[CR] บ้านป่าปงเปียง ณ.เชียงใหม่ ... นาขั้นบันไดไทยสวยไม่แพ้ที่ใดในโลก

หลังจากกลับจากซาปา ( http://ppantip.com/topic/34257158 ) ผมมีโอกาสเดินทางไปเชียงใหม่ ช่วง 14-18 กันยายน ตั้งใจว่าจะไปชมนาขั้นบันได ที่เค้าว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่แห่งนั้นคือ บ้านป่าปงเปียง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่

ช่วงเวลาที่นาข้าวกำลังเขียวชะอุ่มกลางฤดูฝน เล่นระดับไปตามความลาดชันของแนวเขา มองออกไปไกลสุดสายตาเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน เบื้องบนท้องฟ้าเป็นเมฆฝน เว้นช่องให้แสงอาทิตย์ลอดผ่านเป็นระยะ ยิ่งเพิ่มมิติและบรรยากาศให้หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้

ความสวยงามถึงขั้นที่ใครๆก็บอกว่า ขอเพียงยกกล้องขึ้นมาถ่าย มุมไหนก็สวยสดงดงามทุกมุม ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ได้มองผ่านเลนส์ ณ.เวลานี้ ก็ยอมรับว่าเป็นจริงดังคำร่ำลือ

จะเลือกภาพที่คิดว่าสวยที่สุดมาเป็นภาพแรก ยังต้องใช้เวลาอยู่นาน เอาเป็นว่า เราค่อยๆมาติดตามชมกันไปดีกว่านะครับ



ตั้งต้นกันที่เมืองเชียงใหม่ ลงเครื่องมาก็ทำอะไรที่ใครเค้าไม่ทำกัน คือเดินจากสนามบินเข้าเมือง มาที่พักแถวประตูเชียงใหม่ เพื่อนก็ว่าจะงกอะไรนักหนากับแค่ค่ารถสองแถว 30-40 บาท

ไม่ใช่งกนะครับ ผมว่าการเดิน 2-3 กิโลเมตรพร้อมเป้สะพายหลัง เป็นเรื่องที่อยู่ในความสามารถ ได้เดินออกกำลังกาย ได้เห็นเมืองเชียงใหม่ในมุมที่ไม่เคยเห็น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงที่พักครับ

ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกพอดี เก็บของเสร็จก็รีบเดินต่อไปยังวัดเจดีย์หลวง ซึ่งก็อยู่ไม่ไกล มาถึงก็ได้แสงสีทองยามเย็นพอดี ด้านหน้าวัดเป็นพระอุโบสถสวยงามผสมผสานรูปแบบล้านนา ส่วนความอลังการของเจดีย์หลวง จะซ่อนอยู่ด้านหลังพระอุโบสถหลังนี้





พระธาตุเจดีย์หลวงนั้นสร้างขึ้นในในรัชสมัยพญาแสนเมืองมา (พ.ศ. 1928 - 1945) กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ซึงเป็นกษัตริย์ที่ปกครองเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้น สร้างขึ้นเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พญากือนา พระราชบิดา



ในสมัยมหาเทวีจิรประภา รัชกาลที่ 15 แห่งราชวงศ์มังราย เกิดพายุฝนตกหนัก แผ่นดินไหว พระมหาเจดีย์หลวงได้พังทลายลงมาเหลือเพียงครึ่งองค์ จากนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไปนานกว่า 4 ศตวรรษ พระมหาเจดีย์หลวงที่เห็นปัจจุบันกรมศิลปกรเพิ่งจะ บูรณปฏิสังขรณ์เสร็จไปเมื่อ พ.ศ. 2535
( ที่มา : เว็บไซต์วิกิพีเดีย )



