การทำลายโบราณสถาน จากภัยสงคราม

จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา การทำลายโบราณสถานสำคัญ นับแต่อดีตมีเจตนาเพื่อ ขุดหาสมบัติ

นับแต่สมัยอียิปต์ ที่พัฒนารูปแบบสุสานจนเป็นรูปปิรามิด และสร้างสุสานในแนวหินผา เพื่อป้องกันโจรขุดสุสาน
ที่รอดมาจนถึงมือ นักโบราณคดีได้ก็เหลือไม่เกินครึ่ง แต่การขุดหาในสมัยโบราณ ทำได้กำจัด
จึงนำไปได้แต่โลหะมีค่า เครื่องประดับ และไม่ได้ทำลายส่วนที่เหลือ จึงยังเหลือจารึกต่างๆ จนถึงปัจจุบัน

สุสานต่างๆของชาวอียิปต์ ถูกขโมยสมบัติมาแต่โบราณกาล เพราะชาวอียิปต์ในสมัยนั้น ได้นำสิ่งของเครื่องใช้มีค่า
บรรจุในสุสานของผู้ตาย ด้วยหวังว่าผู้ตายจะนำไปใช้ในภพหน้า แต่เพราะความมีมูลค่าของสิ่งของในสุสานนั่นเอง  
จึงเป็นที่ต้องการของบรรดาหัวขโมยทุกยุคทุกสมัย  โดยไม่เกรงกลัวต่อคำสาปแช่ง หรืออาญาบ้านเมือง

ในการสร้างสุสาน ผู้สร้างรู้ถึงปัญหานี้ดี จึงทำทางสู่ห้องเก็บศพและทรัพย์สมบัติ ให้แข็งแรงสลับซับซ้อนมากที่สุด
แต่เหล่าหัวขโมย ก็พยายามหาทางเข้า และแหล่งที่ตั้งของสุสาน ในสมัยเริ่มราชวงศ์ การสร้างสุสานเป็นไปอย่างง่ายๆ
ไม่มีระบบป้องกันขโมยแต่อย่างใด ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่า ชาวอียิปต์สมัยนั้นต่างเกรงกลัวคำสาปแช่งของเจ้าของสุสาน
  
ในสมัยต่อมา ความยากจน ทำให้ผู้คนนี้ลืมความเกรงกลัวในอิทธิปาฏิหาริย์ จึงขุดค้นกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน          
อีกทั้งชาวอียิปต์เชื่อว่า ผี หรือคนที่ตายไปแล้ว ไม่เป็นโทษแก่ผู้ใด ส่วนในการขุดค้นสมบัตินั้น
จะเลือกสุสานที่ห่างไกล จากสายตาผู้คน และปฏิบัติงานได้ในเวลาอันรวดเร็ว
    
ส่วนสุสานของฟาโรห์และขุนนางชั้นสูง มักสร้างสุสานที่ยากแก่การขุดค้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานับสัปดาห์กว่าจะเข้าถึงตัวสุสานได้  
จึงพอมีเหลือรอดมาถึงปัจจุบัน

กาลต่อมา การลอบขุดสุสานมิได้จำกัดอยู่เฉพาะของพวกคนจนต่อไปอีก  มีบันทึกที่กล่าวถึงขโมยในสุสานว่า

การขโมยสิ่งของมีค่าในสุสาน  มิได้กระทำเฉพาะหมู่คนจนเท่านั้น  แต่คนร่ำรวยหรือเศรษฐี  
ก็ชอบที่จะขุดค้นหาทรัพย์สมบัติในสุสานของผู้อื่นด้วย...



ในแถบชมพูทวีป ผู้สร้างรู้ปัญหานี้ดี ก็พัฒนาให้รัดกุมขึ้นในงานสถาปัตย์ต่างๆ เช่น

ฝังอัญมณี ขนาดใหญ่ กับเทวรูปขนาดยักษ์ อยู่ในวิหารปิดทึบเข้าออกทางเดียว
ขุดหลุมลึกดิ่งลงหลายวา แล้วสอปูน กลบดิน วางซุงเพื่อปรับพื้นที่ในการก่ออิฐสร้างฐานรากอาคาร
บรรจุของมีค่า ไว้บนยอดสิ่งก่อสร้าง ปราสาท ที่สูงเป็นพิเศษ
ใช้ปูนปั้นพอกอำพราง ปฏิมากรรมสำคัญ เพื่อไม่ให้โดนลักไป

ล่วงมาถึงยุคที่เครื่องจักรมีบทบาทในการขุด สำรวจ ทำให้การทำลายโบราณสถาน เกิดในแนวกว้าง เช่น

