ดูไปถึงตอนที่ 7 (ตอน 8 เมื่อคืนไม่ได้ดู)
1. ถ้าเราเป็นละเวง เราจะไปเรียนต่อคณะที่เกี่ยวกับการเป็นนักข่าว
จะวารสารหรือนิเทศก็แล้วแต่เลย เพื่อกรุยทางให้ร่างใหม่มีทางไปในการทำงาน
ยืดเวลาออกไปได้ 4 ปีด้วย เผื่อระหว่างนี้วิญญาณอมาวสีจะเข้าร่างเดิม
ถ้าอมาวสีอยากเรียนคณะที่เราเรียนอยู่ก็เรียนต่อเลย
ไม่เรียนก็ลาออก
แต่ถ้าเข้าทำงานแล้ววิญญาณอมาวสีมาเข้าร่างเดิมระหว่างนั้น
อมาวสีอาจลำบากเรื่องเคลียร์งานเดิมและลาออก
2. เราจะอดอาหารประท้วง อาจจะฟังดูเหมือนเด็ก ๆ
แต่เราคิดว่าวิธีนี้น่าจะใช้ได้ผลกับพ่อแม่ของอมาวสี
เพราะสองคนนี้ห่วงสุขภาพของลูกมาก เพราะลูกเป็นโรคหัวใจ
จนกว่าเราจะได้อิสระ (เราเคยอดข้าวได้สามวัน)
คิดว่าขึ้นวันที่สอง พ่อแม่ของอมาวสีก็น่าจะยอมแล้วล่ะ
เราคิดว่าแค่อาการเดิมและประท้วงด้วยการอดอาหารไม่น่าถึงขั้นต้องไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช
แค่อาการเดิมก็ไม่น่าอยู่แล้ว เพราะละเวงยังสามารถพูดคุยรู้เรื่อง มีตรรกะ มีเหตุผล
ไม่ได้ทำร้ายใครเลย ไม่ได้เป็นอันตรายกับใคร
อย่างมากก็พบหมอด้านนี้เพื่อบำบัด แต่คงไม่ต้องอยู่ค้างในโรง'บาล
เราว่าละครก็สร้างเหตุการณ์เวอร์ไปเพื่อให้ละเวงต้องพึ่งพิงโยธาด้วยการแต่งงานให้ได้อิสระ
(เห็นว่าสร้างจากนิยาย ไม่รู้ ไม่ได้อ่าน เทียบจากละครแล้วกัน)
3. เราจะทำดีกับพ่อแม่ของอมาวสีหลังจากที่เราได้อิสระแล้ว
กินข้าวด้วยกัน พาแม่ไปช็อปปิ้ง ไปนั่งเฝ้าพ่อเล่นหมากรุกกับอาแปะเพื่อนพ่อหรืออะไรก็ว่าไป
(แต่ในละครไม่รู้เลยแฮะว่าพ่อกับแม่ชอบทำอะไรบ้าง นอกจากห่วงลูก)
คอยนวดเวลาปวดเมื่อยเนื้อตัว เหมือนที่เราทำกับปู่ย่าตายายพ่อแม่เรานั่นแหละ
4. เราจะถอนหมั้นกับโยธา เพราะเราไม่ได้รักเขา และเกลียดผู้ชายที่ชอบกระชากแขน
(เป็นเรา เราเตะข้อพับไปแล้วจริง ๆ บางทีอาจมีถึงขั้นถีบให้ล้ม)
ถ้าเราเอาของหมั้นไปกองคืนให้ ยังไงโยธาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
อาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่เราคิดว่าอมาวสีก็ต้องยอมรับด้วย
เพราะเราก็ไม่ได้อยากมาอยู่ในร่างนี้ มันมาเอง
และวิญญาณอมาวสีก็ออกไปเองเหมือนกัน
มันเป็นเหตุจำเป็น เพราะจะให้พัวพันกับคนที่วุ่นวายกับเราขนาดนั้น เราว่าเราไม่ไหว
เราอาจบ้าจริง ๆ ก่อน
เราคงทำได้แค่เหลือความเป็นเพื่อนกับโยธาไว้ให้
ถ้าวันหนึ่งอมาวสีกลับมาแล้วพบว่าตัวเอง (ละเวง) ถอนหมั้นโยธาไปแล้ว
