ความคาดหวังของคนดูที่มีต่อ Love Sick The Series Season 2 ในตอนจบนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ขออะไรมากไปกว่าการที่ “ขอให้จบแบบสมบูรณ์แบบ” ทุกคน ทุกคู่ (แม้จะรู้ว่าค่อนข้างยากที่จะจบแบบนั้นเพราะยังเหลืออะไรที่ค้างคาอีกมากมาย) แต่เมื่อพิจารณาว่านี่คือซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายยอดนิยมซึ่งเป็นเรื่องราวของ “ปุณณ์-โน่” แล้วนั้น ก็ต้องบอกว่าซีรีส์ทำหน้าที่ของมันได้ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบในการนำตัวละครปุณณ์และโน่มาโลดแล่นบนหน้าจอ
EP 35-36
ที่จริงตั้งใจจะเขียนแยก EP 35 ออกไปต่างหากตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว แต่เพราะยังหาฤกษ์งามยามดีในการเขียนไม่ได้ (ไม่ว่างนั่นแหล่ะ) ทำให้เรื่องที่อยากเขียนเกี่ยวกับ EP 35 ถูกดองข้ามมารวมกับ EP จบด้วยพอดี ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วรีวิวส่งท้าย Love Sick The Series ผมจะพยายามให้มันเป็นรีวิวที่ดีที่สุดของซีรีส์เรื่องนี้ที่ผมจะเขียนละกัน
ปุณณ์-โน่ : ตัวแทนของความรู้สึกดีๆ ที่มีในชีวิตจริง
อย่างที่ผมเคยรีวิวถึงโน่ในทุกครั้งว่าโน่เป็นคาแรกเตอร์ที่มีความสับสนในตัวเองอยู่สูงมาก ไม่ใช่สับสนว่าตัวเองจะเป็นอะไรหรือจะเลือกอะไร แต่สับสนว่าที่จริงแล้วสิ่งที่ตัวเองเลือกมันดีกับคนอื่นหรือเปล่า คนรอบข้างจะรับได้ไหม ถ้ารับไม่ได้จะทำอย่างไร เป็นตัวละครที่ชอบคิดแทนคนอื่น เป็นห่วงคนอื่นมากจนเกินไปจนสุดท้ายตัวเองก็มานั่งกลัว นั่งกังวลเอง จะเห็นได้จากฉากเด็ดเห็นปุณณ์กอดกันกับแพมที่โดยส่วนตัวผมว่าทำออกมาได้โอเคเสมอตัวกับในนิยายแต่สิ่งที่ดีกว่าในนิยายไปมากกว่านั้นคือการที่ซีรีส์เลือกที่จะจับความรู้สึกของโน่ผ่านสีหน้าและแววตาผิดหวัง ไม่มีความสุขท่ามกลางแวดล้อมของตัวละครมากมายที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแบบไม่ต้องมีไดอะล็อกมากมายมาให้พูดแต่สามารถสื่อออกมาได้ดีทีเดียวว่า “กูหึง กูผิดหวัง กูไม่ชอบ” เป็นการช่วยเน้นให้คนดูรู้สึกได้ว่า โน่นี่เป็นคนคิดมาก ขี้หึง ความรู้สึกช้าจริงๆ เหมือนอย่างที่เจ้าตัวเคยบอกไว้กับปุณณ์ตอนอยู่หน้าบ้าน และการที่ผู้กำกับเลือกที่จะไม่ให้ปุณณ์รีบมาเคลียร์ มาอธิบายกับโน่ทันทีหลังจากที่โน่กำลังเข้าใจผิด ผมก็ว่ามันเป็นจังหวะที่ดีแล้ว (แม้บางคนจะบอกว่าผิดวิสัยแฟนกันที่ต้องรีบมาอธิบายหากแฟนตัวเองกำลังเข้าใจผิด) เพราะมันทำให้คนดูได้ซึมซับความรู้สึกตื้อชาของโน่ไปพร้อมๆ กันกับลุ้นด้วยว่าเมื่อไรนะปุณณ์จะรีบเข้ามาเคลียร์ซะที
