คนที่ติดเชื้อ HIV บางคนเท่านั้น ที่เป็นเอดส์!!

ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับคำว่า "เอดส์" กับ "ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) พอสมควร ไม่ว่าจะด้วยฐานะ โรคที่น่ารังเกียจ หรือโรคที่น่าสงสาร แต่รู้หรือไม่ว่าความจริงแล้ว 2 คำนี้ ไม่เหมือนกัน และเรารู้จัก 2 คำนี้ดีแค่ไหน มาดูกันค่ะ

HIV ย่อมาจาก Human immunodeficiency virus นี่เป็นชื่อของ "ไวรัส" หรือ เชื้อโรคตัวหนึ่ง ส่วน AIDS (เอดส์) ย่อมาจาก Acquired immunodeficiency syndrome (ไม่ได้แปลว่าช่วยเหลือนะคะ) เป็นชื่อของ "กลุ่มอาการ" อย่างหนึ่งของภาวะ "ภูมิคุ้มกันบกพร่อง"

คนที่ติดเชื้อไวรัส HIV เมื่อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด จะตรงไปหาเซลล์เม็ดเลือดขาว ปกติแล้วเม็ดเลือดขาวเป็นเหมือนตำรวจในร่างกายของเรา ค่อยจับและทำลายเชื้อโรคซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายของเรา แต่เมื่อเชื้อ HIV ไปเจอกับเซลล์เม็ดเลือดขาว มันจะเข้าไปกบดานในนั้น แล้วเพิ่มจำนวนตัวเอง ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวนั้นอ่อนแอ และทำงานไม่ได้ ก่อนจะตายไป แล้วเชื้อ HIV ก็จะกระจายไปสู่เซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆ เซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายของเรามีนับได้เป็นล้านตัว เจ้าเชื้อ HIV นี้ก็จะค่อยๆกระจายไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้คนที่ติดเชื้อ HIV ก็จะยังสบายดีอยู่ ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ถึงมีก็อาจมีเล็กน้อย จนกระทั่งเม็ดเลือดขาวถูกทำลายไปถึงระดับหนึ่ง เหมือนกับตำรวจในประเทศที่ทำงานจริงๆ ค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่สามารถดูแลทั่งร่างกายได้ทั่วถึงอีกต่อไป เมื่อถึงจุดนี้ คนที่ติดเชื้อ HIV ก็จะมีลักษณะของการติดเชื้อที่ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป อันนี้แหละค่ะที่เรียกว่า "AIDS"

แล้วคนที่ติด HIV ทำยังไงถึงจะไม่เป็นเอดส์
ปัจจุบันเราพูดได้ว่า "เอดส์รักษาไม่ได้ แต่ 'ควบคุม' ได้" ตอนนี้เรามียาต้านไวรัส HIV เป็นยาที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ทำให้เม็ดเลือดขาวไม่ถูกทำลาย และถ้าได้รับยาต่อเนื่อง เม็ดเลือดขาวก็จะถูกสร้างขึ้นมาและทำงานได้ตามปกติ ทำให้คนที่ติดเชื้อ HIV สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป แต่ปัญหามีอยู่คือ ยาเหล่านี้เกิดการดื้อได้ง่ายมาก เพียงแค่การลืมกินยาเพียงครั้งเดียว หรือไม่ตรงเวลาไปแค่ 1 ชั่วโมง ก็มีโอกาสทำให้เชื้อดื้อยาได้แล้ว ถ้าดื้อยาครั้งแรกก็ยังมียาที่เป็นทางเลือกอื่นให้ลองใช้ แต่ถ้าเกิดการดื้อบ่อยๆ จนสุดท้ายแล้วดื้อยาทุกตัวที่มีอยู่ ก็เรียกว่าหมดความหวังกันเลยทีเดียว

ได้ยินว่ารักษาได้แล้ว
ไม่นานมานี้มีข่าวว่าเราสามารถรักษา HIV ได้แล้ว ก็ใช่ค่ะ แต่เป็นการได้ยาภายใน 7 วันหลังจากได้รับเชื้อ เรียกว่าก่อนที่เชื้อจะกระจายก็กินยาเพื่อสกัดกั้นไว้ก่อน ซึ่งในความเป็นจริง คนไข้ก็ไม่ค่อยรู้ตัวหรอกค่ะว่าติดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จะรู้ตัวก็เพราะมีอาการแล้ว หรือรู้จากการเจาะเลือดด้วยจุดประสงค์อย่างอื่น ค่ะ

ป้องกันดีกว่าแก้
ว่าแล้วก็อยากจะแนะนำตรงนี้ HIV เป็นไวรัสที่ติดต่อทาง "เลือด" และ "เพศสัมพันธ์"

ทางเลือดก็สามารถมาจากการใช้เข็มร่วมกันเช่น ยาเสพติด การสักตามร่างกาย ถูกเข็มจากผู้ป่วยตำ (กรณีบุคลากรทางการแพทย์) ส่วนการรับเลือดนั้น ปัจจุบันมีการตรวจเช็คเลือดที่ค่อนข้างรัดกุม จึงมีโอกาสเกิดน้อยมาก นอกจากนี้ก็มีการติดจากแม่สู่ลูกด้วย

ทางเพศสัมพันธ์เป็นด้านที่ควบคุมได้ยากที่สุด การป้องกันอยู่ที่การไม่ยิ้มทางเพศ ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย การตรวจเลือดตอนฝากครรภ์ และการเจาะเลือดจากการบริจาคเลือด ช่วยให้ตรวจพบผู้ติดเชื้อเร็วขึ้นก่อนจะมีอาการ ทั้งนี้ยังมีมาตรการต่างๆที่ต่างประเทศใช้ (แต่ประเทศไทยไม่มี) เช่น ส่งเสริมให้มีการเจาะเลือดก่อนแต่งงาน เป็นต้น แต่ถึงเมืองไทยยังไม่มี แต่คู่ไหนอยากทำก็ทำได้นะคะ

ปัจจุบันยาโรคเอดส์ดีขนาดที่ว่า มีคนมากมายในสังคมที่เป็นเอดส์ แต่เขากินยาควบคุมไว้ และสามารถใช้ชีวิตแบบปกติสุข

Report : LIV Capsule
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่