Review : Sicario ภาพยนตร์แอ๊คชั่นดราม่าที่ดีงามที่สุดในปีนี้ ((สปอยล์))
สวัสดีค่ะชาวพันทิพที่น่ารักทุกคน วันนี้ก็จะมาตั้งกระทู้รีวิวหนังที่ตัวเองได้ดูล่าสุดในสัปดาห์นี้ ส่วนตัวเองก็ไม่ค่อยได้เขียนรีวิวซักเท่าไรนะคะ แต่ชอบการอ่านรีวิวซะมากกว่า ทั้งในพันทิพ หรือในเพจหนังตามเฟซบุ๊ค แต่เมื่ออิฉันได้ดูหนังเรื่องนึงในสัปดาห์นี้ รู้สึกว่ามีแรงผลักดันอะไรบางอย่างที่ทำให้อิฉันต้องมาเขียนรีวิวในพันทิพ ซึ่งก็รวมไปถึงการตั้งเพจของตัวเองในเฟซบุ๊คเพื่ออัพเดทข่าวสารข้อมูลและเม้ามอยกันตามประสาคนรักหนังเลยทีเดียว ซึ่งหนังที่พูดถึงนี้ก็คือเรื่อง “Sicario”
“Sicario” หรือ
“ซิคาริโอ” ผลงานการกำกับของ “เดนนิส วิลล์เลอเนิฟ” ผู้ที่ซึ่งได้สร้างผลงานอันระทึกและจุกอกสุดๆใน Prisoner และ Enemy มาปีนี้ ลุงแกก็กลับมาอีกครั้งกับผลงานที่เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ โดยซิคาริโอพรีเมียร์ครั้งแรกในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์เลยนะคะ (เริ่ดมากๆ) ซึ่งก็เรียกเสียงวิจารณ์ออกมาได้ในระดับที่ดีถึงดีเยี่ยมเลยทีเดียว จนกลายเป็นหนึ่งในหนังที่น่าจับตามองที่สุดในช่วงเทศกาลประกาศรางวัลที่มีจะถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“ซิคาริโอ” เปิดตัวด้วยคำวิจารณ์ที่อยู่ในระดับที่สูงมากๆ จากเว็บมะเขือเน่า (RottenTomatoes) มีนักวิจารณ์ชอบ 93% คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 8.1/10 จากการให้คะแนนของนักวิจารณ์ทั้งหมด 152 คน ในส่วนของเว็บรวมคะแนนจากสื่อต่างๆอย่าง Metacritics ก็เฉลี่ยคะแนนของหนังเรื่องนี้ออกมาที่ 81/100 คะแนน ซึ่งก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยทีเดียวค่ะ ส่วนคะแนนวิจารณ์จากเว็บอื่นๆ ผลก็ออกมาในแนวเดียวกัน เช่น IMDb ได้คะแนน 8.1/10 และเว็บ CinemaScore ที่รวบรวมคะแนนจากผู้ชมในอเมริกา ก็ตัดเกรดเรื่องนี้อยู่ที่เกรด A ซึ่งโดยรวมทั้งหมดแล้ว ก็ถือว่าเป็นการรันตีคุณภาพของเรื่องได้เลยนะคะว่าสุดยอดแค่ไหน แต่ก็อย่างว่าแระ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ยังไงก็ต้องพิสูจน์กับตัวเองค่ะ อิอิ
“ซิคาริโอ” เนื้อเรื่องคร่าวๆก็คือเป็นหนังที่เกี่ยวกับการตามล่าเหล่าแก๊งค์ค้ายาในประเทศเม๊กซิโก โดย FBI สาว “เคท มาร์ซี่” แสดงโดย “เอมิลี่ บลันท์” สาวสุดเท่ห์จากเรื่อง Edge of Tomorrow ไงคะ คือนางเท่ห์มากๆค่ะ คือเป็นติ่งนางแล้วตอนนี้... ในเรื่องนางจะต้องร่วมมือกับกลุ่ม CIA ในการเข้าแกะรอยและจับกุมพ่อค้ายา ซึ่งมีหนุ่มเท่ห์และหล่ออีกสองคน มาอยู่ในภารกิจด้วย นั่นก็คือหนุ่ม ”แมท” แสดงโดย “จอช โบรลิน” และหนุ่ม “อเล็กฮานโดร” แสดงโดย “เบเนซิโอ เดล โตโร่” ซึ่งหนุ่มๆเหล่านี้ถือเป็นหัวหน้ากลุ่มที่คอยควบคุมภารกิจทุกอย่าง ซึ่งถ้าดูเนื้อเรื่อง หรือดูจากตัวอย่างมันก็จะเหมือนเป็นหนังบู๊ ต่อสู้มันส์ๆใช่ไหมคะ แต่พอดูจริง ไม่ใช่เลยค่ะ เพราะนางเอกต้องเผชิญกับอันตราย และต้องปฏิบัติภารกิจที่นางเอกแทบจะไม่รู้จุดมุ่งหมายจริงๆของภารกิจเลยด้วยซ้ำ...
