ผมแปลกมั้ยที่ใช้เวลาดู Inception. เกิน2วัน!!!!

เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ผมเจอะหนังเรื่องหนึ่งในแผงลดราคา75บาทของร้านขายcdแถวบ้าน. แล้วหนังที่เลือกก็ดันมีแต่หนังรางวัลออสก้าร์ที่มีดีกรีไม่ธรรมดา แต่คนที่เพิ่งเกิดมาไม่นานแบบผมยังไม่ทันได้ดู...

ในกองนั้น ผมเลือกที่จะหยิบหนับของ ผกก.ทร่ผมมีอคติต่อ(ติ่งของ)เขาที่สุดคนหนึ่งอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน กับผลงานปี2010อย่าง Inception

แต่ถึงแม้ไม่ใช่ติ่ง ผมก็ยังไม่okกับหนังเขาเท่าไรนัก. ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีนะ แต่ถ้าพูดก็พูดว่า หน้าที่สำคัญของไตรภาคอัศวินรัตติกาลฉบับโนแลนกับผมนั้น คือยาสลบชั้นดี เพราะผมใช้มันแก้โรคนอนไม่หลับหลังสอบเสร็จได้ทุกภาค...

ผมคงไม่น่าตะมีความอดทนพอจะดูหนังของเขา ทั้งๆที่การเล่นประเด็นและนักแสดง บท โปรดักชั่น คือทุกอย่างมันดีงามหมด แต่ผมก็ดันหลับไปซะอย่างน้อย1ตื่นกว่าจะดูจบ

ไม่มีแม้ซักเรื่องที่ผมจะไม่หลับกับงานของโนแลน มีครั้งหนึ่งที่ผมดูหนังเขาในช่องดาวเทียมที่บ้าน....แล้วก็ทำงานบ้านปัดกวาดเช็ดถู รีดผ้าพับผ้าไปด้วย โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่าต้องหยุดดูส่วนไหน

จนผมนึกตั้งปณิธานกับตัวเอง ว่าผมจะลองหาหนังของเขาที่ผมไม่เคยดู ตั้งใจดูมันจนจบ และพยายามสนุกกับมัน

Inception คือหนังเรื่องนั้นครับ......

คาดว่าทุกคนคงรู้กันดีแล้วว่า ความล้ำและเจ๋งของInceptionเป็นเช่นไร. แต่กว่าผมจะดูจบมาได้ ผมใช้เวลากว่า2วันในการจะดู.....

อ่านไม่ผิดครับ เกิน2วัน ทั้งๆที่มันควรจะใช้เวลาแค่2ชั่วโมงกว่าๆ

ความง่วงในแบบที่ทำให้ผมหลับกับหนังเก่าของเขาเรื่องอื่นยังกลับมาครับ....แต่ผมเลือกที่จะไม่ยอมแพ้มัน กดstop. แล้วนอนให้เต็มอิ่ม กินข้าว หรือทำอะไรก็ตามที่จะไม่ให้หลับแล้วพลาดซักวินาทีเดียวของหนัง...เพื่อเก็บเกี่ยวทุกความรู้สึกของหนัง

ส่วนที่ลำบากที่สุดคงเป็น1.5ชั่วโมงแรกของหนัง ที่ผมใช้เวลากับมัน1วันเต็มๆ กับการนอนถึง2รอบติด....  

มันไม่ได้อืดเนือยอะไร แต่การปูเรื่องของเขาไม่เร้าอารมณ์. ยิ่งเมื่อหนังที่ผมดูก่อนหน้า Inception. เป็น saving private Ryan . ซึ่งมีลายเซ็นต์ของพ่อมดวงการฮอลิวูด ซึ่งมีลายเซ็นต์การกำกับงานที่ ดึงคนดูให้คิดตาม และอยากรู้อยากเห็นหนังของเขาอย่างรุนแรงและเด่นชัด

ต่างออกไปที่โนแลนมีวิธีการเล่าเรื่องผ่านสเกลใหญ่ๆ ที่ถูกขยายไปในจุดเล็กๆ เพื่อจะมองตัวละครเหล่านั้นทำหน้าที่ แต่ส่วนมาก ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวละครไหน เป็นเจ้าของเรื่องราวตรงนั้น ทุกตัวละครเล็กเกินฉากหลังสเกลใหญ่ที่ถูกยกมาในมุมมอง. ผมจึงไม่ค่อยตราตรึงกับการแสดงของนักแสดงเท่าไรนัก

สิ่งที่ผมชอบอยู่ที่ฉาก ผมยอมรับว่าเทคนิควิธีการและการถ่ายทอดฉากเหล่านั้นทำได้สวยมากๆ ทุกอย่างเนียนตา และสมหตุสมผลมาก ทุกอย่างเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกมิติ โลกของหนังเรื่อง Inception ที่แปลกตาและมีธีมเฉพาะตัว รวมถึงบางฉากที่ใช้เทคนิคในการถ่ายทำที่โคตรจะยาก และทุกอย่างก็ถูกใช้อย่างคุ้มค่า

