ปั่นจักรยานเที่ยวคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากหนองคาย รู้ตัวอีกทีไปถึงปาย Part 1

ลิ้ง Part 2 http://ppantip.com/topic/34319818


นี้เป็นกระทู้ที่สองของผมในพันทิพหลังจากปีที่แล้วเคยเขียนบันทึกทริปปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่นจากโอโนมิจิไปอิมาบาริ  http://ppantip.com/topic/32997922 ออกตัวก่อนว่านี้เป็นทริปปั่นจักรยานเที่ยวแบบทางไกลครั้งแรกในชีวิตแบบค่ำไหนนอนนั้นพกเต็นท์และสัมภาระทุกอย่างไปกับจักรยาน ผมไฝ่ฝันที่จะทำสิ่งนี้มาสักพักใหญ่แล้ว ได้แต่ตามอ่านพวกบล็อกของพวกนักปั่นรอบโลกแล้วอยากมีโอกาสทำแบบนั้นบ้าง ช่วงต้นเดือนตุลาที่ผ่านมามีโอกาสได้หยุดงานเลยไปรับผิดชอบความฝันสักครั้ง เริ่มแรกก่อนเดินทางประมาณห้าวันผมประกาศหาเพื่อนร่วมปั่นด้วยในเฟสบุ๊คเพราะผมก็มีเพื่อนที่ชอบปั่นจักรยานอยู่เยอะเหมือนกัน บอกรายละเอียดคร่าวๆ ว่าจะปั่นจากภาคอีสานไปภาคเหนือเริ่มต้นจากเอาจักรยานขึ้นรถไฟจาก กทม ไปเริ่มต้นทริปที่จังหวัดหนองคายและไปจบทริปที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่สุดท้ายเพื่อนทุกคนล้วนติดงานผมเลยต้องเริ่มต้นทริปนี้คนเดียว เริ่มแรกผมก็เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นในทริปคือจักรยานพร้อมกระเป๋าใส่สัมภาระที่ใส่ เต็นท์ ถุงนอน แผ่นปูนอน อุปกรณ์สำรองของจักรยาน กล้องถ่ายรูป และเสื้อผ้า น้ำหนักบวกรวมกับจักรยานเข้าไปก็ราว 50 กิโลเห็นจะได้ พอถึงวันออกเดินทางผมก็แพ็คของบทุกอย่างติดกับจักรยานหนักโคตรๆ ไม่เคยปั่นจักรยานที่หนักขนาดนี้มาก่อน พร้อมแล้วก็ปั่นไปที่สถานีรถไฟบางซื่อ
ไปถึงสถานี้รถไฟสายเหนือที่บางซื่อก็ทำเรื่องจ่ายเงินค่าจักรยานคันละเก้าสิบบาท แค่จะออกเดินทางก็เจออุปสรรคคือรถไฟมาเลทเกือบสองชั่วโมงตั๋วบอกออกประมาณสองทุ่มครึ่งได้เดินทางจริงเกือบสี่ทุ่มครึ่ง แถมพอรถมาถึงสถานีพนักงานบนรถบอกว่าที่เก็บของเต็มแล้ว ให้ฝากไปกับขบวนอื่นแทน แต่ผมยืนยันว่าช่วยดูที่ให้หน่อยเพราะผมต้องเดินทางด้วยจักรยานทันทีเมื่อถึงหนองคาย และในใจผมไม่ยอมฝากเจ้าอีชมพู่ไปกับขบวนอื่นเด็ดขาดยังไงก็ต้องไปด้วยกันวะ กะว่าถ้าไม่ให้ไปก็จะปั่นไปหนองคายเลย สุดท้ายเจ้าหน้าที่ใจอ่อนยอมหาที่ให้ผมจอดอีชมพู่จนได้ ดีใจสุดๆ ได้ไปขบวนเดียวกันทั้งรถทั้งคน ผมจองตั๋วรถนอนแอร์เตียงบนไว้ ชอบนอนเตียงบนด้วยเหตุผลง่ายๆ มันประหยัดกว่าเตียงล่าง ถูกกว่าเกือบร้อยบาท ฮาๆ ลำบากต้องปีนขึ้นหน่อย อารมณ์เหมือนนอนในแคปซูน แถมแอร์เย็นมากๆ อย่างกะตู้แช่แข็ง