ทีนี้มาวิเคาระห์บทภาพยนตร์กันเลยค่ะ
>>> ฉากเปิดเรื่อง
หนังเปิดเรื่องมาด้วยทีมของนางเอกเข้าไปปฏิบัติภารกิจกวาดล้างกลุ่มค้ายา และช่วยเหลือกลุ่มคนที่โดนลักพาตัว ฉากนี้สิ่งที่หนังแสดงให้เห็นคือ หนังต้องการจะสื่อว่ากลุ่มที่นางเอกไปกวาดล้างนั้น ดูเหมือนจะเป็นปลายทางของขบวนการ ไม่ว่านางเอกจะกวาดล้างในลักษณะนี้ยังไง ก็ยากที่จะเข้าสู่ต้นทางหรือตัวหัวหน้าได้ จุดนี้จึงถือเป็นเหตุผลที่นางเอกยอมอาสาเข้าร่วมกับกลุ่ม CIA เพื่อกวาดล้างหัวหน้าแก๊งค์ค้ายา เพราะต้องการที่จัดการกับตัวหัวหน้าโดยตรง แต่ประเด็นติดตรงที่ว่านางเอกเองแทบจะไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยเกี่ยวกับกับภารกิจของ CIA นางเพียงแค่มีความมุ่งมั่น และพร้อมที่จะสู้เพื่อแก้ไขปัญหานี้ คือนางดีอะค่ะ
โดยทางกลุ่ม CIA เองก็ต้องการตัวบุคคลของ FBI ให้เข้าร่วมปฏิบัติการด้วย เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการปฏิบัติภารกิจข้ามประเทศระหว่างเม๊กซิโกกับอเมริกา
>>> FBI vs CIA
สิ่งนึงที่หนังต้องการจะเสนอคือ FBI ถือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติตามกฏข้อกฏหมาย มีศีลธรรม มีขั้นตอนในการปฏิบัติภารกิจที่มีแบบแผน ต่างจาก CIA ที่ขั้นตอนการปฏิบัติ ขอใช้คำว่า “ลุยอย่างเดียว” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยที่ไม่สนใจขั้นตอนเลยว่าจะเป็นอย่างไร อย่างเช่นในฉากสู้ที่ด่านบนถนน ฉากนี้มีการฆ่ากันบนถนน โดยที่ไม่สนใจเลยว่าบุคคลในรถคันอื่นจะมองยังไง สาธารณะชนจะเห็นด้วยหรือไม่ แล้วสื่อจะลงข่าวยังไง ซึ่ง CIA ในเรื่องแทบไม่ให้การสนใจอะไรเลย
หนังให้เห็นประเด็นนี้ชัดเจนมาก แต่ถ้าจะมองอีกแง่ คือ ถ้า FBI มัวแต่ตามไล่ล่าแก๊งค้ายาในส่วนปลายทาง แล้วเมื่อไรล่ะ ที่ต้นทางจะโดนกำจัด? แล้วเมื่อไร แก๊งค้ายาเหล่านี้จะหมดไปซะที? นี่ก็เป็นอีกมุมที่ทำให้เห็นว่า ถ้าไม่มี CIA ก็จะไม่สามารถไปถึงหัวหน้าใหญ่ได้
>>> ดูไปครึ่งเรื่อง แทบจะไม่รู้เรื่องเลย
ใช่แล้วค่ะ ความรู้สึกของคนดูจะเหมือนกับนางเอก ที่นางแทบจะไม่รู้อะไรเลย คนดูก็จะรู้สึกอึดอัด ลุ้น และเดาไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นยังไง นี่แระคือข้อดีของหนังเรื่องนี้ หนังฝากปมไว้ตลอดทั้งเรื่อง บวกกับการเป็นคนช่างสังเกตของนางเอก มุมกล้องและการจับภาพที่ชวนให้คนดูคิดตามและคิดหนักว่าบทจะเป็นยังไง แต่ผลสุดท้าย หนังก็ชนะเริ่ด เพราะคนดูเดาบทแทบไม่ออกเลย