และนั่นก็ทำให้ฉากง้อในห้องสมุดซึ่งเป็นอีกฉากที่ผมชอบมาก สนุกและน่ารักไม่แพ้ฉากมุ๊งมิ๊งฉากอื่นๆ ของสองคนนี้ทีเดียว นิสัยดื้อๆ ของโน่บวกกับอารมณ์หึงไม่ฟังเหตุผล – นี่มันผู้หญิงชัดๆ และพอมันมาอยู่ในตัวน้องกัปตันที่แสดงได้ดีแบบนี้มันเลยให้ความรู้สึกน่ารักและลุ้นไปในตัวว่าปุณณ์ (ไวท์) จะงัดอะไรออกมาง้อคนตรงหน้าที่ตอนนี้เริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าที่เห็นอยู่เนี่ย กัปตันหรือโน่
ส่วนฉากไม้ตายฉากสุดท้าย “ปุณณ์ไปเปิดใจเคลียร์กับพ่อ” ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดีและดูมีมิติที่จับต้องได้มากกว่าในนิยาย แม้บางอย่างจะดูไม่สมเหตุสมผล (เช่น เคลียร์ปัญหาพ่อลูกง่ายไปมั๊ย) แต่ถ้ามองในมุมของบทสนทนาก็ต้องถือว่าตัวละครมีบทสนทนาที่ค่อนข้างฉลาดอยู่ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาแอคติ้งจะดูล้นๆ เวอร์ๆ ไปบ้างก็ตาม
สำหรับผมทั้งกัปตันและไวท์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทั้งคู่ถ่ายทอดคาแรกเตอร์โน่และปุณณ์ออกมาได้อย่างเต็มที่เต็มความสามารถ จนเป็นที่รักของคนดู แม้จะมีบ้างที่บางอย่างหายไปหรือมากเกินไป ไม่ว่าจะอะไรก็ตามในอีก 3 หรือ 4 ปีต่อจากนี้ถ้าพูดถึงปุณณ์-โน่ สิ่งแรกที่จะลอยขึ้นมาคือหน้าของไวท์-กัปตัน และผมก็เชื่อว่าผลงานใบเบิกทางชิ้นนี้จะเป็นผลงานเริ่มต้นที่ดีที่จะไม่มีวันถูกลืมไปของสองคนนี้
รักตัวละครปุณณ์โน่ & ไวท์กัปตัน
โอม-มิก : บางครั้งคำที่สำคัญที่สุดก็คือคำว่าขอโทษ
ใช้เวลาอยู่หลายตอนในการเคลียร์กับตัวเองว่าตกลงจะเอาไงกันแน่ จะชอบผู้ชายหรือผู้หญิง ดูเหมือนว่าคู่นี้จะใช้เวลาและตอนได้สิ้นเปลืองที่สุดในการขยายบทความสัมพันธ์ในบรรดาคู่หลัก-รองทั้งหมด
เพราะหากพูดถึงเอิ้นพีท แม้คู่นั้นก็มีท่าทีง๊องแง๊งไม่แพ้กันแต่ก็เป็นความง๊องแง๊งที่คลุมเครือ เดาทางไม่ถูกและไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วข้างในตัวละครสองคนนั้นคิดยังไง แตกต่างจากโอมมิกที่ต่างฝ่ายต่างก็ชัดเจนในความรู้สึก จนสามารถมองเห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้าลางๆ ในโค้ง 300 เมตรสุดท้ายแต่เจ้าตัวดันแหกโค้งทะลุไปอีกทางจากที่ว่าจะจบสวยๆ ดีๆ ดันต้องเสียเวลาไปสร้างเรื่องดราม่าที่ไม่ค่อยจำเป็นเพียงเพื่อสุดท้ายก็ได้กลับมาคู่กันเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าการจะทำตัวละครโอมผู้เป็นไบโพล่าทางความรู้สึกนี้ให้ดูมีมิติ น่าติดตาม