ผมถอดสัมภาระทุกอย่างจากจักรยานมาไว้กับตัวเพราะที่จอดมีจำกัด และกลัวสัมภาระเสียหาย คืนนี้นอนฟังเพลงได้สักพักก็ผลอยหลับไปไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เกือบถึงหนองคายแล้ว เจ้าหน้าที่มาปลุกให้ลุกเพราะต้องเก็บที่นอน ผมเอากระเป๋ามากองรวมกันไว้เพราะเด่วต้องยกสัมภาระทั้งหมดนี้ไปที่ตู้สินค้าแบบรอบเดียว เหมือนคนย้ายบ้านเลย ตอนรถไฟกำลังจะถึงรู้สึก โอ้ยตื่นเต้นจัง เป็นความรู้สึกเหมือนก่อนออกรบ ฮาๆๆ เราจะมีชีวิตรอดไหมนะคิดในใจ นั่งอีกไม่นาน ก็ถึงแล้ว พอถึงสถานีหนองคายก็ราวแปดโมงกว่า แน่นอนว่าควรจะถึงตั้งแต่หกโมงถ้ารถไม่เลท แต่ก็เอานะ นั่งรถไฟต้องอดทน รักจะเดินทางด้วยวิธีนี้ไม่เคยหลาบจำหรอกรถเลทนะ ถึงปุ๊บผมก็ขนสัมภาระอันพะรุงพะรังของผมมาประกอบเข้ากับอีชมพู่เพื่อรีบเดินทางเพราะอยากปั่นเต็มทีแล้ว เอาสัมภาระติดกับรถเสร็จก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อย

เริ่มต้นวันนี้ผมตั้งใจจะปั่นไปนอนที่ไหนสักแห่งบถนนเส้นริมน้ำโขงจากหนองคายที่จะไปเชียงคานจังหวัดเลย เลือกปั่นเส้นทางนี้ก็เพราะว่าอยากชมวิวแม่น้ำโขงให้เต็มตา หลังจากหลายปีก่อนผมเคยไปเฃียงคานและหลงรักแม่น้ำสานนี้เข้าเต็มๆ ชอบตรงที่มันเป็นแม่น้ำที่กว้างและมีเกาะแก่งเยอะสวย แถมยังเหมือนได้เห็นประเทศเพื่อนบ้านไปด้วยในตัว เลยมาปั่นซะให้หายอยากซะเลย เริ่มแรกก็ถามทางคนที่สถานีว่าผมจะไปอำเภอสังคม เอ่อคือแผนที่นะมีแต่ไม่ค่อยดูหรอกดูไม่ค่อยเป็นอาศัยถามเอาตลอดทาง ฮาๆ อยากน้อยๆ การถามทางมันทำให้การปั่นจักรยานคนเดียวของผมยังพอได้มีเรื่องพูดกับคนอื่นบ้าง ผมชอบสังเกตุสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันของคนแต่ละที่ นี้แหละมั้งที่มันเป็นสเน่ของการเดินทางที่ให้เราได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ โดยเฉพาะการเดินทางคนเดียว ปั่นออกมาจากสถานีได้ไม่นานแน่นอนว่าหิวเพราะยังไม่ได้กินอะไรเลย ก็เลยแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้และถือโอกาสเข้าห้องน้ำที่นี้ไปด้วยเลย แน่นอนว่าวันนี้ไม่ได้อาบน้ำ
อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อปั่นไปสักพักก็เจอท้องนาริมข้างทางสีเขียวสุดลูกหูลูกตาสวยมาก โชคดีที่ผมมาปั่นช่วงนี้ทุ่งนาต่างก็เป็นสีเขียวทุกที่
ปั่นต่อไปอีกนิดก็เป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำโขงแล้ว ฝั่งโน้นเป็นประเทศลาว เส้นทางนี้ผมจะปั่นออกจากอำเภอเมืองหนองคายเพื่อไปยังอำเภอศรีเชียงใหม่
ถ่ายรูปเล่นระหว่างทางไปเรื่อยๆ วันนี้อากาศครึ้มๆ บางช่วงฝนตกมาโปรยๆ แต่ไม่มีปัญหากับสัมภาระเพราะกระเป๋าของผมกันน้ำทุกใบ แวะถ่ายรูประหว่างทางจากอำเภอศรีเชียงใหม่ไปอำเภอสังคม ในวันฝนพรำ