อิฉันชอบหนังแนวนี้นะ คือช่วงกลางๆเรื่อง คนดูจะรู้สึกเฉยๆ จะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไร แล้วหนังก็จัดเต็มด้วยการคลี่คลายปมที่มันช็อคและอึ้งสุดๆ ซึ่งหนังแนวนี้มันจะสร้างความประทับใจให้กับคนดูได้เยอะเลยทีเดียว ซึ่งหนังอีกเรื่องในปีนี้ที่อิฉันดูแล้วอึ้ง ถึงขนาดอ้าปากค้าง ทึ่งกับคนเขียนบท คือเรื่อง Ex Machina เรื่องนี้บทก็ดีงามมากๆ แต่เสียดายที่หนังเข้าฉายตั้งแต่ช่วงต้นปี โอกาศบนเวทีงานประกาศรางวัลใหญ่ๆก็น่าจะต่ำกว่าหนังที่เข้าฉายในช่วงนี้ แต่ถึงยังไงก็มีลุ้น เพราะปีที่แล้ว The Grand Budapest ยังผงาดขึ้นมาได้เลย
>>> สุดท้ายนางเอกถูกหลอก
เมื่อถึงจุดไลค์แม๊กซ์ ผลเฉลยคือ นางเอกถูกนำความเป็น FBI มาใช้ในการปฏิบัติภารกิจ เพื่อให้ CIA จัดการกับหัวหน้าของแก๊งค์ค้ายา เพื่อการแก้แค้น โดยที่ไม่มีแผนที่จะกวาดล้างให้หมดสิ้น คำถามที่ตามคือ แก๊งค์ค้ายาจะหมดไปจริงหรอ? ในเมื่อคุณฆ่าหัวหน้าตาย แต่คุณไม่มีรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ หรือสถานที่กักขังคนที่ถูกลักพาตัว แล้วหนังจบด้วยฉากที่ทำรายจิตใจ คือให้นางเอกเซ็นต์รับรองเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ความซื่อตรงซื่อสัตย์ในตัวนางเอก แสดงออกมาอย่างชัดเจน
ฉากจบ ทำไมนางเอกไม่ยิง? ฉากนี้อิฉันว่าหนังแสดงให้เห็นจุดยืนของนางเอก ทีแรกนางปฏิเสธที่จะเซ็นต์ จนกระทั่งต้องรู้สึกเหมือนว่าเอาชีวิตของตัวเองมาแลกกับลายเซ็นต์ ซึ่งนางเอกเลือกชีวิต และในฉากจบ นางไม่ยิง ก็เพราะนางเลือกชีวิตของนาง ถ้าหากนางยิงออกไป อเล็กฮานโดรตาย แล้วปัญหาน่าจะไม่จบ สุดท้ายคนที่ต้องมาลำบากน่าจะเป็นตัวนางเอก (ทั้งๆที่เอาจริงๆก็น่าจะลำบากอยู่แล้ว)
>>> การแสดง
“เอมิลี่ บลันท์” นางชนะเริ่ด นางชนะทุกสิ่งอย่าง นางเคยทำให้พวกเราประทับใจมาแล้วใน Edge of Tomorrow มาครั้งนี้ ยิ่งทำให้ประทับใจเข้าไปอีก ช่วยต้นเรื่องนางถือเป็นหมากหลักในการคุมเรื่อง สามาถดึงเรื่องทั้งหมดมาไว้ในความสงสัยที่นางแสดงผ่านสีหน้าออกมา แต่พอหลังๆของหนัง ต้องยกให้กับหนุ่ม “เบเนซิโอ เดล โตโร่” อร๊ายยยยยยยยย กรี๊ดสิบรอบค่ะ หนุ่มคนนี้เอาอยู่มากๆ ฉากยิงครอบครัว นิ่งชนะทุกอย่าง แบบว่าได้อารมณ์มากๆ ถึงแม้มุมกล้องจะลดความโหดของฉากฆ่าได้ แต่ลดความแค้นที่ฝังอยู่ในใบหน้าหนุ่มคนนี้ไม่ได้เลย
ฉากจบ อิฉันว่ามันเป็นฉากปะทะกันในด้านคุณภาพของการแสดงของทั้งสองคน ซึ่งผลก็คือประทับใจทั้งสองคน แววตา สีหน้า คือมาเต็มค่ะ ถ้ามีฉากนางเอกกลับเข้าไปในห้อง แล้วนั่งคิด โชว์การแสดงของเอมิลี่ น่าจะเริ่ดมากๆ
>>> ดนตรีประกอบระทึกจุง