สิ่งสำคัญอยู่ที่การให้เวลาคนดูทำความรู้จักตัวละครให้มากกว่านี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ซีรีส์ให้มาก็เป็นเวลาครับ แต่เป็นเวลาของโอมในการรับหน้าที่เป็นตัวฮาเมื่ออยู่กับเพื่อนๆ แต่ดันให้เวลาสำรวจอีกด้านมุมนึงในฐานะผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกันน้อยมาก เป็นที่น่าเสียดายเพราะถ้าเอาจริงๆ เรื่องของโอมก็สามารถเล่าประเด็นความสับสนในตัวเองได้ดีไม่แพ้โน่ แต่ในฐานะคู่รองที่ดันทำหน้าที่ฮาได้ดีกว่า บวกกับในด้านดราม่านะนู๊บก็ยังตีไม่แตก บางทีการปิดเรื่องของคู่นี้ไปแบบงงๆ เหมือนกับที่น้องมิกรู้สึกงง คงจะเป็นการดีที่สุดแล้ว
เป้อ-มาวิน-มาร์ค : รักสามเส้าใครว่าต้องเศร้า
อุตส่าผูกเรื่องและปูทางมาอย่างเงียบๆ แต่ดาเมจกระจายมาตลอดสำหรับสามคนนี้ แต่สุดท้ายดันมาตกม้าตายหลุดโค้งไปอีกกลุ่ม
จริงๆ แล้วฉากจบที่ดีที่สุดของสามคนนี้ควรจะเป็นตั้งแต่ที่เป้อพยายามจะจูบวินแต่ทำไม่ได้ ส่วนมาร์คก็กลายเป็นผู้แพ้ที่ไม่ถูกเลือกไปแล้ว แต่ในเมื่อผู้สร้างได้นำเรื่องราวของทั้งสามกลับมาใหม่ เมื่อวันเสาร์ก่อน กอปรกับท่าทีที่แปลกไปของเป้อ + การเริ่มทำคะแนนของมาร์ค ดูเหมือนว่าศึกรักของทั้งสามคนจะยังไม่จบง่ายๆ และก็น่าเป็นห่วงว่าจะคลี่คลายได้อย่างไรใน 1 ตอนที่เหลือใน EP 36 นี้
น่าเสียดายที่สุดท้ายนอกจากในตอนจบของ Love Sick เรื่องราวของทั้งสามคนดูจะยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรที่ชัดเจนแล้ว ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือการพลิกโทนของตัวละครกลุ่มนี้จากสีเทาดราม่ามาเป็น Comedy แข่งกันแย่งกันจีบ มันจึงเป็นการเปลี่ยนโทนที่กระโดดแต่ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งมันจะไม่แปลกถ้าตัวละครทั้งสามไม่เคยดราม่าใส่กันมาก่อน ถ้าเป้อไม่บอกมาร์วินว่าคิดได้แค่เพื่อน ถ้าเป้อไม่เคยจะต่อยกับมาร์ค แต่เพราะที่ผ่านมามันเกิดขึ้นไปแล้ว และมาตอนจบดูเหมือนทั้งสามจะลืมๆ ไปแล้วว่าตอนก่อนหน้าได้ทำ ได้พูดอะไรไป แถมยังมาตัดสินกันด้วยการเป่ายิ้งฉุบอีกแน่ะ ….. อาเมน
เอิ้น-พีท : ในตอนจบมีคำว่าเริ่มต้นอยู่
ดีออกกกกกกกก กับผู้กำกับจนกระทั่งตอนสุดท้ายของซีรีส์ คู่เพื่อนซี้ที่ไม่เคยให้คนดูได้หลักฐานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยในความสัมพันธ์อันคลุมเครือของทั้งสอง