สุสานหลวงราชวงศ์ชิง ฝ่ายตะวันออก
สนธิสัญญาที่ราชสำนักชิง ลงนามกับฝ่ายสาธารณรัฐในปี 1911 ระบุชัดเจนว่า
สุสานตลอดจนที่ดินอันเป็นของราชวงศ์แต่เดิม จะได้รับพิทักษ์โดยกองกำลังแห่งสาธารณรัฐ
ทำให้ในช่วงแรกๆมีทั้งทหารจากวังและทหารจากกั๋วหมิงมาดูแล

แต่ด้วยความวุ่นวายในช่วงปี 1911-1925 ของจีน สนธิสัญญาเหล่านี้ก็โดนฉีกไปทีละข้อสองข้อ
จนหน่วยที่คอยเฝ้าสุสานก็อันตรธารหายไปสิ้น

ในปีช่วงยุคสงครามขุนศึกราวๆปี 1928 กองทัพของซุนเตี้ยนเหลียง ขุนศึกจากภาคเหนือได้เข้ายึดพื้นที่บริเวณ
สุสานตะวันออก รวมทั้งบริเวณสุสานติ้งหลิงไว้ และเข้าปล้นทำลายสุสานเพื่อขโมยสมบัติ
พระศพของจักรพรรดิเสียงเฟิง ของซูสีไทเฮา อันไทเฮา และเหล่าสนมโดนขุดขึ้นมาเปิดฝาโลง และขโมยสมบัติไป
โดนทิ้งศพไว้ ให้อุจาดตา ไร้คนเหลียวแล

อดีตจักรพรรดิซวนทง เมื่อได้ทราบเรื่องก็ส่งหนังสือไปหารัฐบาลของเจียงไคเช็ค ที่นานกิงให้ทำการตำหนิการกระทำซุนเตี้ยนเหลียง
และพรรคพวก แต่ซุนเตี้ยนเหลียงนับว่าเป็นขุนศึกใหญ่ในภาคเหนือคนหนึ่ง เจียงไคเช็คไม่อยากแตกคอกับเขา
ขณะที่กำลังไล่ล่าพวกพรรคก้งฉาง เรื่องนี้จึงเงียบเป็นเป่าสาก
(ลือว่าซุนเตี้ยนเหลียง ส่งไข่มุกเม็ดใหญ่ที่คล้องพระศอของซูสีไทเฮาไปให้เจียงเป็นของขวัญ บ้างว่าไข่มุกในพระโอษฐ์
จะรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย แล้วนำไปประดับรองเท้าของ ซ่งเหม่ยหลิง  แต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานรองรับเรื่องดังนี้)

สมบัติที่ซุนเตี้ยนเหลียงขโมยออกไปได้ประมาณว่ามีหลายรถบรรทุก และกระจายไปสู่มือนักสะสมทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้นด้วยภาวะสงครามกลางเมืองอันยาวนานของจีน สุสานตะวันออกก็โดนทิ้งร้าง จนหลังปี 1949
เมื่อประธานเหมาก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ทำการบูรณะสุสานตะวันออกแห่งนี้ขึ้นมาใหม่
พร้อมๆกับการบูรณะพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่ง และด่านซานไห่ที่เสียหายหนักจากสงครามกับญี่ปุ่น

มนุษย์ปักกิ่ง โจวโข่วเตี้ยน เป่ยจิง

กระโหลกศีรษะมนุษย์ปักกิ่ง พิพิธภัณฑ์สมิทโซเนี่ยน สหรัฐ

เมื่อวันที่16 ตุลาคม 2470  เบอเกอร์ โบห์ลิน (Birger  Bohlin) นักโบราณชีววิทยา ผู้อำนวยการขุดค้นชาวสวีเดน
ได้ส่งซากฟอสซิลมาให้แบล็คตรวจสอบที่ปักกิ่ง เป็นกรามและฟันของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

นพ.เดวิดสัน แบล็ค จึงรีบเขียนโครงการขอทุนวิจัยจากมูลนิธิร็อคกี้ เฟลเลอร์ เพื่อนำมาใช้จ่ายในการขุดค้น
และประกาศการค้นพบจีนัส และสปีชีส์ใหม่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ให้ชื่อฟันและกรามใหญ่ที่ค้นพบนั้นว่า
ไซแนนโธรปัส พีคินเอนซิส  (Sinanthropus  Pekinensis) หรือ คนจีนแห่งปักกิ่ง


โฮโม อิเรคตัส มนุษย์ปักกิ่ง ปริมาตรสมองประมาณ 1,000 ลบ.ซม.(1 ลิตร)
โดยโฮโม ซาเปียน หรือมนุษย์ปัจจุบันมีปริมาตรสมอง 1,000 – 2,000 ลบ.ซม.