แน่นอนค่ะ คนประพันธ์ก็คือ “โจฮานน์ โจฮานน์สัน” ผู้ประพันธ์มือดีที่ทำดนตรีให้กับเรื่อง The Theory of Everything ในปีที่แล้ว ที่สามารถคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาได้ แต่เสียดายที่พลาดรางวัลออสการ์ไป แต่มาปีนี้ พี่แกก็น่าจะรุ่งอีกครั้ง กับดนตรีในลักษณะเสียงกลองเป็นจังหวะ เพิ่มอรรถรสในการชมได้อย่างมาก ฉากบนถนนดนตรีนี่เสริมให้ลุ้นและระทึกได้อีก แต่ข้อเสียคือตอนฟังครั้งแรกเหมือนจะรู้สึกว่าดนตรีคล้ายๆกับเรื่อง Mad Max บ้างนิดหน่อย เพราะเน้นเสียงกลองกระหึ่มเป็นทีมหลัก
...ในตอนนี้ หนังที่มีลุ้นสาขาดนตรีประกอบมากที่สุด น่าจะเป็น Inside Out ที่ได้มือประพันธ์ “ไมเคิล เกียคชิโน่” มาทำดนตรีให้ โดยไมเคิลเคยคว้าออสการ์มาแล้วจากเรื่อง Up มาครั้งนี้พี่แกก็นำโด่งมาเลยค่ะ
>>> งานกำกับภาพ คืองานดีงาม
ยอมรับจริงๆว่า งานกำกับภาพของหนังเรื่องนี้ดีงามมากๆ มุมกล้อง แสง สี เป๊ะสุดๆ ซึ่งช่างกล้องของเรื่องนี้ คือ ”โรเจอร์ ดีกิ้นส์” ผู้ที่ซึ่งเข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 11 ครั้ง (12 รายชื่อ) แต่ก็พลาดทั้งหมด (เสียดายแทน) เรื่องที่อิฉันชอบการถ่ายภาพของลุงแก คือ No Country for Old Men, The Reader, Skyfall และ Prisoners แต่ก็เสียดายจริงๆที่พลาดทั้งหมด ปีนี้ก็ได้แต่หวังให้ลุงแกได้เข้าชิงออสการ์อีกครั้ง ส่วนจะได้รางวัลไหม อิฉันว่ายากนิดนึงค่ะ คือก็ยอมรับว่างานถ่ายภาพของลุงแกแปลกและเก๋ดี แต่ถ้าเทียบกับเจ้าของรางวัลปีล่าสุดอย่าง “เอมมานูเอล ลูเบซกี้” จากเรื่อง Birdman อิฉันว่าลุงโรเจอร์ยังห่างพอสมควรคะ แถมปีนี้ตาเอมมานูเอล ยังมีผลงานออกมาอีกในเรื่อง The Revenant ซึ่งก็ถือเป็นตัวเต็งมากๆ
>>> ท้ายสุด สุดท้าย
“ซิคาริโอ” ถือเป็นหนังแอ๊คชั่น ดราม่า ที่ลงตัวที่สุดของปีนี้ มีการวางปมของบท และคลี่คลายปมได้อย่างสมเหตุสมผล พ่วงงานภาพและงานดนตรีที่ล้ำลึก ยิ่งจะช่วยเสริมให้หนังมีบทบาทในงานประกาศรางวัลต่างๆได้
อิฉัน เลยขอยกคะแนนให้เรื่องนี้ไปสวยๆที่ 9.0/10 คะแนน มีหักนิดหน่อยตรงที่หนังพีคไม่สุด แต่เชื่อว่าด้วยคะแนนเท่านี้ก็การันตีความยอดเยียมได้แน่นอน
[เจ๊นักข่าว] Review : Sicario ภาพยนตร์แอ๊คชั่นดราม่าที่ดีงามที่สุดในปีนี้ ((สปอยล์))
สวัสดีค่ะชาวพันทิพที่น่ารักทุกคน วันนี้ก็จะมาตั้งกระทู้รีวิวหนังที่ตัวเองได้ดูล่าสุดในสัปดาห์นี้ ส่วนตัวเองก็ไม่ค่อยได้เขียนรีวิวซักเท่าไรนะคะ แต่ชอบการอ่านรีวิวซะมากกว่า ทั้งในพันทิพ หรือในเพจหนังตามเฟซบุ๊ค แต่เมื่ออิฉันได้ดูหนังเรื่องนึงในสัปดาห์นี้ รู้สึกว่ามีแรงผลักดันอะไรบางอย่างที่ทำให้อิฉันต้องมาเขียนรีวิวในพันทิพ ซึ่งก็รวมไปถึงการตั้งเพจของตัวเองในเฟซบุ๊คเพื่ออัพเดทข่าวสารข้อมูลและเม้ามอยกันตามประสาคนรักหนังเลยทีเดียว ซึ่งหนังที่พูดถึงนี้ก็คือเรื่อง “Sicario”