เอาเข้าจริงๆ ต้องบอกว่าผู้ที่เป็นฝ่ายเริ่มชงอาการให้รู้สึกว่า “เอ๊ะ! น่าสงสัย” เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพีทเพนกวิ้นนี่แหล่ะเริ่มก่อน ส่วนเอิ้นถ้าพิจารณาดีๆ แล้วจะพบว่าทุกอย่างที่เจ้าตัวแสดงออกมามันคือความรู้สึกของเพื่อน 100% ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ไปปลูกป่า หรือกระทั่งฉากง้อลูกคู่อย่าพยายามอีกเลย ในความรู้สึกผม ผมยังคิดว่าเอิ้นยังไม่ได้ชอบพีทแบบแฟน ส่วนนึงคงเพราะมีคำว่าโน่ที่เป็นรักแรกมาค้ำคอไว้ แต่ก็ยังสามารถไปเริ่มพัฒนากับพีทได้ถ้าได้รับการกระตุ้นที่มากพอ ต่างจากพีทซึ่งมีพิรุธมาตั้งแต่ uncut ของซีซั่นแรกแล้วและก็โปรยท่าทีน่าสงสัยทางสายตามาตลอด จนมาแหกเอาตอนใกล้จะจบว่า “พีทจะไปจีบยูริ” นี่แหล่ะ คนถึงจะรุมด่ากันทั้งประเทศ
การเพิ่มฉากง้อกันหน้าสแตนด์ขึ้นมา แน่นอนว่ามันอาจทำมาเพื่อให้ไปจูนกับการที่เอิ้นเผลอไปพูดทำร้ายความรู้สึกพีทตั้งแต่ที่ค่าย เลยต้องลากมาเคลียร์กันถึงตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามยิ่งง้อเหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่ มันไม่ได้ทำให้เรื่องจบน่ะสิ มันกลายเป็นสร้างความน่าสงสัยไปเรื่อยๆ ยิ่งกว่าเดิม จากที่พยายามจะให้จบที่คำว่าเพื่อนง้อเพื่อน ผู้กำกับก็แบบ “อีกนิดละกัน หยอดฉากนี้ไปหน่อยให้คนดูมันไปตีความเอง” เจริญพร
และการให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองไว้ว่า “เพื่อนที่รักเชี่ยๆ” นั้นเอาจริงๆ คนดูก็รับได้นะ (เรียกว่ารู้อยู่แล้วล่ะว่าผู้กำกับต้องมาแนวนี้) แต่! ผู้กำกับดันยังไม่จบ ดันเอานุ้งพีทมานั่งเด็ดกลีบดอกกุหลาบถามหา อย ในตอนสุดท้าย นี่ถ้าจะมาแนวนี้ผมก็ขอสรุปเลยละกัน
ถ้าตีความว่า อ = เอิ้น และ ย = ยูริจริงๆ แล้วล่ะก็ ….. ไม่ต้องคิดนานเลยครับ พีทน่ะไบแล้ว ผู้ชายแท้ที่ไหนไม่มาหวั่นไหวว่าตัวเองชอบผู้ชายหรือผู้หญิงหรอกครับ การที่คุณเริ่มสงสัยว่าคุณชอบผู้ชายหรือเปล่านั่นเท่ากับว่าขาคุณก้าวไปในคำว่าไบเซคชวลแล้วข้างนึง และยิ่งมานั่งเด็ดกลีบกุหลาบแบบนี้แปลว่ายังลังเล ยังสงสัย ดีใจด้วย ตอนจบของซีรีส์พีทก็ไม่แมนแล้วครับ
มีข้อสังเกตนึงที่ผมไปอ่านมาและรู้สึกว่า “อาจจะ” เป็นไปได้คือ พีทและยูริสั่งมอคค่าสองแก้วนั่งในร้านกาแฟ ทั้งคู่สั่งทำไม ให้ใคร --- ยูริสั่งให้โมที่มาด้วยกัน แล้วก็คุยกัน แซวกันจนกระทั่งไปเฟสไทม์กับเอม ส่วนพีท สั่งสองแก้ว ปัญหาคือ สั่งให้ใคร? กินเองเหรอลูก ข้ามมาตอนเด็ดกลีบกุหลาบกับทำท่าเหมือนจะโทรไปหาเอิ้น ในความคิดผมแก้วกาแฟอีกแก้วซื้อเผื่อให้เอิ้นหรือเปล่า ส่วนตอนที่ทำท่ายกโทรศัพท์คุยมันอาจจะเป็นแบบเดียวกับตอนที่เอิ้นซ้อมบอกรักกับโน่ก็ได้ พีทอาจจะนัดเอิ้นไว้ (มั้ง)
อย่างไรก็ตาม ผมก็แค่มโนน่ะ
<มีต่อด้านล่างครับ>
