ดิฉันได้อ่านหลายๆ กระทู้เกี่ยวกับหญิงไทยในต่างแดน ทั้งที่ไปทำงานและมีครอบครัว จึงอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ที่พบมากับตัวเองเพื่อเป็นข้อคิดพิจารณาให้หลายๆ ท่านที่กำลังคิดจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศค่ะ
ดิฉันเชื่อว่าการที่ผู้หญิงไทยคิดที่จะไปอยู่ต่างประเทศหรือมีแฟนเป็นชาวต่างประเทศนั้น ตัวเองจะต้องมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งในสองเรื่องนี้ คือเรื่องแฟน (ผิดหวังจากความรัก) หรือไม่ก็เรื่องเงิน (ต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่า) สำหรับดิฉันแล้ว เป็นกรณีหลังมากกว่าค่ะ คือบอกตรงๆ ว่าดิฉันต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวพ่อแม่พี่น้องให้ดีขึ้น และคิดว่าถ้ายังอยู่เมืองไทยโอกาสในเมืองไทยกับชีวิตลูกจ้างมันไม่ตอบโจทย์ คือรายได้ไม่มากพอ และวิธีที่จะไปหาโอกาสในต่างประเทศได้ก็คือการมีแฟนฝรั่ง ซึ่งดิฉันพบในภายหลังว่า ผู้หญิงไทยจำนวนมากเลยที่คิดอย่างดิฉัน ส่วนเรื่องความรักนั้น ก็มีความรู้สึกว่าผู้ชายไทยเจ้าชู้ ไม่เหมือนฝรั่งที่รักเดียวใจเดียว ซึ่งดิฉันขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ทั้งสองเรื่องนี้ ไม่เป็นไปตามที่ดิฉันคิดฝันไว้สักเรื่องเดียว เช่นเดียวกับหลายๆ ท่านที่มาโพสท์เรื่องราวของตนเองไว้
ความอยากได้อยากมีและอยากให้ครอบครัวได้มีหน้ามีตาเกินกว่าเพื่อนบ้านในต่างจังหวัด ทำให้ดิฉันตัดสินใจที่จะหาแฟนฝรั่ง ซึ่งในที่สุดก็ได้เจอฝรั่งคนหนึ่งจากการแนะนำของเพื่อน ทำให้ดิฉันไม่ลังเลที่จะคบกับเขาและทิ้งผู้ชายไทยทุกคนที่คบอยู่ คิดว่านี่แหละใช่เลย ในช่วงต้นๆ ก็เป็นเหมือนที่ดิฉันคิดไว้ คือแค่บอกเพื่อนๆ และเพื่อนบ้านว่ามีแฟนฝรั่ง ก็เหมือนกับว่าจะได้รับการชื่นชม ดิฉันวางแผนถึงการที่จะพาครอบครัวทั้งหมดไปอยู่ต่างประเทศเลย แค่นี้หน้าตาในกลุ่มเพื่อนและเพื่อนบ้านก็มาแล้ว
แฟนดิฉันเป็นคนแถบสแกนดิเนเวีย ที่เป็น “แหล่ง” ผู้ชายหลักแหล่งหนึ่งของหญิงไทย อีกแหล่งหนึ่งก็คือเยอรมัน เขาทำงานไปๆ มาๆ เมืองไทยอยู่สองสามปี แต่แต่ละครั้งที่มาเมืองไทยก็สั้นมาก ช่วงที่ยังไม่แต่งงานและย้ายไปอยู่ต่างประเทศนั้น ก็มีหลายเรื่องที่เริ่มทำให้ดิฉันลังเล แต่ด้วยความดึงดันและการที่กลัวเสียหน้าเพราะพูดไว้เยอะ ทำให้ดิฉันตัดสินใจแต่งงานและย้ายไปอยู่กับแฟน ทั้งๆ ที่ดิฉันยอมรับว่าไม่ได้รักเขาเลย