“Sicario” หรือ “ซิคาริโอ” ผลงานการกำกับของ “เดนนิส วิลล์เลอเนิฟ” ผู้ที่ซึ่งได้สร้างผลงานอันระทึกและจุกอกสุดๆใน Prisoner และ Enemy มาปีนี้ ลุงแกก็กลับมาอีกครั้งกับผลงานที่เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ โดยซิคาริโอพรีเมียร์ครั้งแรกในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์เลยนะคะ (เริ่ดมากๆ) ซึ่งก็เรียกเสียงวิจารณ์ออกมาได้ในระดับที่ดีถึงดีเยี่ยมเลยทีเดียว จนกลายเป็นหนึ่งในหนังที่น่าจับตามองที่สุดในช่วงเทศกาลประกาศรางวัลที่มีจะถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“ซิคาริโอ” เปิดตัวด้วยคำวิจารณ์ที่อยู่ในระดับที่สูงมากๆ จากเว็บมะเขือเน่า (RottenTomatoes) มีนักวิจารณ์ชอบ 93% คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 8.1/10 จากการให้คะแนนของนักวิจารณ์ทั้งหมด 152 คน ในส่วนของเว็บรวมคะแนนจากสื่อต่างๆอย่าง Metacritics ก็เฉลี่ยคะแนนของหนังเรื่องนี้ออกมาที่ 81/100 คะแนน ซึ่งก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยทีเดียวค่ะ ส่วนคะแนนวิจารณ์จากเว็บอื่นๆ ผลก็ออกมาในแนวเดียวกัน เช่น IMDb ได้คะแนน 8.1/10 และเว็บ CinemaScore ที่รวบรวมคะแนนจากผู้ชมในอเมริกา ก็ตัดเกรดเรื่องนี้อยู่ที่เกรด A ซึ่งโดยรวมทั้งหมดแล้ว ก็ถือว่าเป็นการรันตีคุณภาพของเรื่องได้เลยนะคะว่าสุดยอดแค่ไหน แต่ก็อย่างว่าแระ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ยังไงก็ต้องพิสูจน์กับตัวเองค่ะ อิอิ
“ซิคาริโอ” เนื้อเรื่องคร่าวๆก็คือเป็นหนังที่เกี่ยวกับการตามล่าเหล่าแก๊งค์ค้ายาในประเทศเม๊กซิโก โดย FBI สาว “เคท มาร์ซี่” แสดงโดย “เอมิลี่ บลันท์” สาวสุดเท่ห์จากเรื่อง Edge of Tomorrow ไงคะ คือนางเท่ห์มากๆค่ะ คือเป็นติ่งนางแล้วตอนนี้... ในเรื่องนางจะต้องร่วมมือกับกลุ่ม CIA ในการเข้าแกะรอยและจับกุมพ่อค้ายา ซึ่งมีหนุ่มเท่ห์และหล่ออีกสองคน มาอยู่ในภารกิจด้วย นั่นก็คือหนุ่ม ”แมท” แสดงโดย “จอช โบรลิน” และหนุ่ม “อเล็กฮานโดร” แสดงโดย “เบเนซิโอ เดล โตโร่” ซึ่งหนุ่มๆเหล่านี้ถือเป็นหัวหน้ากลุ่มที่คอยควบคุมภารกิจทุกอย่าง ซึ่งถ้าดูเนื้อเรื่อง หรือดูจากตัวอย่างมันก็จะเหมือนเป็นหนังบู๊ ต่อสู้มันส์ๆใช่ไหมคะ แต่พอดูจริง ไม่ใช่เลยค่ะ เพราะนางเอกต้องเผชิญกับอันตราย และต้องปฏิบัติภารกิจที่นางเอกแทบจะไม่รู้จุดมุ่งหมายจริงๆของภารกิจเลยด้วยซ้ำ...