รักกันก็คืนดีกัน โยธาไม่รักแล้วก็คงต้องทำใจ
เราทำให้ได้แค่นี้จริง ๆ
5. เรื่องคดีความเราคงไม่สนใจ เพราะถึงแม้ป้าของโยธาจะแจ้งความ
แต่เราคิดว่าโยธาไม่กล้าแจ้งความเท็จกับคุณตำรวจว่าเราผลักเขาอยู่ดี
โยธาไม่มีทางให้เราเข้าไปอยู่ในห้องขัง อีกอย่างบริษัทใหญ่น่าจะมีกล้องวงจรปิด
น่าจะมีหลักฐานว่าเราไม่ได้ทำ
เรื่องเซ็นต์ใบสมรสไม่มีทางเกิดขึ้น
6. เรื่องกวีเราจะพักไว้ก่อน อาจจะกลับไปในแบบของละเวงตอนนี้
คือเป็นอมาวสีที่เป็นแฟนคลับของกองนักข่าว
แต่คงปล่อยเรื่องความรักไว้ก่อน
เอาชีวิตในตอนนี้ให้รอดก่อน
ถ้าได้เป็นเพื่อนกันใหม่ คอยช่วยเหลือกันก็โอเค
บางทีความรักก็อาจสานต่อได้อีกครั้ง ถึงจะไม่ได้ทำงานด้วยกัน
เป็นนักศึกษาไปฝึกงานตอนปีใกล้จบก็ได้
7. ถ้าเรียนจบเมื่อไหร่ก็ไปสมัครทีมเดิมนั่นแหละ ได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง
ไม่ได้ก็ไปบริษัทใหม่ พบเจอคนใหม่ ๆ
บางทีอาจได้แฟนใหม่ด้วยก็ได้
8. เรื่องคดีบุกรุกป่าสงวน ถ้าไม่ได้เข้าไปเป็นนักข่าวในทีมอีกครั้งก็คงไม่รู้ว่าอรุณีโดนขู่
ก็ปล่อยประเด็นนี้ไป บางทีตอนเข้าทำงานใหม่อีกครั้ง อาจได้สืบคดีนี้ที่บริษัทแห่งใหม่ก็ได้
ก็ด้วยประการฉะนี้ ฮาาาา : )
ถ้าเราเป็นละเวง
1. ถ้าเราเป็นละเวง เราจะไปเรียนต่อคณะที่เกี่ยวกับการเป็นนักข่าว
จะวารสารหรือนิเทศก็แล้วแต่เลย เพื่อกรุยทางให้ร่างใหม่มีทางไปในการทำงาน
ยืดเวลาออกไปได้ 4 ปีด้วย เผื่อระหว่างนี้วิญญาณอมาวสีจะเข้าร่างเดิม
ถ้าอมาวสีอยากเรียนคณะที่เราเรียนอยู่ก็เรียนต่อเลย
ไม่เรียนก็ลาออก
แต่ถ้าเข้าทำงานแล้ววิญญาณอมาวสีมาเข้าร่างเดิมระหว่างนั้น
อมาวสีอาจลำบากเรื่องเคลียร์งานเดิมและลาออก
2. เราจะอดอาหารประท้วง อาจจะฟังดูเหมือนเด็ก ๆ
แต่เราคิดว่าวิธีนี้น่าจะใช้ได้ผลกับพ่อแม่ของอมาวสี
เพราะสองคนนี้ห่วงสุขภาพของลูกมาก เพราะลูกเป็นโรคหัวใจ
จนกว่าเราจะได้อิสระ (เราเคยอดข้าวได้สามวัน)
คิดว่าขึ้นวันที่สอง พ่อแม่ของอมาวสีก็น่าจะยอมแล้วล่ะ
เราคิดว่าแค่อาการเดิมและประท้วงด้วยการอดอาหารไม่น่าถึงขั้นต้องไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช
แค่อาการเดิมก็ไม่น่าอยู่แล้ว เพราะละเวงยังสามารถพูดคุยรู้เรื่อง มีตรรกะ มีเหตุผล
ไม่ได้ทำร้ายใครเลย ไม่ได้เป็นอันตรายกับใคร
อย่างมากก็พบหมอด้านนี้เพื่อบำบัด แต่คงไม่ต้องอยู่ค้างในโรง'บาล
เราว่าละครก็สร้างเหตุการณ์เวอร์ไปเพื่อให้ละเวงต้องพึ่งพิงโยธาด้วยการแต่งงานให้ได้อิสระ