เรียกว่านั่งเฝ้าเลยเจดีย์ก็ว่าได้ จากท้องฟ้าสีฟ้า เป็นสีทอง จากสีทองเป็นมืดมิด มาเยือนเชียงใหม่หลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความงดงามอลังการของพระธาตุเจดีย์หลวงแบบใกล้ชิด รู้สึกได้ถึงความขลังของเรื่องราวประวัติศาสตร์ ที่จารึกอยู่ในอิฐทุกก้อน



ยอดเจดีย์ที่หายไป ไม่ได้ทำให้ความสวยงามลดลงเลย ผมว่ามันกลับเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ เป็นร่องรองทางประวัติศาสตร์ที่เสริมความหมาย ความสำคัญให้พระธาตุเจดีย์หลวงองค์นี้



ตอนกลางวันเป็นพระธาตุโบราณเก่าแก่ไปตามกาลเวลา กลางคืนกลับเปล่งแสงสีทองสุกสว่าง ที่สุดของความงดงามในดินแดนล้านนา

ค่ำคืนวันที่ 14 กันยายน ณ.พระธาตุเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่



วันที่สองในเชียงใหม่ บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนตั้งแต่เช้า เราตัดสินใจว่าจะเก็บการเดินทางไปปงเปียงไว้วันพรุ่งนี้ วันนี้ทั้งวันเลยหมดไปกับการตระเวนหาของอร่อยๆกิน อย่างเมนูมื้อกลางวันวันนี้ " ตำสาวเชียงใหม่ " ที่ร้านโซลาว รสแซบจัดจ้าน ทีเด็ดคือแคปหมูกรอบๆ ยามเมื่อจุ่มโดนน้ำส้มตำให้พอซึมซาบ แล้วรีบกินในตอนที่ยังกรอบๆอยู่ แซบอย่าบอกใครเชียว



สำหรับการเดินทางไปปงเปียงในวันพรุ่งนี้ เราได้ติดต่อจองที่พักกับพี่วิชัย " บ้านมาฉิโพ " ซึ่งเป็นบ้านพักเพียงไม่กี่หลัง ที่สร้างอยู่ติดนาขั้นบันไดของบ้านป่าปงเปียง ไม่มีไฟฟ้า ใช้น้ำจากน้ำตก ลืมความศิวิไลซ์ในเมือง ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติเต็มๆซักคืน

แผนของเราคือขับรถจากเมืองเชียงใหม่ ไปอำเภอจอมทอง ขับขึ้นไปทางอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หลังจากผ่านจุดตรวจแรก ก็เลี้ยวไปทางอำเภอแม่แจ่ม ก็จะพบกับทางเข้าน้ำตกห้วยทรายเหลือง เรานัดกับพี่วิชัยว่ามาเจอพี่วิชัยที่หน่วยพิทักษ์อุทยานซึ่งอยู่ไม่ไกลจากน้ำตก จากตรงนี้จะต้องอาศัยรถพี่วิชัยที่เป็นรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ เพื่อต่อเข้าไปบ้านป่าปงเปียง



ค่าใช้จ่ายที่สอบถามไว้คือ ค่าที่พักพร้อมอาหาร 2 มื้อ คนละ 500 บาท ค่ารถไปกลับ 700 บาท สนใจข้อมูลเพิ่มเติมโทรสอบถามกับพี่วิชัยโดยตรงได้ครับ 081-0201691

ปิดท้ายวันที่ร้านบุฟเฟ่จิ้มจุ่ม แถว ม.พายัพ กลับห้องพักแบบพุงกาง พรุ่งนี้เตรียมเดินทางสู่บ้านป่าปงเปียงกันครับ

น้ำตกห้วยทรายเหลือง ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่



เราออกเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ค่อยๆขับกันมาใช้เวลา 3 ชั่วโมงก็มาถึงน้ำตกแห่งนี้ ตัวน้ำตกไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ช่วงนี้น้ำมาก ยืนอยู่หน้าน้ำตกตรงนี้ จะชุ่มฉ่ำด้วยละอองน้ำตก ท่ามกลางต้นไม้เขียวชะอุ่ม บรรยากาศแบบนี้เองที่ทำให้ความเมื่อยล้าจากการเดินทางหายไปเป็นปลิดทิ้ง รอเวลาที่นัดกับพี่วิชัยไว้บ่ายสามโมง เพื่อจะเข้าไปที่บ้านป่าปงเปียงกันครับ