ทีนี้มาวิเคาระห์บทภาพยนตร์กันเลยค่ะ
>>> ฉากเปิดเรื่อง
หนังเปิดเรื่องมาด้วยทีมของนางเอกเข้าไปปฏิบัติภารกิจกวาดล้างกลุ่มค้ายา และช่วยเหลือกลุ่มคนที่โดนลักพาตัว ฉากนี้สิ่งที่หนังแสดงให้เห็นคือ หนังต้องการจะสื่อว่ากลุ่มที่นางเอกไปกวาดล้างนั้น ดูเหมือนจะเป็นปลายทางของขบวนการ ไม่ว่านางเอกจะกวาดล้างในลักษณะนี้ยังไง ก็ยากที่จะเข้าสู่ต้นทางหรือตัวหัวหน้าได้ จุดนี้จึงถือเป็นเหตุผลที่นางเอกยอมอาสาเข้าร่วมกับกลุ่ม CIA เพื่อกวาดล้างหัวหน้าแก๊งค์ค้ายา เพราะต้องการที่จัดการกับตัวหัวหน้าโดยตรง แต่ประเด็นติดตรงที่ว่านางเอกเองแทบจะไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยเกี่ยวกับกับภารกิจของ CIA นางเพียงแค่มีความมุ่งมั่น และพร้อมที่จะสู้เพื่อแก้ไขปัญหานี้ คือนางดีอะค่ะ
โดยทางกลุ่ม CIA เองก็ต้องการตัวบุคคลของ FBI ให้เข้าร่วมปฏิบัติการด้วย เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการปฏิบัติภารกิจข้ามประเทศระหว่างเม๊กซิโกกับอเมริกา
>>> FBI vs CIA
สิ่งนึงที่หนังต้องการจะเสนอคือ FBI ถือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติตามกฏข้อกฏหมาย มีศีลธรรม มีขั้นตอนในการปฏิบัติภารกิจที่มีแบบแผน ต่างจาก CIA ที่ขั้นตอนการปฏิบัติ ขอใช้คำว่า “ลุยอย่างเดียว” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยที่ไม่สนใจขั้นตอนเลยว่าจะเป็นอย่างไร อย่างเช่นในฉากสู้ที่ด่านบนถนน ฉากนี้มีการฆ่ากันบนถนน โดยที่ไม่สนใจเลยว่าบุคคลในรถคันอื่นจะมองยังไง สาธารณะชนจะเห็นด้วยหรือไม่ แล้วสื่อจะลงข่าวยังไง ซึ่ง CIA ในเรื่องแทบไม่ให้การสนใจอะไรเลย
หนังให้เห็นประเด็นนี้ชัดเจนมาก แต่ถ้าจะมองอีกแง่ คือ ถ้า FBI มัวแต่ตามไล่ล่าแก๊งค้ายาในส่วนปลายทาง แล้วเมื่อไรล่ะ ที่ต้นทางจะโดนกำจัด? แล้วเมื่อไร แก๊งค้ายาเหล่านี้จะหมดไปซะที? นี่ก็เป็นอีกมุมที่ทำให้เห็นว่า ถ้าไม่มี CIA ก็จะไม่สามารถไปถึงหัวหน้าใหญ่ได้
>>> ดูไปครึ่งเรื่อง แทบจะไม่รู้เรื่องเลย
ใช่แล้วค่ะ ความรู้สึกของคนดูจะเหมือนกับนางเอก ที่นางแทบจะไม่รู้อะไรเลย คนดูก็จะรู้สึกอึดอัด ลุ้น และเดาไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นยังไง นี่แระคือข้อดีของหนังเรื่องนี้ หนังฝากปมไว้ตลอดทั้งเรื่อง บวกกับการเป็นคนช่างสังเกตของนางเอก มุมกล้องและการจับภาพที่ชวนให้คนดูคิดตามและคิดหนักว่าบทจะเป็นยังไง แต่ผลสุดท้าย หนังก็ชนะเริ่ด เพราะคนดูเดาบทแทบไม่ออกเลย