(เห็นว่าสร้างจากนิยาย ไม่รู้ ไม่ได้อ่าน เทียบจากละครแล้วกัน)
3. เราจะทำดีกับพ่อแม่ของอมาวสีหลังจากที่เราได้อิสระแล้ว
กินข้าวด้วยกัน พาแม่ไปช็อปปิ้ง ไปนั่งเฝ้าพ่อเล่นหมากรุกกับอาแปะเพื่อนพ่อหรืออะไรก็ว่าไป
(แต่ในละครไม่รู้เลยแฮะว่าพ่อกับแม่ชอบทำอะไรบ้าง นอกจากห่วงลูก)
คอยนวดเวลาปวดเมื่อยเนื้อตัว เหมือนที่เราทำกับปู่ย่าตายายพ่อแม่เรานั่นแหละ
4. เราจะถอนหมั้นกับโยธา เพราะเราไม่ได้รักเขา และเกลียดผู้ชายที่ชอบกระชากแขน
(เป็นเรา เราเตะข้อพับไปแล้วจริง ๆ บางทีอาจมีถึงขั้นถีบให้ล้ม)
ถ้าเราเอาของหมั้นไปกองคืนให้ ยังไงโยธาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
อาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่เราคิดว่าอมาวสีก็ต้องยอมรับด้วย
เพราะเราก็ไม่ได้อยากมาอยู่ในร่างนี้ มันมาเอง
และวิญญาณอมาวสีก็ออกไปเองเหมือนกัน
มันเป็นเหตุจำเป็น เพราะจะให้พัวพันกับคนที่วุ่นวายกับเราขนาดนั้น เราว่าเราไม่ไหว
เราอาจบ้าจริง ๆ ก่อน
เราคงทำได้แค่เหลือความเป็นเพื่อนกับโยธาไว้ให้
ถ้าวันหนึ่งอมาวสีกลับมาแล้วพบว่าตัวเอง (ละเวง) ถอนหมั้นโยธาไปแล้ว
รักกันก็คืนดีกัน โยธาไม่รักแล้วก็คงต้องทำใจ
เราทำให้ได้แค่นี้จริง ๆ
5. เรื่องคดีความเราคงไม่สนใจ เพราะถึงแม้ป้าของโยธาจะแจ้งความ
แต่เราคิดว่าโยธาไม่กล้าแจ้งความเท็จกับคุณตำรวจว่าเราผลักเขาอยู่ดี
โยธาไม่มีทางให้เราเข้าไปอยู่ในห้องขัง อีกอย่างบริษัทใหญ่น่าจะมีกล้องวงจรปิด
น่าจะมีหลักฐานว่าเราไม่ได้ทำ
เรื่องเซ็นต์ใบสมรสไม่มีทางเกิดขึ้น
6. เรื่องกวีเราจะพักไว้ก่อน อาจจะกลับไปในแบบของละเวงตอนนี้
คือเป็นอมาวสีที่เป็นแฟนคลับของกองนักข่าว
แต่คงปล่อยเรื่องความรักไว้ก่อน
เอาชีวิตในตอนนี้ให้รอดก่อน
ถ้าได้เป็นเพื่อนกันใหม่ คอยช่วยเหลือกันก็โอเค
บางทีความรักก็อาจสานต่อได้อีกครั้ง ถึงจะไม่ได้ทำงานด้วยกัน
เป็นนักศึกษาไปฝึกงานตอนปีใกล้จบก็ได้
7. ถ้าเรียนจบเมื่อไหร่ก็ไปสมัครทีมเดิมนั่นแหละ ได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง
ไม่ได้ก็ไปบริษัทใหม่ พบเจอคนใหม่ ๆ
บางทีอาจได้แฟนใหม่ด้วยก็ได้
8. เรื่องคดีบุกรุกป่าสงวน ถ้าไม่ได้เข้าไปเป็นนักข่าวในทีมอีกครั้งก็คงไม่รู้ว่าอรุณีโดนขู่
ก็ปล่อยประเด็นนี้ไป บางทีตอนเข้าทำงานใหม่อีกครั้ง อาจได้สืบคดีนี้ที่บริษัทแห่งใหม่ก็ได้
ก็ด้วยประการฉะนี้ ฮาาาา : )