[CR] [Review] Love Sick Season 2 The Final Chapters : Love Will Always Be With Us Forever
ความคาดหวังของคนดูที่มีต่อ Love Sick The Series Season 2 ในตอนจบนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ขออะไรมากไปกว่าการที่ “ขอให้จบแบบสมบูรณ์แบบ” ทุกคน ทุกคู่ (แม้จะรู้ว่าค่อนข้างยากที่จะจบแบบนั้นเพราะยังเหลืออะไรที่ค้างคาอีกมากมาย) แต่เมื่อพิจารณาว่านี่คือซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายยอดนิยมซึ่งเป็นเรื่องราวของ “ปุณณ์-โน่” แล้วนั้น ก็ต้องบอกว่าซีรีส์ทำหน้าที่ของมันได้ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบในการนำตัวละครปุณณ์และโน่มาโลดแล่นบนหน้าจอ
EP 35-36
ที่จริงตั้งใจจะเขียนแยก EP 35 ออกไปต่างหากตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว แต่เพราะยังหาฤกษ์งามยามดีในการเขียนไม่ได้ (ไม่ว่างนั่นแหล่ะ) ทำให้เรื่องที่อยากเขียนเกี่ยวกับ EP 35 ถูกดองข้ามมารวมกับ EP จบด้วยพอดี ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วรีวิวส่งท้าย Love Sick The Series ผมจะพยายามให้มันเป็นรีวิวที่ดีที่สุดของซีรีส์เรื่องนี้ที่ผมจะเขียนละกัน
ปุณณ์-โน่ : ตัวแทนของความรู้สึกดีๆ ที่มีในชีวิตจริง
อย่างที่ผมเคยรีวิวถึงโน่ในทุกครั้งว่าโน่เป็นคาแรกเตอร์ที่มีความสับสนในตัวเองอยู่สูงมาก ไม่ใช่สับสนว่าตัวเองจะเป็นอะไรหรือจะเลือกอะไร แต่สับสนว่าที่จริงแล้วสิ่งที่ตัวเองเลือกมันดีกับคนอื่นหรือเปล่า คนรอบข้างจะรับได้ไหม ถ้ารับไม่ได้จะทำอย่างไร เป็นตัวละครที่ชอบคิดแทนคนอื่น เป็นห่วงคนอื่นมากจนเกินไปจนสุดท้ายตัวเองก็มานั่งกลัว นั่งกังวลเอง จะเห็นได้จากฉากเด็ดเห็นปุณณ์กอดกันกับแพมที่โดยส่วนตัวผมว่าทำออกมาได้โอเคเสมอตัวกับในนิยายแต่สิ่งที่ดีกว่าในนิยายไปมากกว่านั้นคือการที่ซีรีส์เลือกที่จะจับความรู้สึกของโน่ผ่านสีหน้าและแววตาผิดหวัง ไม่มีความสุขท่ามกลางแวดล้อมของตัวละครมากมายที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแบบไม่ต้องมีไดอะล็อกมากมายมาให้พูดแต่สามารถสื่อออกมาได้ดีทีเดียวว่า “กูหึง กูผิดหวัง กูไม่ชอบ” เป็นการช่วยเน้นให้คนดูรู้สึกได้ว่า โน่นี่เป็นคนคิดมาก ขี้หึง ความรู้สึกช้าจริงๆ เหมือนอย่างที่เจ้าตัวเคยบอกไว้กับปุณณ์ตอนอยู่หน้าบ้าน และการที่ผู้กำกับเลือกที่จะไม่ให้ปุณณ์รีบมาเคลียร์ มาอธิบายกับโน่ทันทีหลังจากที่โน่กำลังเข้าใจผิด ผมก็ว่ามันเป็นจังหวะที่ดีแล้ว (แม้บางคนจะบอกว่าผิดวิสัยแฟนกันที่ต้องรีบมาอธิบายหากแฟนตัวเองกำลังเข้าใจผิด) เพราะมันทำให้คนดูได้ซึมซับความรู้สึกตื้อชาของโน่ไปพร้อมๆ กันกับลุ้นด้วยว่าเมื่อไรนะปุณณ์จะรีบเข้ามาเคลียร์ซะที