จนมาถึงวันที่สองของการดู มันเริ่มเข้าสู่ความระทึกและอารมณ์ของหนังเริ่มพีคขึ้น ในช่วงนี้ผมชอบการทำให้หนังกระชับนะ. และก็เป็นช่วงที่โลกความฝันถูกสื่อมาได้อย่างระทึก แต่ผมก็อยากจะบ่นแบบนายฟิชเชอร์. ว่า พวกนายฝันถึงอะไรดีๆไม่เป็นรึไง 5555 เพราะทุกอย่างดูดาร์ค และจริงเกินจะเป็นความฝัน ความฝันจริงๆน่าจะเหมือนเมืองที่พระเอกสร้างสิ...  อันนี้แค่ความคิดส่วนตัว แต่ก็ดีแล้วล่ะครับที่หนังสร้างความฝันให้มีแบบแผน

จนเข้าสู่ตอนที่ทุกอย่างผิดพลาดไปหมด และทุกตัวละครกำลังหาทางแก้ นี่ก็เช่นกัน เป็นอีกตอนที่ความน่าเชื่อถือในหนังเริ่มสั่นคลอน....แต่ด้วยความที่เป็นช่วงที่เรื่องราวถูกขับเคลื่อนด้วยไดนามิกของอารมณ์...จึงพอจะเชื่อถือได้. ผมรู้สึกว่าทฤษฎีและการวางแผนอันเร่งด่วนของหนังในช่วงนี้ดูลนลาน และขาดความสมเหตุผลเล็กน้อย โดยเฉพาะกับการคืนชีพจิตที่ตายแล้วโดยไม่ไปรอในห้วงนรก.....

นั่นทำให้ผมกดปุ่มstop และนอนพักทบทวนถึงความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ว่า. มันพอจะเป็นไปได้มั้ย และย้อนกลับมาถามว่า ถ้าเราปล่อยความคิดไปตามอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งขับเคลื่อนหนังในตอนนั้น ผมคงสามารถสนุกกับหนังได้มากกว่าตลอดเรื่องที่ผ่านมา

และก็ได้ผล เพราะเมื่อผมมองข้ามอะไรหลายๆอย่าง...ที่ดูแปลกๆในหนังช่วงหลังไป มันทำให้ผมพบการคลายปมของเรื่องราวตอนต้นเรื่องอย่างแยบยล. แลตอนจบปลายเปิดที่ถูกว่าแผนมาอย่างดี ในคนคิดได้เพียง2แบบ อย่างแรกคือ มันเป็นความจริง...และอีกอย่าง(ซึ่งผมเป็นคนที่รู้สึกไปเอง). คือทั้งหมดเป็นเพียงอีกฝันซ้อนฝันหนึ่ง ที่ทำให้หนังทั้งหมด ไม่ต่างอะไรไปจาก อีกฝันยาวๆในห้วงนรก. ที่ช่างแสนสะเทือนอารมณ์ยิ่งนัก

แต่ข้อติก็มีนะ....คือผมกรอแล้วกรออีก ก็ไม่ยักกะเจอตอนไหนที่พระเอกจะรู้ว่าไซโต้ตายแล้ว ทั้งๆที่คนที่ตายแน่นอน100%อย่างฟิชเชอร์ดันรอดซะงั้น

และผมก็ยังติไปถึง การถ่ายทอดอารมณ์นักแสดงของผลงานทุกชิ้นของเขา. เพราะถึงมันจะดี แต่กลับไม่ได้"ตราตรึง"เท่าไรนัก. คือมันไม่ได้บีบเค้นอารมณ์แบบ ร้องไห้หนักมาก สับสนหนักมากจนเรากระอักกระอ่วนตาม. แต่มันเป็นแบบ อื้อ พอรู้ว่าร้องไห้.

ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกคนแสดงได้ดีมากๆ. คล้ายๆกับตอนที่โจ๊กเกอร์ของเขาแสดง....มันอาจจะดูมีพลัง แต่ส่วนตัวของผม เขาก็ไม่ได้ต่างจากตัวละครอื่นๆของหนังแบบ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ถูกทำให้เป็นเหมือน จุดเล็กๆในกระดาษแผ่นหนึ่ง ถึงมันจะสมบูรณ์ แต่มันก็ยังเล็กอยู่ดีเมื่อเทียบกับพื้นที่กระดาษ

อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกดีขึ้นกับหนังของหนุ่มคนนี้....และหวังว่า. เขาจะทำหนังดีๆให้ชาวโลกและผมได้ตั้งใจดู. แม้จะต้องดูมันถึงสองวันก็ตาม^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่