อิฉันชอบหนังแนวนี้นะ คือช่วงกลางๆเรื่อง คนดูจะรู้สึกเฉยๆ จะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไร แล้วหนังก็จัดเต็มด้วยการคลี่คลายปมที่มันช็อคและอึ้งสุดๆ ซึ่งหนังแนวนี้มันจะสร้างความประทับใจให้กับคนดูได้เยอะเลยทีเดียว ซึ่งหนังอีกเรื่องในปีนี้ที่อิฉันดูแล้วอึ้ง ถึงขนาดอ้าปากค้าง ทึ่งกับคนเขียนบท คือเรื่อง Ex Machina เรื่องนี้บทก็ดีงามมากๆ แต่เสียดายที่หนังเข้าฉายตั้งแต่ช่วงต้นปี โอกาศบนเวทีงานประกาศรางวัลใหญ่ๆก็น่าจะต่ำกว่าหนังที่เข้าฉายในช่วงนี้ แต่ถึงยังไงก็มีลุ้น เพราะปีที่แล้ว The Grand Budapest ยังผงาดขึ้นมาได้เลย
>>> สุดท้ายนางเอกถูกหลอก
เมื่อถึงจุดไลค์แม๊กซ์ ผลเฉลยคือ นางเอกถูกนำความเป็น FBI มาใช้ในการปฏิบัติภารกิจ เพื่อให้ CIA จัดการกับหัวหน้าของแก๊งค์ค้ายา เพื่อการแก้แค้น โดยที่ไม่มีแผนที่จะกวาดล้างให้หมดสิ้น คำถามที่ตามคือ แก๊งค์ค้ายาจะหมดไปจริงหรอ? ในเมื่อคุณฆ่าหัวหน้าตาย แต่คุณไม่มีรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ หรือสถานที่กักขังคนที่ถูกลักพาตัว แล้วหนังจบด้วยฉากที่ทำรายจิตใจ คือให้นางเอกเซ็นต์รับรองเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ความซื่อตรงซื่อสัตย์ในตัวนางเอก แสดงออกมาอย่างชัดเจน
ฉากจบ ทำไมนางเอกไม่ยิง? ฉากนี้อิฉันว่าหนังแสดงให้เห็นจุดยืนของนางเอก ทีแรกนางปฏิเสธที่จะเซ็นต์ จนกระทั่งต้องรู้สึกเหมือนว่าเอาชีวิตของตัวเองมาแลกกับลายเซ็นต์ ซึ่งนางเอกเลือกชีวิต และในฉากจบ นางไม่ยิง ก็เพราะนางเลือกชีวิตของนาง ถ้าหากนางยิงออกไป อเล็กฮานโดรตาย แล้วปัญหาน่าจะไม่จบ สุดท้ายคนที่ต้องมาลำบากน่าจะเป็นตัวนางเอก (ทั้งๆที่เอาจริงๆก็น่าจะลำบากอยู่แล้ว)
>>> การแสดง
“เอมิลี่ บลันท์” นางชนะเริ่ด นางชนะทุกสิ่งอย่าง นางเคยทำให้พวกเราประทับใจมาแล้วใน Edge of Tomorrow มาครั้งนี้ ยิ่งทำให้ประทับใจเข้าไปอีก ช่วยต้นเรื่องนางถือเป็นหมากหลักในการคุมเรื่อง สามาถดึงเรื่องทั้งหมดมาไว้ในความสงสัยที่นางแสดงผ่านสีหน้าออกมา แต่พอหลังๆของหนัง ต้องยกให้กับหนุ่ม “เบเนซิโอ เดล โตโร่” อร๊ายยยยยยยยย กรี๊ดสิบรอบค่ะ หนุ่มคนนี้เอาอยู่มากๆ ฉากยิงครอบครัว นิ่งชนะทุกอย่าง แบบว่าได้อารมณ์มากๆ ถึงแม้มุมกล้องจะลดความโหดของฉากฆ่าได้ แต่ลดความแค้นที่ฝังอยู่ในใบหน้าหนุ่มคนนี้ไม่ได้เลย
