เรื่องราว "อาบัติ" ที่อยากบอกต่อ

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวพันทิปทุกคน นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกสำหรับเราเลยค่ะ เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอมาสดๆร้อนๆ วันนี้เลยค่ะ
เหมาะกับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นกระแสของภาพยนตร์เรื่องนึงอยู่พอดีเลย  แหะ แหะ  (แอบแท็กห้องภาพยนตร์ด้วยเลยแล้วกัน)
แต่เรื่องราวนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภาพยนตร์เลยค่ะ แล้วก็ไม่ได้ถึงกับรุนแรงอะไร เลยไม่รู้ว่าจะใช้คำว่า "อาบัติ" ได้หรือเปล่า
แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า ไม่น่าใช่กิจของสงฆ์ที่ควรปฏิบัติแน่ เลยอยากเล่าเป็นอุทาหรณ์ให้เพื่อนๆหลายคน และเป็นการตีแผ่ให้
สังคมได้รับรู้ค่ะ

เรื่องของเรื่องคือ วันนี้เราไปทำบุญถวายสังฆทานมา ขอเล่าย้อนไปถึงสาเหตุที่เราไปทำบุญวันนี้ก็คือ เมื่อวานเรานัดกับน้องชายว่า
จะไปรับน้องที่หอ ขออธิบายเส้นทางการเดินทางก่อนนะคะ เส้นทางที่เราขับรถไปเป็นถนนเล็กค่อนข้างเปลี่ยวและมืด ถนนดังกล่าว
เลียบไปกับถนนหลัก ข้างทางเป็นทางรถไฟและสิ่งก่อสร้างมีบ้านคนเล็กน้อย แต่เราเลือกใช้เส้นทางนี้เพราะรถไม่ติด ระหว่างทางที่
เราขับรถไปนั้น ข้างหน้าเราเป็นรถปิ๊กอัพ ขับนำเราเร็วพอสมควรแต่รถเราก็ทิ้งระยะห่างจากรถปิ๊กอัพไปไม่มาก จังหวะนั้น มีแมวเหมียว
สีขาว วิ่งตัดหน้ารถปิ๊กอัพ รถปิ๊กอัพมีเสียหลัก แต่ไม่ทันค่ะ รถปิ๊กอัพชนแมวตัวนั้นเข้าอย่างจัง ตัวเราก็เบรคแทบกะทันหันเหมือนกัน
สายตาเราก็เห็นแมวตัวนั้นกลิ้งๆไปตามท้องถนน ดิ้นทุรนทุราย ตัวเราทำอะไรไม่ถูกค่ะ  ยอมรับว่ากลัวไม่กล้าเข้าไปจับ ได้แต่จอดรถ
กระพริบไฟข้างทางไว้ จังหวะนั้นแมวตัวนั้นก็ดิ้นๆแบบที่ดูรู้ว่าคงเจ็บปวดมาก ตัวเราก็พะวักพะวนไม่ทำอะไรสักที พอมองกระจกหลัง
ไปอีกที จากที่ดิ้นๆอยู่แมวตัวนั้นก็นิ่งสงบนอนแผ่อยู่กลางถนน ในขณะที่รถคันอื่นก็ขับผ่านไป คร่อมแมวตัวนั้นไปบ้าง ส่วนเราได้แต่
ขับรถจากมาแบบในใจรู้สึกผิดเต็มๆ ความคิดในหัวคิดแต่ว่า ถ้าเราเข้าไปจับแต่แรก แล้วพาไปส่งโรงพยาบาลแมวตัวนั้นอาจจะรอดชีวิต
ก็ได้ ได้แต่โทษว่าเป็นความผิดตัวเองที่ไม่คิดทำอะไรแต่แรก มัวแต่กลัวอยู่ได้ จากนั้นก็เล่าให้น้องชายฟัง น้องก็บอกว่าให้ไปทำบุญให้
เค้าซะ นี่จึงเป็นที่มาของเรื่องนี้ค่ะ