ตลอดห้าปีที่อยู่ต่างประเทศ สิ่งที่ดิฉันพบก็คือ
1. ความหวังที่จะมีรายได้เยอะจากการทำงานในต่างประเทศและเก็บเงินหรือส่งเงินกลับมายกระดับชีวิตให้พ่อแม่นั้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยเป็นไปได้เลย เพราะดิฉันไม่สามารถหางานที่ทำเป็นหลักแหล่งได้เลย ด้วยการที่ไม่ใช่คนของประเทศเขาและปัญหาด้านภาษาแม้ว่าจะจดทะเบียนกับสามีตามกฎหมายแล้วก็ตาม งานที่ดิฉันทำได้ก็เพียงเป็นลูกจ้างร้านขายของ ร้านอาหาร การที่ชาวต่างประเทศจะทำงานประจำได้นั้นเป็นเรื่องยากมากๆ และแม้ว่าจะได้งานก็ตาม รายได้ที่เทียบกับเงินไทยเดือนละเป็นแสนนั้น หมดไปกับค่าครองชีพที่สูงลิ่ว ไม่มีเหลือเก็บเลย และก็เป็นเพราะว่าเมื่อแก่ตัวหรือเกษียณแล้วฝรั่งเขาจะมีสวัสดิการจากรัฐบาลเยอะ ทำให้เขาไม่ค่อยจำเป็นต้องเก็บเงินเท่าไร ยิ่งแฟนเงินเดือนไม่เยอะด้วย กลายเป็นว่ารายได้ที่ไม่มากนักของดิฉัน ก็จะหมดไปกับการดำเนินชีวิตประจำวันร่วมกับแฟน เรื่องเอาครอบครัวมาอยู่ด้วยก็เลิกฝันไปได้เลย แค่จะมาเที่ยวหาก็มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว
2. สวัสดิการรัฐหลายอย่าง ไม่ตกถึงภรรยาที่เป็นชาวต่างประเทศ ยิ่งช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ได้สิทธิ์บ้างนั้น เวลาไม่สบายก็ไม่สามารถไปหาหมอได้เลย เพราะแพงมาก ยกเว้นจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ดิฉันต้องขอให้เพื่อนส่งยาจากเมืองไทยไปให้ตลอด ดิฉันจะมีอาการปวดหลังและปวดหัวไมเกรนเป็นประจำ ยิ่งช่วงอากาศหนาวมากๆ แล้ว มันทรมานมาก
3. การยอมรับจากสังคมมีน้อย พวกเขาจะมองผู้หญิงไทยในทางที่ไม่ดีมากๆ คือคิดว่าเป็นพวกหาเงิน เกาะผู้ชายกิน นานๆ เข้าแฟนก็ไม่ค่อยอยากพาไปไหนๆ ที่เป็นสังคมของเขาหรือแม้แต่ครอบครัวของเขา เพราะพลอยทำให้เขาอึดอัดไปด้วย ยิ่งถ้ามีลูกด้วยกันแล้วจะเป็นปัญหากับเด็กมาก ทำให้ดิฉันไม่ยอมมีลูกกับเขา
4. ผู้ชายไม่ว่าจะประเทศไหนๆ ก็เจ้าชู้เหมือนกันหมด สิ่งที่ดิฉันคิดว่าเขารักดิฉันคนเดียวและตลอดเวลาช่วงที่คบกับดิฉันก่อนที่จะย้ายมานั้น เขาพูดเหมือนกับว่าเขาไม่เคยมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นเลย ความไร้เดียงสาทำให้ดิฉันเชื่อเขา ทั้งๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้เลยว่าผู้ชายหนุ่มแน่น