารเช้ามาตอนจองห้องพักด้วย เป็น Spain Scramble egg อร่อยมาก อีกรูปเป็นอาหารเช้าของอีกวัน ขนมปังปิ้ง ทานคู่กับน้ำผึ้ง



ตอนเช้าหลังทางข้าวเสร็จก็มีรถไปส่งที่หน้าสถานี Tobo Nikko

วันที่ 5 ตุลาคม 2558
ทานอาหารเช้าเสร็จ ประมาณ 10.00 ก็มาถึงหน้าสถานี Tobo Nikko เพื่อไปยังโซนธรรมชาติ โดยสามารถขึ้นรถไปโซนธรรมชาติได้ 2 สายคือ สาย 2A และ 2B สาย โดยสาย 2A จะขึ้นไปยัง Yamoto lake แต่ก็จะผ่าน Chuzenji lake ด้วย แต่สาย 2B ขึ้นไปถึง  Chuzenji lake แล้วกลับ
ตารางเวลาการเดินรถขาไปและขากลับคะ
ขาไป


ขากลับ


บางป้ายไม่มีในตาราง รถบัสก็จอดนะคะ แค่กดกริ่ง และถ้ามีคนรอที่ป้ายรถ เค้าก็จะแวะรับด้วยคะ

โดยป้ายที่แนะนำให้ลงคือ ป้าย 23, 24, 35, 36, 40 และ 41คะ (ช่วงที่เจ้าของกระทู้ไปเป็นช่วงใบไม้แดง ดังนั้นป้ายรถนี้แนะนำให้เดินเล่นช่วงนี้คะ) การขึ้นรถก็ง่ายมาก แค่โชว์บัตร All nikko pass ตอนขาขึ้นและลง เท่านี้ก็ขึ้นได้ทุกคันคะ

โดยป้ายที่ 23 Akechi Daira จะเป็นการขึ้นกระเช้าเพื่อดูน้ำตกเคกอน (Kekon Falls)






โชคไม่ดีที่เจ้าของกระทู้ไม่ได้ขึ้นกระเช้าเพราะว่ามีหมอกมากคะ

ป้ายที่ 24 Akechi Daira เพื่อดูน้ำตกแบบใกล้ชิด ซึ่งด้วยกัน 2 มุม คือมุมด้านบนจะไม่ต้องเสียเงินค่าดู แต่ถ้าต้องการดูด้านล่าง จะต้องเสียค่าดูคนละ 550 Yen
มุมด้านบน






มุมด้านล่าง ซึ่งต้องลงลิฟต์ไป 100 เมตร







เมื่อถึงป้ายนี้ก็เที่ยงพอดี หนาวๆหน่อย เจ้าของกระทู้หิวเลยหาร้านทานข้าวที่มีร้านอยู่หน้าน้ำตกคะ ร้านอะไรไม่ทราบ ในร้านมีป้า 2 คนและลุง อีก 1 คน ในร้านขายถ้วยดื่มชาด้วย เข้าไปก็สั่งข้าวหน้าเนื้อกับไข่ออนเซ็น สั่งมาร้อนๆทานแล้วอุ่นท้องดีมากเลยคะ ราคา 900 Yen






ทางร้านบอกว่าไอศรีมของเค้าอร่อย (วันนี้อากาศที่นี้ 13 องศาคะ)  เราเลยขอลองหน่อย อร่อยจริงๆคะ เป็นไอศรีม ราคาไม่ถูกเลย 300 Yen ต่อ 1 โคนคะ


จากนั้นเจ้าของกระทู้ก็เดินไปรอบทะเลสาบพร้อมกับถ่ายรูปบรรยากาศ อากาศเย็นๆ ลมพัดโดนหน้าหน้าแล้วสดชื่น








จากนั้นเดินขึ้นไปจุดชมวิว ลงจากจุดชมวิวก็เป็นป้ายที่ 26 เลยขึ้นรถต่อไปยังป้ายที่ 35 ต่อเลยคะ
ถึงสถานีที่ 35 ก็จะได้ยินเสียงน้ำตกมาแต่ไกล พร้อมกับต้นเมเปิ้ลสีแดงเพลิง สวยมากคะ










ข้างๆต้นเมเปิ้ลต้นนี้ก็จะมีทางเดินให้เดินชมน้ำตก Ryuzu Falls ระหว่าง 2 ข้างทางเดินไปเรื่อยๆก็ถ่ายรูปใบเมเปิลและบรรยากาศรอบๆ เดินไปถึงสุดทางเดินก็จะเจอถนนและเจอป้ายรถบัสที่ 36 ระหว่างรถ ก็จะเห็นบรรยากาศรอบๆ และถ่ายรูปกับน้ำตกมุมต่ำ













นั่งรถไปเรื่อยๆก็ตัดสินใจว่าจะลงที่สถานีไหนต่อดี เลยนั่งไปเรื่อยๆ สถานี 38-39 ก็จะเป็นทุ่งหญ้า แต่ฤดูที่เจ้าของกระทู้ไป ไม่มีดอกหญ้าเลยคะ

เจ้าของกระทู้ตัดสินใจลงที่ป้าย 41 (เกือบสุดสาย) ซึ่งเป็นทะเลสาย Yamoto สถานีนี้ก็จะมีโรงแรม มีออนเซ็น น้ำที่ไหลเข้าทะเลสาบเป็นน้ำอุ่น









จากนั้นเดินลัดเลาะทะเลสาบไปเรื่อยๆ เพื่อชมทะเลสาบในมุมต่างๆ เดินมาเรื่อยๆก็จะมีจุดแวะชุมและจุดถ่ายรูปสวยๆ







เดินมาถึงน้ำตก ซึ่งสูงมาก เสียงน้ำตก Yutaki Falls ดังสนั่น

รู้ตัวอีกทีก็ใกล้ถึงป้าย 40 แล้ว จึงเดินจากลานจอดรถขึ้นเนินไป 150 เมตร ก็จะเจอป้ายรถบัส











หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับมาที่สถานี Nikko Tobu ที่นี้ตอน 5 โมงเย็นก็เริ่มมืดและเริ่มหนาวแล้ว



* ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยคะ โพสต์นี้เป็นโฟสต์แรกคะ
ชื่อสินค้า:   ์Nikko, Japan
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่