วันนี้ ช่วงพักกลางวัน เราเลยชวนน้องที่ออฟฟิศไปทำบุญด้วยกัน วัดก็อยู่ใกล้ๆออฟฟิศเลยค่ะ นั่งมอไซค์รับจ้างกันไปสองคน
พอไปถึงเราก็เห็นมีสังฆทานขายเป็นชุดๆ ข้างๆสังฆทาน มีตู้สำหรับหยอดเงิน พร้อมเขียนไว้ว่า ถวายสังฆทานชุดละ 99 บาท
เรากับน้องที่ไปด้วยกัน เห็นราคาถูกดีก็เลยซื้อกันคนละชุด หยอดเงินใส่ตู้กันไปคนละร้อยนึง หลังจากนั้นก็ยกเครื่องสังฆทาน
ไปถวายพระ จังหวะนั้นก็มีพระสงฆ์รูปหนึ่งเดินออกมาพอดี เรากับน้องก็เตรียมถวายแต่ยังไม่ทันถวาย พระรูปนั้นก็ยื่นซองสีขาวมา
วางให้เรากับน้องคนละซอง เรากับน้องก็มองกันแบบงงๆทั้งคู่ว่า เอ๊ เมื่อกี๊ก็จ่ายเงินค่าสังฆทานไปแล้ว พระรูปนั้นก็พูดขึ้นมาว่า
"ที่โยมหยอดที่ตู้นั้นน่ะ มาไม่ถึงพระหรอกนะ" น้องที่ไปกับเรามาบอกทีหลังว่า แอบโมโหมากที่ได้ยินแบบนี้ แต่ตัวเรานั้นยอมรับว่า
ซื่อมากค่ะ เพราะปกติเวลาไปทำบุญถวายสังฆทานกับที่บ้าน ส่วนใหญ่คุณแม่กับยายจะเป็นคนเตรียมของให้เราเสร็จสรรพ พอไปถึง
เราก็แค่ไปนั่งถวายกับแม่แค่นั้น เราก็จะเห็นแม่กับยายมีซองแยกใส่เงินแนบไปกับชุดสังฆทาน เราก็เลยเข้าใจว่า สงสัยพระคงให้ซองมา
เพราะเห็นว่าเราไม่มีซองมามั้งเลยยื่นให้ เราก็เลยเช็คเงินในกระเป๋าตัวเอง มีแต่แบงค์พัน เลยลุกจะเดินไปหาที่แลกเงิน พระรูปนั้นก็ถาม
ขึ้นว่า "จะไปแลกที่อื่นหรอ" เราก็ยังงงอยู่ค่ะ แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร พระรูปนั้นก็หยิบแบงค์ร้อยในย่ามออกมาเป็นปึ้ก แล้วยื่นให้เราแลก
กับแบงค์พัน เราก็แบบคิดในใจ "มีงี้ด้วยหรอ" เราก็ยื่นซองให้น้องใส่ น้องเราก็นั่งนิ่ง เราก็นึกว่าน้องไม่มีแบงค์แล้ว แล้วก็แค่มาเป็นเพื่อน
เราเฉยๆ เลยไม่ได้จะอะไรมาก แต่จริงๆแล้วคือน้องเราโมโหอยู่เลยตั้งใจไม่ใส่ซองให้ ส่วนเราใส่ซองให้ไปตั้ง 200 ค่ะ ไม่รู้คิดอะไรอยู่
เยอะกว่าที่ถวายสังฆทานอีกนะนั่น
    
หลังจากนั้นพระก็สวดให้แบบอลังการงานสร้าง กรวดน้ำอะไรเสร็จเรียบร้อย เราก็ยังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ เลยหันไปถามน้องว่า
ที่พระพูดแบบนั้นหมายความว่าไง น้องเราก็แบบ "อย่าให้พูดเลย อาบัติว่ะ" พอกลับเข้าออฟฟิศไป ก็เล่าให้พี่คนอื่นๆฟัง ทุกคนก็พูดว่า
จริงๆแล้วเป็นเรื่องไม่ถูกต้องนะพระไม่ควรจะมาเรียกเงินแบบนี้ เพราะค่าสังฆทานเราก็บริจาคไปแล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะคำพูดที่บอกว่า
"ที่หยอดใส่ตู้นั้น มาไม่ถึงพระหรอก" เป็นคำพูดที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง จังหวะที่เราเล่าๆอยู่นั้น ก็มีพี่อีกคนนึง นั่งๆอยู่คงได้ยินที่เราเล่าพอดี
ก็เดินมาว่า "วัดนี้ใช่มั้ย พระรูปร่างแบบนี้ใช่มั้ยๆ โดนมาเหมือนกันไปถวายสังฆทานมา อย่างกับโดนรีดไถ มีการมาถามอีกว่า
แล้วค่าปัจจัยไม่มีหรอโยม" คือแบบพอคุยกันมั่นใจว่าใช่คนเดียวกันแน่ๆ ส่วนเราถามว่าเสียดายเงินมั้ยก็เสียดายนะคะ แต่ก็คิดซะว่าทำบุญ
ให้น้องเหมียวไปแล้วกัน

    จากเหตุการณ์นี้ ทำให้เรารู้เลยว่า แล้วเรื่องแบบนี้มันมีอยู่ในสังคมจริงๆ บางเรื่องยิ่งกว่าในภาพยนตร์เสียอีก ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะเป็น
ตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสังคม เพราะหนังนั่นแหละ นำเรื่องราวจากชีวิตจริงมาสร้าง บางครั้งพระเหล่านี้ จะทำให้ชื่อเสียงของวัดที่สั่งสมมานาน
เสียหายหมด แต่เราก็เชื่อนะคะ พระดีดียังมีอีกมากมาย ต่อไปนี้จะทำบุญหรือทำอะไร คงต้องดูให้ดีกว่านี้ค่ะ อาจจะยาวไปสักหน่อย
ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านกันจนจบนะคะ

ปล. จริงๆเราก็ไม่รู้ว่า เรื่องที่เล่ามานี้ใช้คำว่าอาบัติได้หรือไม่ แต่เล่าให้ใครๆฟัง เค้าก็บอกว่า เป็นเรื่องที่ไม่สมควรกันเกือบหมด ยังไง
     ถ้าเกิดท่านไหนไม่เห็นด้วย สามารถแย้งได้นะคะ เพราะเราก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้สักเท่าไร ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่