จะไม่มีอะไรกับผู้หญิงเลยเป็นเวลาหลายปี และด้วยธรรมเนียมฝรั่ง แม้ว่าจะเลิกกันไปแล้ว เขาก็ยังคบกันเหมือนเพื่อนได้ เวลาเจอกันก็กอดจูบหรือยังพบปะทำกิจกรรมร่วมกันได้ ส่วนจะมีอะไรกันอีกหรือเปล่าดิฉันไม่ทราบได้ การจดทะเบียนไม่ได้ประกันว่าเขาจะไม่มีคนอื่น แต่เนื่องจากกฎหมายของเขาเข้มงวดเรื่องค่าเลี้ยงดู ทำให้ผู้ชายไม่หย่า แต่แอบไปมีคนอื่นเสมอ ซึ่งถ้าจะหย่าเอาค่าเลี้ยงดู ผู้หญิงก็ต้องฟ้องเอา และคิดดูว่าเราจะมีปัญญาอะไรไปฟ้องเขา
5. ดิฉันไม่มีเพื่อนเลย และยิ่งเมื่อพบว่าแฟนดิฉันก็มีปัญหากับการเข้าสังคมด้วยแล้ว เราก็เหมือนอยู่กันสองคนในโลก ในห้องแคบๆ และก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขายังโสดก่อนที่จะมาคบดิฉัน มันไม่มีแสงสว่างอะไรเลยว่าชีวิตจะดีขึ้น จะอยู่สุขสบายมากขึ้น ได้แต่ยิ้มแย้มถ่ายรูปส่งมาอวดที่เมืองไทยเหมือนว่าชีวิตสุขสบายมาก ทั้งๆ ที่มันย่ำแย่ทรมานกว่าอยู่เมืองไทยเสียอีก ดิฉันเจอเพื่อนคนไทยบ้าง แต่ก็เหมือนต่างคนต่างอยู่ ต่างมีปัญหาของตนเอง และสุดท้ายก็เก็บเงินกลับเมืองไทยกันทุกคน บางคนหอบลูกมาด้วย
6. สังคมความสัมพันธ์หญิงชายของเขาแปลกๆ ที่ดิฉันรับไม่ได้ก็คือช่วงหลังๆ เรารู้สึกเหมือนเบื่อๆ กัน เขาบอกว่ามีเพื่อนเขาเหมือนจะชอบดิฉัน ซึ่งเขาไม่ขัดข้องถ้าดิฉันจะลองคบเพื่อนเขาดู ดิฉันมาพบที่หลังว่านี่เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เขาสามารถเลิกกับดิฉันได้โดยไม่ต้องเสียค่าเลี้ยงดู ดิฉันรู้สึกว่าถูกดูถูกอย่างมาก เหมือนกับตัวเองเป็นสิ่งของ และเมื่อเจอเพื่อนของเขา เพื่อนเขาก็เหมือนจะมาถูกเนื้อต้องตัวดิฉันมากขึ้น ผู้หญิงไทยหลายคนอยู่ในชะตากรรมนี้ ถ้าหากไม่มีปัญญากลับเมืองไทย ก็เหมือนกับต้องเปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อยๆ โดยที่ผู้ชายคนเก่ารู้เห็นเป็นใจ เช่นเปิดโอกาสให้อยู่กันสองต่อสองบ้าง ทำเป็นไม่เห็นเวลาผู้หญิงถูกล่วงเกินบ้าง
7. (18+) เรื่องเซ็กส์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นความทุกข์ทรมานของดิฉัน ความแตกต่างกันของสรีระทำให้ดิฉันเจ็บปวดและไม่เคยมีความสุขเลย เขาก็ไม่เคยที่จะใส่ใจความรู้สึกของดิฉันเลย และด้วยความที่ดิฉันมีปัญหาสุขภาพโน่นนี่ตลอดเวลา หลายๆ ครั้งดิฉันต้องปลดเปลื้องให้เขาด้วยวิธีอื่นๆ ส่วนดิฉันเองเนื่องจากมีปัญหาอื่นๆ มากมาย ก็ไม่ค่อยมีอารมณ์ความรู้สึก ก็ยิ่งทำให้แย่เข้าไปใหญ่