ปั่นไปเรื่อยๆ ก็เข้าเขตอำเภอสังคม

หลังๆ มานี้หลายๆ คนคงคุ้นชื่ออำเภอนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ขอบอกว่าวิวแม่น้ำโขงในช่วงอำเภอนี้สวยสุดๆ จริงๆ เสียดายผมไม่ได้จอดจักรยานลงไปถ่ายรูปมากนักเพราะต้องรีบปั่นเพื่อไปหาที่พักซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะหาที่กางเต็นท์
ผมปั่นไปเรื่อยๆ จนไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งก่อนจะเข้าเขตจังหวัดเลยเพียงแค่ 2 กิโล ก็พบว่าท้องฟ้าจะมืดแล้วเลยไปถามชาวบ้านแถวนั้นว่าพอจะมีที่ไหนที่ผมพอจะกางเต็นท์ได้บ้าง ชาวบ้านบอกให้ผมปั่นไปบ้านกำนั้นเพื่อไปขออนุญาตก่อน พอผมปั่นไปถึงบ้านกำนัน ลุงกำนันบอกว่าที่หมู่บ้านมีโฮมสเตย์ไม่ต้องไปกางเต็นท์ให้ลำบาก กำนันเลยขับรถกะบะนำผมไปยังบ้านที่เปิดเป็นโฮมสเตย์ แนะนำผมกับเจ้าของบ้านว่าผมปั่นจักรยานมาคนเดียว จะขอพักซักคืนนึง เจ้าของบ้านก็ทำหน้าแปลกใจ มีแนวนี้ด้วย ผมก็สอบถามราคา คุณพี่เจ้าของบ้านก็บอกว่าคิดเฉพาะค่าที่พักคืนละ 200 บาทไม่มีอาหารเพราะไม่ได้จองมาล่วงหน้า ผมก็ตอบตกลงทันที บ้า่นหลังใหญ่สบายๆ มาก  เสร็จแล้วลุงกำนันก็จากไปปล่อยผมไว้ที่บ้านกับคุณพี่โฮสผม ที่บ้านอาศัยกันอยู่สามคนผมจำชือได้แค่สองคนคือพี่ลัดดาและพี่อัคเดช (ขออภัยถ้าจำชื่อผิด) เป็นสามีภรรยากัน  ได้ที่พักปุ๊บผมก็ขออนุญาตพี่เขาว่าจะขอเก็บจักรยานไว้ในบ้านได้รึป่าว เพราะผมรักนางและเป็นห่วงมาก แน่หละเกิดหายขึ้นมานี่แย่เลยจบทริปตั้งแต่วันแรก พี่เขาบอกว่าไม่หายหรอกที่นี้พี่จอดรถไม่ถอดกุญแจก็ไม่หาย แต่พี่เขาก็บอกแต่เอาไว้ในบ้านก็ได้จะได้สบายใจ เผื่อโจรมันชอบจักรยาน ผมก็เอาจักรยานเข้าไปไว้ในบ้าน ไปอาบน้ำ เสร็จแล้วพี่ลัดดาบอกว่าจะออกไปกินข้าวด้านนอกหรือกินข้าวกับเขาด้วยก็ได้ เป็นกินง่ายๆ ข้าวเหนียวปลาย่าง และมีน้ำพริกสองอย่างผมจำชื่อได้แต่น้ำพริกจิ้งหรีด พี่เขาบอกว่าเอาจิ้งหรีดที่หาได้มาทอดแล้วเอามาโขลกกับน้ำพริก ขอบอกว่าผมกินข้าวเหนียวไปเยอะมาก เพราะหิวสุดๆ ปั่นมาเกือบร้อยกิโล ขึ้นเขาก็หลายลูก ดูหน้าตาอาหารตอนนี้แล้วน้ำลายยังไหลอยู่เลย มื้อนี้เป็นของแถม กินๆ อยู่ พี่เขาบอกว่าอยากไปจับจิ้งหรีดกันไหม ผมอุทานในใจ เชี่ย พังค์วะ!! ผมก็ตอบตกลงอยากรู้เหมือนกันว่าจับยังไง กินข้าวเสร็จสักพักพี่อัคเดชก็พาผมออกตามหาจิ้งหรีดตามรู