ฉากจบ อิฉันว่ามันเป็นฉากปะทะกันในด้านคุณภาพของการแสดงของทั้งสองคน ซึ่งผลก็คือประทับใจทั้งสองคน แววตา สีหน้า คือมาเต็มค่ะ ถ้ามีฉากนางเอกกลับเข้าไปในห้อง แล้วนั่งคิด โชว์การแสดงของเอมิลี่ น่าจะเริ่ดมากๆ
>>> ดนตรีประกอบระทึกจุง
แน่นอนค่ะ คนประพันธ์ก็คือ “โจฮานน์ โจฮานน์สัน” ผู้ประพันธ์มือดีที่ทำดนตรีให้กับเรื่อง The Theory of Everything ในปีที่แล้ว ที่สามารถคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาได้ แต่เสียดายที่พลาดรางวัลออสการ์ไป แต่มาปีนี้ พี่แกก็น่าจะรุ่งอีกครั้ง กับดนตรีในลักษณะเสียงกลองเป็นจังหวะ เพิ่มอรรถรสในการชมได้อย่างมาก ฉากบนถนนดนตรีนี่เสริมให้ลุ้นและระทึกได้อีก แต่ข้อเสียคือตอนฟังครั้งแรกเหมือนจะรู้สึกว่าดนตรีคล้ายๆกับเรื่อง Mad Max บ้างนิดหน่อย เพราะเน้นเสียงกลองกระหึ่มเป็นทีมหลัก
...ในตอนนี้ หนังที่มีลุ้นสาขาดนตรีประกอบมากที่สุด น่าจะเป็น Inside Out ที่ได้มือประพันธ์ “ไมเคิล เกียคชิโน่” มาทำดนตรีให้ โดยไมเคิลเคยคว้าออสการ์มาแล้วจากเรื่อง Up มาครั้งนี้พี่แกก็นำโด่งมาเลยค่ะ
>>> งานกำกับภาพ คืองานดีงาม
ยอมรับจริงๆว่า งานกำกับภาพของหนังเรื่องนี้ดีงามมากๆ มุมกล้อง แสง สี เป๊ะสุดๆ ซึ่งช่างกล้องของเรื่องนี้ คือ ”โรเจอร์ ดีกิ้นส์” ผู้ที่ซึ่งเข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 11 ครั้ง (12 รายชื่อ) แต่ก็พลาดทั้งหมด (เสียดายแทน) เรื่องที่อิฉันชอบการถ่ายภาพของลุงแก คือ No Country for Old Men, The Reader, Skyfall และ Prisoners แต่ก็เสียดายจริงๆที่พลาดทั้งหมด ปีนี้ก็ได้แต่หวังให้ลุงแกได้เข้าชิงออสการ์อีกครั้ง ส่วนจะได้รางวัลไหม อิฉันว่ายากนิดนึงค่ะ คือก็ยอมรับว่างานถ่ายภาพของลุงแกแปลกและเก๋ดี แต่ถ้าเทียบกับเจ้าของรางวัลปีล่าสุดอย่าง “เอมมานูเอล ลูเบซกี้” จากเรื่อง Birdman อิฉันว่าลุงโรเจอร์ยังห่างพอสมควรคะ แถมปีนี้ตาเอมมานูเอล ยังมีผลงานออกมาอีกในเรื่อง The Revenant ซึ่งก็ถือเป็นตัวเต็งมากๆ
>>> ท้ายสุด สุดท้าย
“ซิคาริโอ” ถือเป็นหนังแอ๊คชั่น ดราม่า ที่ลงตัวที่สุดของปีนี้ มีการวางปมของบท และคลี่คลายปมได้อย่างสมเหตุสมผล พ่วงงานภาพและงานดนตรีที่ล้ำลึก ยิ่งจะช่วยเสริมให้หนังมีบทบาทในงานประกาศรางวัลต่างๆได้
อิฉัน เลยขอยกคะแนนให้เรื่องนี้ไปสวยๆที่ 9.0/10 คะแนน มีหักนิดหน่อยตรงที่หนังพีคไม่สุด แต่เชื่อว่าด้วยคะแนนเท่านี้ก็การันตีความยอดเยียมได้แน่นอน