ดิฉันทนอยู่ได้ห้าปีก็กลับมาเมืองไทย มาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ และเริ่มมีร้านออนไลน์ เรื่องของดิฉันก็จะรู้กันอยู่แต่ในกลุ่มเพื่อนสนิทและครอบครัว ในขณะที่ก็พยายาม “รักษาหน้า” กับเพื่อนบ้านและคนที่ไม่สนิท ดิฉันกลัวถูกเรียกว่าถูกผัวฝรั่งทิ้งมา และพยายามจะเก็บรักษาประสบการณ์ชีวิตช่วงนี้ไว้เป็นอดีต ถ้าดิฉันจะเริ่มชีวิตใหม่กับใครอีกสักคน เขาจะต้องรู้เรื่องนี้น้อยที่สุด มันเป็นความผิดพลาดที่น่าเจ็บปวดและยากที่จะลืมไปตลอดชีวิต
ดิฉันรู้ว่าหลังจากนี้ก็จะยังมีคนที่คิดเหมือนที่ดิฉันเคยคิดตามมาเสมอ นั่นก็คือการอยากได้อยากมี อยากยกระดับชีวิต อยากมีหน้ามีตา หวังว่ามีแฟนฝรั่งแล้วจะสบาย เก๋ไก๋ และคิดใช้ “ทางลัด” อย่างดิฉัน ถ้าคุณอยากเสี่ยง (ซึ่งก็น่าจะมีคนเสี่ยงสำเร็จ) ก็ลองดูค่ะ แต่ดิฉันไม่แนะนำ เท่าที่ดิฉันพบปะพูดคุยมา ไม่มีใครสำเร็จเลย คนที่ยังใช้ชีวิตอยู่ได้ก็คือเอาตัวรอดได้ แต่ก็ต้องดิ้นรนทำงาน ไม่ต่างจากอยู่เมืองไทย ลำบากกว่าเสียด้วยซ้ำ หรือไม่ก็โชคดีที่เจอแฟนมีเงิน และทำให้เราสามารถเก็บเงินได้เองบ้าง ถ้าเจอแฟนที่ต้องปากกัดตีนถีบเหมือนกันก็อย่าเลยค่ะ มาปากกัดตีนถีบอยู่เมืองไทยดีกว่า อย่างน้อยก็มีเพื่อนและพูดภาษาเดียวกัน
ชีวิตหญิงไทยในต่างแดน
ดิฉันเชื่อว่าการที่ผู้หญิงไทยคิดที่จะไปอยู่ต่างประเทศหรือมีแฟนเป็นชาวต่างประเทศนั้น ตัวเองจะต้องมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งในสองเรื่องนี้ คือเรื่องแฟน (ผิดหวังจากความรัก) หรือไม่ก็เรื่องเงิน (ต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่า) สำหรับดิฉันแล้ว เป็นกรณีหลังมากกว่าค่ะ คือบอกตรงๆ ว่าดิฉันต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวพ่อแม่พี่น้องให้ดีขึ้น และคิดว่าถ้ายังอยู่เมืองไทยโอกาสในเมืองไทยกับชีวิตลูกจ้างมันไม่ตอบโจทย์ คือรายได้ไม่มากพอ และวิธีที่จะไปหาโอกาสในต่างประเทศได้ก็คือการมีแฟนฝรั่ง ซึ่งดิฉันพบในภายหลังว่า ผู้หญิงไทยจำนวนมากเลยที่คิดอย่างดิฉัน ส่วนเรื่องความรักนั้น ก็มีความรู้สึกว่าผู้ชายไทยเจ้าชู้ ไม่เหมือนฝรั่งที่รักเดียวใจเดียว ซึ่งดิฉันขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ทั้งสองเรื่องนี้ ไม่เป็นไปตามที่ดิฉันคิดฝันไว้สักเรื่องเดียว เช่นเดียวกับหลายๆ ท่านที่มาโพสท์เรื่องราวของตนเองไว้