ตอนไปหาเหมือนจิ้งหรีดจะมุดเข้ารูหมดแล้ว พี่อัคเดชเลยพาผมเดินไปที่ร้านอาหารตรงข้ามบ้าน ที่เขาจับไว้ได้แล้วเมื่อตะกี้ หลังจากนั้นก็กลับมาที่บ้า่นพี่อัคเดชมาบรรยายเรื่องแหล่งปลาและชนิดปลาในแม่น้ำโขงให้ผมฟัง ผมฟังอย่างสนุกปลาบลางชนิดไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนพี่อัคเดชเล่าว่าปลาในแม่น้ำโขงเดี๋ยวนี้หายากกว่าแต่ก่อน ตั้งแต่มีการสร้างเขื่อนในจีน ทำให้ปลามีราคาแพงมาก ส่วนมากคนหาได้จะเอาไปขายให้พ่อค้าคนกลางไปส่งภัตตาคารหรูๆ ในเมือง บางตัวราคาหลายพันบาทก็มี
เสร็จแล้วก็มานอนที่นอนผมคืนนี้สบายมากๆ จะได้พักแล้วหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน
แต่เด่วก่อนมีตัวป่วนขี้อ้อนมาคลอเคลียผมตลอดคืนเลย ฮาๆๆ มันชื่อเจ้าดอกแก้ว แมวจอมป่วน
ก่อนนอนพี่ลัดดาถามว่าอยากไปล่องเรือแม่น้ำโขงตอนเช้าไหม ผมบอกว่าสนใจมาก พี่ลัดดาจะไปบอกญาติที่มีเรือให้ปกติเขาจะคิดเที่ยวละ 300 บาทนั่งได้ 5 คน แต่เห็นผมมาคนเดียวเลยบอกว่าเดี๋ยวจะลดราคาให้ สุดท้ายพี่ลัดดากลับมาบอกผมว่าพรุ่งนี้ผมจะได้ไปล่องเรือแต่เช้าด้วยราคา 200 บาทเท่านั้น
ตื่นเช้ามาปรากฎว่าพี่ที่จะพาผมไปล่องเรือยังไม่ตื่นผมเลยไปปั่นจักรยานเล่นชมวิวแม่น้ำโขง แต่สักพักพี่เขาก็ตื่นเดินมาหาผมที่ริมโขงพอดี ผมเลยจอดอีชมพู่ไว้กับรถลากเรือแข่ง ลืมบอกไปว่าช่วงนี้ที่หมู่บ้านนี้เขามีซ้อมเรือแข่งกันและจะแข่งกันในอีกไม่นานหลังจากนี้ในแม่น้ำโขง แต่จะซ้อมกันเฉพาะช่วงเย็นเพราะตอนเช้าฝีพายเขาไปกรีดยางกัน  ว่าแล้วไปชมวิวในแม่น้ำโขงกันเลย
  
จะเห็นว่าเนื่องจากเป็นหน้าฝนน้ำเลยแดงมาก และอาจจะไม่เห็นแก่งชัดเท่ากับหน้าแล้ง แต่แค่นี้ผมก็ประทับใจมากแล้ว ได้ล่องแก่งแบบเงี้ยบๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย  ล่องเรือเสร็จกลับมาที่บ้านพี่ลัดดาเตรียมอาหารไว้ให้ผมอีกมื้อทั้งๆ ที่สองร้อยบาทที่ผมจ่ายเป็นแค่ค่าที่พักเท่านั้น กราบขอบพระคุณงามๆ เช้านี้ตื่นมาเจอแต่พี่ลัดดาส่วนคนอื่นๆ คงออกไปทำงานกันหมดแล้ว คงไปอยู่ในสวนกัน พี่ลัดดายังใจดีห่ออาหารไว้ให้ผมกินกลางทางด้วยแน่ะ คงกลัวผมหิวกลางทาง ซึ่งถือว่าโชคดีมากเพราะเส้นทางบางช่วงที่ผมกำลังจะปั่นไม่มีบ้านคนเลย มื้อเช้าที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิต ถ่ายภาพพี่ลัดดากับบ้านที่ผมใช้เป็นที่พักอาศัยหนึ่งคืนเต็มๆ แต่อบอุ่นมากมาย แอบเห็นรูปลูกสาวพี่ลัดดาในรูปบนฝาผนังน่ารักมาก ฮาๆๆ ออกเดินทางต่อประกอบสัมภาระเข้ากับรถอีกรอบตอนนี้ผมเริ่มคล่องแคล่วกับการประกอบสัมภาระขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ติดตามต่อ Part 2 http://ppantip.com/topic/34319818/comment1-1 ถ้าชอบไปกดไลค์เพจผมได้ครับ https://www.facebook.com/Two-Wheeled-Animal-17
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่