และนั่นก็ทำให้ฉากง้อในห้องสมุดซึ่งเป็นอีกฉากที่ผมชอบมาก สนุกและน่ารักไม่แพ้ฉากมุ๊งมิ๊งฉากอื่นๆ ของสองคนนี้ทีเดียว นิสัยดื้อๆ ของโน่บวกกับอารมณ์หึงไม่ฟังเหตุผล – นี่มันผู้หญิงชัดๆ และพอมันมาอยู่ในตัวน้องกัปตันที่แสดงได้ดีแบบนี้มันเลยให้ความรู้สึกน่ารักและลุ้นไปในตัวว่าปุณณ์ (ไวท์) จะงัดอะไรออกมาง้อคนตรงหน้าที่ตอนนี้เริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าที่เห็นอยู่เนี่ย กัปตันหรือโน่
ส่วนฉากไม้ตายฉากสุดท้าย “ปุณณ์ไปเปิดใจเคลียร์กับพ่อ” ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดีและดูมีมิติที่จับต้องได้มากกว่าในนิยาย แม้บางอย่างจะดูไม่สมเหตุสมผล (เช่น เคลียร์ปัญหาพ่อลูกง่ายไปมั๊ย) แต่ถ้ามองในมุมของบทสนทนาก็ต้องถือว่าตัวละครมีบทสนทนาที่ค่อนข้างฉลาดอยู่ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาแอคติ้งจะดูล้นๆ เวอร์ๆ ไปบ้างก็ตาม
สำหรับผมทั้งกัปตันและไวท์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทั้งคู่ถ่ายทอดคาแรกเตอร์โน่และปุณณ์ออกมาได้อย่างเต็มที่เต็มความสามารถ จนเป็นที่รักของคนดู แม้จะมีบ้างที่บางอย่างหายไปหรือมากเกินไป ไม่ว่าจะอะไรก็ตามในอีก 3 หรือ 4 ปีต่อจากนี้ถ้าพูดถึงปุณณ์-โน่ สิ่งแรกที่จะลอยขึ้นมาคือหน้าของไวท์-กัปตัน และผมก็เชื่อว่าผลงานใบเบิกทางชิ้นนี้จะเป็นผลงานเริ่มต้นที่ดีที่จะไม่มีวันถูกลืมไปของสองคนนี้
รักตัวละครปุณณ์โน่ & ไวท์กัปตัน
โอม-มิก : บางครั้งคำที่สำคัญที่สุดก็คือคำว่าขอโทษ
ใช้เวลาอยู่หลายตอนในการเคลียร์กับตัวเองว่าตกลงจะเอาไงกันแน่ จะชอบผู้ชายหรือผู้หญิง ดูเหมือนว่าคู่นี้จะใช้เวลาและตอนได้สิ้นเปลืองที่สุดในการขยายบทความสัมพันธ์ในบรรดาคู่หลัก-รองทั้งหมด
เพราะหากพูดถึงเอิ้นพีท แม้คู่นั้นก็มีท่าทีง๊องแง๊งไม่แพ้กันแต่ก็เป็นความง๊องแง๊งที่คลุมเครือ เดาทางไม่ถูกและไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วข้างในตัวละครสองคนนั้นคิดยังไง แตกต่างจากโอมมิกที่ต่างฝ่ายต่างก็ชัดเจนในความรู้สึก จนสามารถมองเห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้าลางๆ ในโค้ง 300 เมตรสุดท้ายแต่เจ้าตัวดันแหกโค้งทะลุไปอีกทางจากที่ว่าจะจบสวยๆ ดีๆ ดันต้องเสียเวลาไปสร้างเรื่องดราม่าที่ไม่ค่อยจำเป็นเพียงเพื่อสุดท้ายก็ได้กลับมาคู่กันเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าการจะทำตัวละครโอมผู้เป็นไบโพล่าทางความรู้สึกนี้ให้ดูมีมิติ น่าติดตาม