ความอยากได้อยากมีและอยากให้ครอบครัวได้มีหน้ามีตาเกินกว่าเพื่อนบ้านในต่างจังหวัด ทำให้ดิฉันตัดสินใจที่จะหาแฟนฝรั่ง ซึ่งในที่สุดก็ได้เจอฝรั่งคนหนึ่งจากการแนะนำของเพื่อน ทำให้ดิฉันไม่ลังเลที่จะคบกับเขาและทิ้งผู้ชายไทยทุกคนที่คบอยู่ คิดว่านี่แหละใช่เลย ในช่วงต้นๆ ก็เป็นเหมือนที่ดิฉันคิดไว้ คือแค่บอกเพื่อนๆ และเพื่อนบ้านว่ามีแฟนฝรั่ง ก็เหมือนกับว่าจะได้รับการชื่นชม ดิฉันวางแผนถึงการที่จะพาครอบครัวทั้งหมดไปอยู่ต่างประเทศเลย แค่นี้หน้าตาในกลุ่มเพื่อนและเพื่อนบ้านก็มาแล้ว
แฟนดิฉันเป็นคนแถบสแกนดิเนเวีย ที่เป็น “แหล่ง” ผู้ชายหลักแหล่งหนึ่งของหญิงไทย อีกแหล่งหนึ่งก็คือเยอรมัน เขาทำงานไปๆ มาๆ เมืองไทยอยู่สองสามปี แต่แต่ละครั้งที่มาเมืองไทยก็สั้นมาก ช่วงที่ยังไม่แต่งงานและย้ายไปอยู่ต่างประเทศนั้น ก็มีหลายเรื่องที่เริ่มทำให้ดิฉันลังเล แต่ด้วยความดึงดันและการที่กลัวเสียหน้าเพราะพูดไว้เยอะ ทำให้ดิฉันตัดสินใจแต่งงานและย้ายไปอยู่กับแฟน ทั้งๆ ที่ดิฉันยอมรับว่าไม่ได้รักเขาเลย
ตลอดห้าปีที่อยู่ต่างประเทศ สิ่งที่ดิฉันพบก็คือ
1. ความหวังที่จะมีรายได้เยอะจากการทำงานในต่างประเทศและเก็บเงินหรือส่งเงินกลับมายกระดับชีวิตให้พ่อแม่นั้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยเป็นไปได้เลย เพราะดิฉันไม่สามารถหางานที่ทำเป็นหลักแหล่งได้เลย ด้วยการที่ไม่ใช่คนของประเทศเขาและปัญหาด้านภาษาแม้ว่าจะจดทะเบียนกับสามีตามกฎหมายแล้วก็ตาม งานที่ดิฉันทำได้ก็เพียงเป็นลูกจ้างร้านขายของ ร้านอาหาร การที่ชาวต่างประเทศจะทำงานประจำได้นั้นเป็นเรื่องยากมากๆ และแม้ว่าจะได้งานก็ตาม รายได้ที่เทียบกับเงินไทยเดือนละเป็นแสนนั้น หมดไปกับค่าครองชีพที่สูงลิ่ว ไม่มีเหลือเก็บเลย และก็เป็นเพราะว่าเมื่อแก่ตัวหรือเกษียณแล้วฝรั่งเขาจะมีสวัสดิการจากรัฐบาลเยอะ ทำให้เขาไม่ค่อยจำเป็นต้องเก็บเงินเท่าไร ยิ่งแฟนเงินเดือนไม่เยอะด้วย กลายเป็นว่ารายได้ที่ไม่มากนักของดิฉัน ก็จะหมดไปกับการดำเนินชีวิตประจำวันร่วมกับแฟน เรื่องเอาครอบครัวมาอยู่ด้วยก็เลิกฝันไปได้เลย แค่จะมาเที่ยวหาก็มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว
2. สวัสดิการรัฐหลายอย่าง ไม่ตกถึงภรรยาที่เป็นชาวต่างประเทศ ยิ่งช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ได้สิทธิ์บ้างนั้น เวลาไม่สบายก็ไม่สามารถไปหาหมอได้เลย เพราะแพงมาก ยกเว้นจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ดิฉันต้องขอให้เพื่อนส่งยาจากเมืองไทยไปให้ตลอด ดิฉันจะมีอาการปวดหลังและปวดหัวไมเกรนเป็นประจำ ยิ่งช่วงอากาศหนาวมากๆ แล้ว มันทรมานมาก
3. การยอมรับจากสังคมมีน้อย พวกเขาจะมองผู้หญิงไทยในทางที่ไม่ดีมากๆ คือคิดว่าเป็นพวกหาเงิน เกาะผู้ชายกิน นานๆ เข้าแฟนก็ไม่ค่อยอยากพาไปไหนๆ ที่เป็นสังคมของเขาหรือแม้แต่ครอบครัวของเขา เพราะพลอยทำให้เขาอึดอัดไปด้วย ยิ่งถ้ามีลูกด้วยกันแล้วจะเป็นปัญหากับเด็กมาก ทำให้ดิฉันไม่ยอมมีลูกกับเขา
4. ผู้ชายไม่ว่าจะประเทศไหนๆ ก็เจ้าชู้เหมือนกันหมด สิ่งที่ดิฉันคิดว่าเขารักดิฉันคนเดียวและตลอดเวลาช่วงที่คบกับดิฉันก่อนที่จะย้ายมานั้น เขาพูดเหมือนกับว่าเขาไม่เคยมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นเลย ความไร้เดียงสาทำให้ดิฉันเชื่อเขา ทั้งๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้เลยว่าผู้ชายหนุ่มแน่น จะไม่มีอะไรกับผู้หญิงเลยเป็นเวลาหลายปี และด้วยธรรมเนียมฝรั่ง แม้ว่าจะเลิกกันไปแล้ว เขาก็ยังคบกันเหมือนเพื่อนได้ เวลาเจอกันก็กอดจูบหรือยังพบปะทำกิจกรรมร่วมกันได้ ส่วนจะมีอะไรกันอีกหรือเปล่าดิฉันไม่ทราบได้ การจดทะเบียนไม่ได้ประกันว่าเขาจะไม่มีคนอื่น แต่เนื่องจากกฎหมายของเขาเข้มงวดเรื่องค่าเลี้ยงดู ทำให้ผู้ชายไม่หย่า แต่แอบไปมีคนอื่นเสมอ ซึ่งถ้าจะหย่าเอาค่าเลี้ยงดู ผู้หญิงก็ต้องฟ้องเอา และคิดดูว่าเราจะมีปัญญาอะไรไปฟ้องเขา
5. ดิฉันไม่มีเพื่อนเลย และยิ่งเมื่อพบว่าแฟนดิฉันก็มีปัญหากับการเข้าสังคมด้วยแล้ว เราก็เหมือนอยู่กันสองคนในโลก ในห้องแคบๆ และก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขายังโสดก่อนที่จะมาคบดิฉัน มันไม่มีแสงสว่างอะไรเลยว่าชีวิตจะดีขึ้น จะอยู่สุขสบายมากขึ้น ได้แต่ยิ้มแย้มถ่ายรูปส่งมาอวดที่เมืองไทยเหมือนว่าชีวิตสุขสบายมาก ทั้งๆ ที่มันย่ำแย่ทรมานกว่าอยู่เมืองไทยเสียอีก ดิฉันเจอเพื่อนคนไทยบ้าง แต่ก็เหมือนต่างคนต่างอยู่ ต่างมีปัญหาของตนเอง และสุดท้ายก็เก็บเงินกลับเมืองไทยกันทุกคน บางคนหอบลูกมาด้วย