*** น้ำตกห้วยทรายเหลือง อยู่ห่างจากเมืองเชียงใหม่ 105 กิโลเมตร ขับรถไปตามเส้นทางหลวง 108 ( เชียงใหม่-ฮอด ) ประมาณกิโลเมตรที่ 58 เลี้ยวขวาเข้าสู่เส้นทางหลวง 1009 ( จอมทอง-ดอยอินทนนท์ ) ขึ้นเขาไปประมาณ 39 กิโลเมตร ถึงจุดตรวจอุทยานแห่งชาติดอยอินทนน์ มีทางแยกไปอำเภอแม่แจ่ม เลี้ยวซ้ายไปทางแม่แจ่มอีกประมาณ 6 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าสู่หน่วยพิทักษ์อุทยานอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ตัวน้ำตกอยู่ไม่ไกลจากหน่วยพิทักษ์อุทยาน สามารถเดินเข้าไปชมได้ครับ ***



สัมผัสแรกที่บ้านป่าปงเปียง

พี่วิชัยขับรถโฟร์วีลพาเราฝ่าถนนโคลน อันที่จริงบางจุดไม่เหลือสภาพของถนนแล้วด้วยซ้ำ ระยะทางแค่ 2 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาปีนป่ายเข้ามาเกือบครึ่งชั่วโมง

แล้วสิ่งที่เราได้สัมผัสกับตัวเอง หลังพ้นแนวป่ามาได้ ก็คือภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาเราตอนนี้ บ้านพักที่ใช้รับรองนักท่องเที่ยว ไม่กี่หลังบนเนินเขา มองออกไปเป็นนาวข้าวกลางฤดูฝน ที่กำลังเขียวชะอุ่ม ไกลออกไปเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน เบื้องบนแม้เป็นเมฆฝนแต่ก็พอจะมีแสงสวยๆลอดผ่านมาบ้าง

เห็นแวบแรกก็รู้สึกได้ ว่าคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจพักที่นี่ เย็นนี้จะได้ชมพระอาทิตย์ตกตรงนี้ คืนนี้จะได้นอนแนบชิดกับท้องนาแบบนี้ แบบที่ไม่มีแสงไฟจากหลอดนีออนดวงใด จะมีแค่แสงจากเทียนไขและแสงจันทร์

วิวจากที่พัก ต้นข้าวสีเขียวเหมือนผ้ากำมะหยี่นุ่มๆ บนผืนนาขั้นบันไดบ้านป่าปงเปียง







รอ ... ให้เมฆดำลอยผ่านพ้นไป
รอ ... ให้ดวงอาทิตย์ทอแสงสีทองอีกครั้ง
การรอคอย บางครั้งก็ทำให้ร้อนใจ
การรอคอย บางครั้งก็ทำให้อิ่มเอม

ช่วงเวลารอแสง ณ.บ้านป่าปงเปียง
16/9/58



ทิวเขาล้อมนา ท้องนาล้อมบ้าน
บ้านกลางผืนนา ณ.ป่าปงเปียง



สิ่งอำนวยความสะดวก ทำให้ชีวิตเราสุขสบาย
แต่ความสุขสบาย อาจไม่ต้องพึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกเสมอไป



... วิวสวย แสงดี จะถ่ายกี่ที ก็สวยงาม ...
นาขั้นบันไดของไทย สวยไม่แพ้ที่ใดในโลก



เมื่อเดินลัดเลาะลงเขามาตามคันนา เราก็จะได้เห็นอีกมุมมองหนึ่ง มุมซึ่งผืนนาโอบล้อมตัวเรา พร้อมฉากหลังเป็นทิวเขาซ้อนกันเป็นชั้นๆ มีริ้วของแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาพอดี ดุจภาพวาดสีน้ำ เป็นงานศิลปะที่มนุษย์ต้องทำร่วมกันกับธรรมชาติเท่านั้น