สิ่งสำคัญอยู่ที่การให้เวลาคนดูทำความรู้จักตัวละครให้มากกว่านี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ซีรีส์ให้มาก็เป็นเวลาครับ แต่เป็นเวลาของโอมในการรับหน้าที่เป็นตัวฮาเมื่ออยู่กับเพื่อนๆ แต่ดันให้เวลาสำรวจอีกด้านมุมนึงในฐานะผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกันน้อยมาก เป็นที่น่าเสียดายเพราะถ้าเอาจริงๆ เรื่องของโอมก็สามารถเล่าประเด็นความสับสนในตัวเองได้ดีไม่แพ้โน่ แต่ในฐานะคู่รองที่ดันทำหน้าที่ฮาได้ดีกว่า บวกกับในด้านดราม่านะนู๊บก็ยังตีไม่แตก บางทีการปิดเรื่องของคู่นี้ไปแบบงงๆ เหมือนกับที่น้องมิกรู้สึกงง คงจะเป็นการดีที่สุดแล้ว
เป้อ-มาวิน-มาร์ค : รักสามเส้าใครว่าต้องเศร้า
อุตส่าผูกเรื่องและปูทางมาอย่างเงียบๆ แต่ดาเมจกระจายมาตลอดสำหรับสามคนนี้ แต่สุดท้ายดันมาตกม้าตายหลุดโค้งไปอีกกลุ่ม
จริงๆ แล้วฉากจบที่ดีที่สุดของสามคนนี้ควรจะเป็นตั้งแต่ที่เป้อพยายามจะจูบวินแต่ทำไม่ได้ ส่วนมาร์คก็กลายเป็นผู้แพ้ที่ไม่ถูกเลือกไปแล้ว แต่ในเมื่อผู้สร้างได้นำเรื่องราวของทั้งสามกลับมาใหม่ เมื่อวันเสาร์ก่อน กอปรกับท่าทีที่แปลกไปของเป้อ + การเริ่มทำคะแนนของมาร์ค ดูเหมือนว่าศึกรักของทั้งสามคนจะยังไม่จบง่ายๆ และก็น่าเป็นห่วงว่าจะคลี่คลายได้อย่างไรใน 1 ตอนที่เหลือใน EP 36 นี้
น่าเสียดายที่สุดท้ายนอกจากในตอนจบของ Love Sick เรื่องราวของทั้งสามคนดูจะยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรที่ชัดเจนแล้ว ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือการพลิกโทนของตัวละครกลุ่มนี้จากสีเทาดราม่ามาเป็น Comedy แข่งกันแย่งกันจีบ มันจึงเป็นการเปลี่ยนโทนที่กระโดดแต่ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งมันจะไม่แปลกถ้าตัวละครทั้งสามไม่เคยดราม่าใส่กันมาก่อน ถ้าเป้อไม่บอกมาร์วินว่าคิดได้แค่เพื่อน ถ้าเป้อไม่เคยจะต่อยกับมาร์ค แต่เพราะที่ผ่านมามันเกิดขึ้นไปแล้ว และมาตอนจบดูเหมือนทั้งสามจะลืมๆ ไปแล้วว่าตอนก่อนหน้าได้ทำ ได้พูดอะไรไป แถมยังมาตัดสินกันด้วยการเป่ายิ้งฉุบอีกแน่ะ ….. อาเมน
เอิ้น-พีท : ในตอนจบมีคำว่าเริ่มต้นอยู่
ดีออกกกกกกกก กับผู้กำกับจนกระทั่งตอนสุดท้ายของซีรีส์ คู่เพื่อนซี้ที่ไม่เคยให้คนดูได้หลักฐานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยในความสัมพันธ์อันคลุมเครือของทั้งสอง