ขนาดสมองที่ใหญ่ขึ้นนี้คือส่วนสำคัญที่ทำให้โฮโม อิเรคตัส มีพฤติกรรมที่ซับซ้อนขึ้น ฉลาดมากขึ้น
สามารถสร้างและใช้เครื่องมือจากหิน กระดูก และไม้ รู้จักการใช้ไฟ อาศัยอยู่ตามถ้ำโดยไล่สัตว์เจ้าถิ่น
อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมมนุษย์  รอย ซี แอนดรู นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ให้ความเห็นเกี่ยวกับไซแนนโธรปัส
หรือมนุษย์ปักกิ่งว่า

....มันเป็นศีรษะของปัจเจกบุคคล ที่มีอายุกว่าครึ่งล้านปีมาแล้ว
นับเป็นการค้นพบที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษยชาติโดยตรง


ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น รัฐบาลจีนร้องขอสถานทูตสหรัฐฯ ให้ช่วยนำฟอสซิลของโฮโม อิเรคตัส
ไปฝากไว้ที่อเมริกาเพื่อความปลอดภัย ฟอสซิลทั้งหมดบรรจุลงในหีบไม้สีแดง
ส่งขึ้นรถไฟไปยังเมืองจินวางเตา (Chin wang tao) เพื่อเตรียมลงเรือโดยสารอย่างรีบเร่ง โดยมีนาวิกโยธินอเมริกัน 9 นายรักษาอยู่
แต่ระหว่างทางทหารญี่ปุ่นได้หยุดรถไฟ เรื่องราวฟอสซิลของมนุษย์ปักกิ่งในโจวโข่วเตี้ยน จึงหายสาบสูญไป

คงเหลืออยู่แต่ ฟันและขากรรไกรที่รัฐบาลจีนขุดพบต่อมาในปีค.ศ. 1950  และรายงานละเอียด แบบหล่อพิมพ์
อันทรงคุณค่าของนพ.เดวิดสัน แบล็ค และฟรานซ์ ไวเดนริช ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ เท่านั้น

ภาพยนตร์เรื่องสัตว์สาวหิมาลัย ถล่มเมืองมังกร หรือ ซิงซิงหวาง (猩猩王 The Mighty Peking Man)
ผลิตโดย ชอร์บราเดอร์ ค.ศ.1977 กำกับโดย Ho Meng-hua (ญี่ปุ่นมาช่วยผลิต)

โดยนำมนุษย์ยักษ์ปักกิ่ง มาอาละวาดถล่มฮ่องกงแบบเดียวกับคิงคอง


แต่การพบสมบัติในปัจจุบัน อาจเป็นเสมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน แต่ราคาซื้อขายในตลาดมืดก็สูง
เนื่องจากยุคนี้มีแต่ของปลอมมากกว่าของจริง ข้ออ้างต่างๆเพื่อการทำลาย ก็ไม่แน่ชัดนัก
แต่ของที่ซื้อขายได้ น่าจะนำส่งไปปลายทางทั้งหมด เพราะคนซื้อน่าจะรับซื้อไม่อั้น

ก่อนสมัยลอเรนซ์อาราเบีย ก็ขนย้ายปฏิมากรรมไปเป็นจำนวนมากแล้ว จนไปศึกษาโบราณคดี
ที่ประเทศนั้นๆได้ ซึ่งในประเทศต้นกำเนิดก็ไม่เหลือเค้าโครงให้เห็นแล้ว ในบางสถานที่

จึงงงที่ว่า เหตุที่ยังมีการประกาศทำลายกันอีก แล้วช่วงที่รบแพ้เป็นเมืองขึ้น ก็ไม่ค่อยมีข่าว
ของมีค่าหาย แต่พอมีกลุ่มใหม่ที่พึ่งเกิด กลับมีข่าวการทำลายที่หนักหน่วง มากกว่าตอนระเบิด
พระบาบิยัน แบกแดดโดนยึด ทั้งที่ถูกทำลายไม่น้อย เพราะเหตุใด

ทั้งนี้รบกวนขอภาพถ่าย จากการทำลายโบราณสถาน ในที่ต่างๆ เพราะ

ภาพหนึ่งภาพ แทนความหมายได้ดีกว่า คำพูดนับพัน

รบกวนผู้รู้ชี้แนะด้วย ขอบคุณครับ


อ้างอิง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่