เรื่องพิศวงในค่ำคืนอันมืดมิดที่บ้านป่าปงเปียง

ชมวิวกันจนหมดแสงแล้ว เดินกลับที่พักปลายนาของเรา ทานข้าวที่พี่วิชัยเตรียมให้พร้อมแล้ว ก็รีบอาบน้ำ เพราะค่ำแล้วที่นี่จะมืดสนิท ไม่มีไฟฟ้า ในคืนที่ไร้แสงจันทร์และแสงดาวแบบนี้ มีเพียงแสงจากเทียนไขดวงเล็กๆเท่านั้น

การไม่มีไฟฟ้า และสัญญานโทรศัพท์ที่อ่อนแรง ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำได้ นอกจากข่มตานอนแต่หัวค่ำ ฟังเสียงฝนตก กระทบหลังคาสังกะสี หนักบ้าง เบาบ้าง ตลอดทั้งคืน

แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก จากเสียงเหมือนของหล่นพื้นด้านนอก เป็นเสียงขวดน้ำหล่นพื้น ทีแรกก็คิดว่าน่าจะเป็นลมพัด แต่จากนั้นก็มีเสียงเหมือนใครกำลังลากถุงขนมทิ้งลงกับพื้น เสียงถุงพลาสติกถูกรื้อค้น ผมทนนอนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว อยากจะรู้ว่านอกห้องเกิดอะไรขึ้น

ใจนึงก็คิดว่าเป็นสัตว์อะไรซักอย่าง จึงเคาะพื้นเพื่อไล่ไปหลายที ก่อนที่จะเปิดประตูห้องออกไป เอาไฟฉายส่องดู ก็พบแต่เพียงข้าวของที่หล่นเต็มพื้นห้อง ถุงขนมถูกรื้อกระจุยกระจาย มีขนมบางส่วนถูกกินไป ถ้าเป็นสัตว์มันคงหนีไปตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะพื้นแล้ว

ผมนำของทั้งหลายเข้าห้อง พร้อมล็อคประตูอย่างแน่นหนา นอนคิดว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ มาบุกบ้านพักเราแบบเงียบสนิท และรื้อของเรากระจุยกระจายแบบนี้

แล้วถ้าไม่ใช่สัตว์ จะเป็นคน หรือเป็นอะไร ด้วยความที่มันมืดสนิทแบบนี้ ยิ่งทำให้เราคิดไปไกล รู้สึกได้ว่าเราเริ่มจะกลัวเกินไป เพราะความคิดเราเองแล้ว ว่าแล้วก็พยายามข่มตานอนอีกครั้ง ด้วยความระแวง พรุ่งนี้ค่อยตรวจดูอีกครั้ง หวังว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่เราคิดไปเองสิ่งนั้น



อาหารเช้าชาวดอย

ผ่านคืนที่ยาวนานด้วยความหวาดระแวง ยังดีที่ได้หลับสนิทในช่วงใกล้รุ่งสาง ซัก 7 โมงพี่ๆก็เอาอาหารเช้ามาส่ง เป็นเมนูง่ายๆ ไข่เจียว หมูยอทอด น้ำพริกปลาป่น กับข้าวสวยร้อนๆ

อาหารธรรมดาๆ แต่ได้กินอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ภูเขา ท้องนากับหมอกบางๆยามเช้า จินตนาการว่าข้าวแต่ละเม็ดที่เรากำลังกิน มาจากท้องทุ่งนาแห่งนี้ เท่านี้อาหารธรรมดาๆ ก็กลายเป็นมื้อพิเศษ ที่น่าจดจำที่สุดอีกมื้อในรอบปี





ชื่อสินค้า:   บ้านป่าปงเปียง
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่