เอาเข้าจริงๆ ต้องบอกว่าผู้ที่เป็นฝ่ายเริ่มชงอาการให้รู้สึกว่า “เอ๊ะ! น่าสงสัย” เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพีทเพนกวิ้นนี่แหล่ะเริ่มก่อน ส่วนเอิ้นถ้าพิจารณาดีๆ แล้วจะพบว่าทุกอย่างที่เจ้าตัวแสดงออกมามันคือความรู้สึกของเพื่อน 100% ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ไปปลูกป่า หรือกระทั่งฉากง้อลูกคู่อย่าพยายามอีกเลย ในความรู้สึกผม ผมยังคิดว่าเอิ้นยังไม่ได้ชอบพีทแบบแฟน ส่วนนึงคงเพราะมีคำว่าโน่ที่เป็นรักแรกมาค้ำคอไว้ แต่ก็ยังสามารถไปเริ่มพัฒนากับพีทได้ถ้าได้รับการกระตุ้นที่มากพอ ต่างจากพีทซึ่งมีพิรุธมาตั้งแต่ uncut ของซีซั่นแรกแล้วและก็โปรยท่าทีน่าสงสัยทางสายตามาตลอด จนมาแหกเอาตอนใกล้จะจบว่า “พีทจะไปจีบยูริ” นี่แหล่ะ คนถึงจะรุมด่ากันทั้งประเทศ
การเพิ่มฉากง้อกันหน้าสแตนด์ขึ้นมา แน่นอนว่ามันอาจทำมาเพื่อให้ไปจูนกับการที่เอิ้นเผลอไปพูดทำร้ายความรู้สึกพีทตั้งแต่ที่ค่าย เลยต้องลากมาเคลียร์กันถึงตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามยิ่งง้อเหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่ มันไม่ได้ทำให้เรื่องจบน่ะสิ มันกลายเป็นสร้างความน่าสงสัยไปเรื่อยๆ ยิ่งกว่าเดิม จากที่พยายามจะให้จบที่คำว่าเพื่อนง้อเพื่อน ผู้กำกับก็แบบ “อีกนิดละกัน หยอดฉากนี้ไปหน่อยให้คนดูมันไปตีความเอง” เจริญพร
และการให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองไว้ว่า “เพื่อนที่รักเชี่ยๆ” นั้นเอาจริงๆ คนดูก็รับได้นะ (เรียกว่ารู้อยู่แล้วล่ะว่าผู้กำกับต้องมาแนวนี้) แต่! ผู้กำกับดันยังไม่จบ ดันเอานุ้งพีทมานั่งเด็ดกลีบดอกกุหลาบถามหา อย ในตอนสุดท้าย นี่ถ้าจะมาแนวนี้ผมก็ขอสรุปเลยละกัน
ถ้าตีความว่า อ = เอิ้น และ ย = ยูริจริงๆ แล้วล่ะก็ ….. ไม่ต้องคิดนานเลยครับ พีทน่ะไบแล้ว ผู้ชายแท้ที่ไหนไม่มาหวั่นไหวว่าตัวเองชอบผู้ชายหรือผู้หญิงหรอกครับ การที่คุณเริ่มสงสัยว่าคุณชอบผู้ชายหรือเปล่านั่นเท่ากับว่าขาคุณก้าวไปในคำว่าไบเซคชวลแล้วข้างนึง และยิ่งมานั่งเด็ดกลีบกุหลาบแบบนี้แปลว่ายังลังเล ยังสงสัย ดีใจด้วย ตอนจบของซีรีส์พีทก็ไม่แมนแล้วครับ
มีข้อสังเกตนึงที่ผมไปอ่านมาและรู้สึกว่า “อาจจะ” เป็นไปได้คือ พีทและยูริสั่งมอคค่าสองแก้วนั่งในร้านกาแฟ ทั้งคู่สั่งทำไม ให้ใคร --- ยูริสั่งให้โมที่มาด้วยกัน แล้วก็คุยกัน แซวกันจนกระทั่งไปเฟสไทม์กับเอม ส่วนพีท สั่งสองแก้ว ปัญหาคือ สั่งให้ใคร? กินเองเหรอลูก ข้ามมาตอนเด็ดกลีบกุหลาบกับทำท่าเหมือนจะโทรไปหาเอิ้น ในความคิดผมแก้วกาแฟอีกแก้วซื้อเผื่อให้เอิ้นหรือเปล่า ส่วนตอนที่ทำท่ายกโทรศัพท์คุยมันอาจจะเป็นแบบเดียวกับตอนที่เอิ้นซ้อมบอกรักกับโน่ก็ได้ พีทอาจจะนัดเอิ้นไว้ (มั้ง)
อย่างไรก็ตาม ผมก็แค่มโนน่ะ
<มีต่อด้านล่างครับ>