6. สังคมความสัมพันธ์หญิงชายของเขาแปลกๆ ที่ดิฉันรับไม่ได้ก็คือช่วงหลังๆ เรารู้สึกเหมือนเบื่อๆ กัน เขาบอกว่ามีเพื่อนเขาเหมือนจะชอบดิฉัน ซึ่งเขาไม่ขัดข้องถ้าดิฉันจะลองคบเพื่อนเขาดู ดิฉันมาพบที่หลังว่านี่เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เขาสามารถเลิกกับดิฉันได้โดยไม่ต้องเสียค่าเลี้ยงดู ดิฉันรู้สึกว่าถูกดูถูกอย่างมาก เหมือนกับตัวเองเป็นสิ่งของ และเมื่อเจอเพื่อนของเขา เพื่อนเขาก็เหมือนจะมาถูกเนื้อต้องตัวดิฉันมากขึ้น ผู้หญิงไทยหลายคนอยู่ในชะตากรรมนี้ ถ้าหากไม่มีปัญญากลับเมืองไทย ก็เหมือนกับต้องเปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อยๆ โดยที่ผู้ชายคนเก่ารู้เห็นเป็นใจ เช่นเปิดโอกาสให้อยู่กันสองต่อสองบ้าง ทำเป็นไม่เห็นเวลาผู้หญิงถูกล่วงเกินบ้าง
7. (18+) เรื่องเซ็กส์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นความทุกข์ทรมานของดิฉัน ความแตกต่างกันของสรีระทำให้ดิฉันเจ็บปวดและไม่เคยมีความสุขเลย เขาก็ไม่เคยที่จะใส่ใจความรู้สึกของดิฉันเลย และด้วยความที่ดิฉันมีปัญหาสุขภาพโน่นนี่ตลอดเวลา หลายๆ ครั้งดิฉันต้องปลดเปลื้องให้เขาด้วยวิธีอื่นๆ ส่วนดิฉันเองเนื่องจากมีปัญหาอื่นๆ มากมาย ก็ไม่ค่อยมีอารมณ์ความรู้สึก ก็ยิ่งทำให้แย่เข้าไปใหญ่
ดิฉันทนอยู่ได้ห้าปีก็กลับมาเมืองไทย มาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ และเริ่มมีร้านออนไลน์ เรื่องของดิฉันก็จะรู้กันอยู่แต่ในกลุ่มเพื่อนสนิทและครอบครัว ในขณะที่ก็พยายาม “รักษาหน้า” กับเพื่อนบ้านและคนที่ไม่สนิท ดิฉันกลัวถูกเรียกว่าถูกผัวฝรั่งทิ้งมา และพยายามจะเก็บรักษาประสบการณ์ชีวิตช่วงนี้ไว้เป็นอดีต ถ้าดิฉันจะเริ่มชีวิตใหม่กับใครอีกสักคน เขาจะต้องรู้เรื่องนี้น้อยที่สุด มันเป็นความผิดพลาดที่น่าเจ็บปวดและยากที่จะลืมไปตลอดชีวิต
ดิฉันรู้ว่าหลังจากนี้ก็จะยังมีคนที่คิดเหมือนที่ดิฉันเคยคิดตามมาเสมอ นั่นก็คือการอยากได้อยากมี อยากยกระดับชีวิต อยากมีหน้ามีตา หวังว่ามีแฟนฝรั่งแล้วจะสบาย เก๋ไก๋ และคิดใช้ “ทางลัด” อย่างดิฉัน ถ้าคุณอยากเสี่ยง (ซึ่งก็น่าจะมีคนเสี่ยงสำเร็จ) ก็ลองดูค่ะ แต่ดิฉันไม่แนะนำ เท่าที่ดิฉันพบปะพูดคุยมา ไม่มีใครสำเร็จเลย คนที่ยังใช้ชีวิตอยู่ได้ก็คือเอาตัวรอดได้ แต่ก็ต้องดิ้นรนทำงาน ไม่ต่างจากอยู่เมืองไทย ลำบากกว่าเสียด้วยซ้ำ หรือไม่ก็โชคดีที่เจอแฟนมีเงิน และทำให้เราสามารถเก็บเงินได้เองบ้าง ถ้าเจอแฟนที่ต้องปากกัดตีนถีบเหมือนกันก็อย่าเลยค่ะ มาปากกัดตีนถีบอยู่เมืองไทยดีกว่า อย่างน้อยก็มีเพื่อนและพูดภาษาเดียวกัน