
มนุษย์เราไม่ค่อยตระหนักว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดแล้ว โลกในยุคของเราถือว่าค่อนข้างสงบสุขเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์อายุประมาณ 4,600 ล้านปีของโลก แม้ในปัจจุบันเราจะพบภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายมากมายหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับภัยพิบัติที่โลกเคยประสบมาในยุคบรรพกาล ซึ่งถือเป็นภัยพิบัติในระดับที่เรียกว่า
โลกาวินาศ อย่างแท้จริง
ในอดีตโลกของเราเคยเกิดเหตุการณ์ระดับที่เรียกว่า
โลกาวินาศ อยู่ 5 ครั้ง แต่ทั้งหมดล้วนเกิดในยุคก่อนที่มนุษย์จะวิวัฒนาการขึ้นมา โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อราว 400 ล้านปีก่อน และครั้งล่าสุดคือเมื่อ 65 ล้านปีก่อน สาเหตุแต่ละครั้งก็แตกต่างกันไป ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ ไปจนถึงการพุ่งชนจากอุกกาบาตหรือดาวเคราะห์น้อยจากนอกโลก แต่สิ่งที่เหมือนกันทุกครั้งก็คือมันทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากบนโลกต้องสูญพันธุ์ไปในเวลาเดียวกันหรือไล่เลี่ยกัน
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ไม่ว่าจะเจอเคราะห์กรรมสาหัสแค่ไหน แต่
ชีวิต ก็ยังเหลือรอดและวิวัฒนาการต่อไปได้เสมอ!
อารยธรรมของมนุษย์มีอายุไม่ถึงหมื่นปีซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอายุของโลก แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าโลกจะสงบสุขตลอดไป ในอนาคตอันห่างไกลข้างหน้าโลกจะพบเจออะไรบ้าง และสิ่งมีชีวิตจะปรับตัวให้อยู่รอดต่อไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เรารู้สึกมหัศจรรย์ไปกับไดโนเสาร์และสัตว์โลกล้านปีในอดีต แล้วถ้าลองนึกถึงอนาคตบ้างล่ะ เราจะวาดภาพสิ่งมีชีวิตในอีกร้อยล้านปีข้างหน้าออกหรือไม่?
ถ้านึกภาพไม่ออกก็ลองเดินทางข้ามเวลาสู่โลกอนาคตไปกับจินตนาการของ
อ.มิอุระ เคนทาโร่ ดูสิครับ
กิแกนโทมาเคีย
กิแกนโทมาเคีย (Gigantomakhia) เป็นมังงะเรื่องสั้นแนวไซไฟ (ที่ออกแฟนตาซี) เล่มเดียวจบ ผลงานของ
มิอุระ เคนทาโร่ ผู้เขียนเบอร์เซิร์ก เนื้อเรื่องวางไว้ไกลโขที่โลกอนาคตในอีก 100 ล้านปีข้างหน้า หลังจากที่โลกได้ประสบหายนะภัยทางธรรมชาติครั้งใหญ่จนสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ต้องสูญพันธุ์ แต่สิ่งมีชีวิตบางชนิดรวมทั้งมนุษยชาติก็ยังเหลือรอดอยู่และวิวัฒนาการปรับตัวไปตามสภาวะแวดล้อมจนแยกสายเป็นเผ่าพันธุ์ต่างๆ มากมาย โลกอนาคตได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจนดูราวกับเป็นเทวตำนานที่คนในอดีตคนเล่าขานกัน โดยผู้เขียนได้หยิบเอาตำนานกรีกมาใช้เป็นธีมของเรื่องครับ
เรื่องนี้ทาง
วิบูลย์กิจ ได้ตีพิมพ์ออกมาแล้วในชื่อว่า
ไกแกนท์มาเคีย (แต่ในเรื่องดันเรียกไม่เหมือนหน้าปกว่า
กิกันท์มาเคีย) ซึ่งหลายท่านก็คงได้อ่านกันไปแล้ว แต่ถ้าใครที่ยังไม่ได้อ่านก็ไม่ต้องห่วงเรื่องสปอยล์ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพราะยังไงก็สปอยล์หนักหน่วงแน่ๆ แต่จุดประสงค์จริงๆที่ผมเขียนกระทู้นี้ก็เพื่อวิเคราะห์สิ่งที่คิดว่าผู้เขียนต้องการถ่ายทอดออกมาผ่านผลงานเรื่องนี้ครับ
บางท่านเมื่ออ่านเรื่องนี้ก็อาจรู้สึกว่ามันดูแฟนตาซี เพราะมียักษ์ เทพเจ้า และเวทมนตร์ แต่ที่จริงแล้วทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นผลจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชิวิตผ่านช่วงเวลา 100 ล้านปีต่างหาก ในเรื่องนี้ไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติแบบในเรื่องเบอร์เซิร์กครับ (อันนั้นมีทั้งปิศาจ, พระเจ้า, เทพแห่งทิศ และเวทมนตร์จริงๆ) ผมคิดว่าสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อผ่านเรื่องนี้ก็คือคำกล่าวที่ว่า “
โลกอนาคตอาจมหัศจรรย์ไม่ต่างจากเทพนิยาย” หรือ “
วิทยาศาสตร์ในอนาคตจะมหัศจรรย์ยิ่งกว่านิยายวิทยาศาสตร์เสียอีก” นั่นเองครับ
ชื่อเรื่องนี้เป็นภาษากรีก โดยคำว่า Gigant (o) แปลว่ายักษ์ (Giant) และคำว่า Makhia แปลว่าการต่อสู้หรือการประลองยุทธ (battle) ดังนั้นถ้าแปลไทยแบบตรงๆ ง่ายๆก็ได้ว่า
สงครามยักษ์ ครับ (ใครอ่านแล้วจะเข้าใจเลยว่าทำไมถึงมีชื่อเรื่องแบบนี้) ธีมของเรื่องนี้ถ้าอธิบายง่ายๆก็เหมือนการเอาตำนานกรีกมาวางไว้ในโลกอนาคตนั่นแหละครับ
ฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องนี้อยู่ตรงการต่อสู้ของ
ยักษ์ สองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือ
ไททัน (Titan) ซึ่งเป็นยักษ์ที่พวกของ
จักรวรรดิ ได้มาจาก
โอลิมปัส กับอีกฝ่ายหนึ่งคือ
โกฮ์ร่า (Gohra) ซึ่งเป็นยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวของตัวเอกทั้งสองคือ
ดีลอส (Delos) และ
โพรเม่ (Prome) ครับ
ตัวร้ายของเรื่องนี้คือกองทัพของฝ่ายมนุษย์ที่เรียกว่า
จักรวรรดิ ซึ่งออกเดินทางไปทั่วทุกสารทิศเพื่อรวบรวมชิ้นส่วนยักษ์ที่เรียกว่า
ไกอา (Gaia) ซึ่งฝั่งอยู่ในที่ต่างๆทั่วโลก โดยพวกนี้จะทำทุกวิถีทางเพื่อยึดครองชิ้นส่วนเหล่านี้มาให้ได้ แม้จะต้องทำลายล้างชุมชนของชนเผ่าที่คุ้มครองชิ้นส่วนเหล่านี้อยู่ก็ตาม
ดูเหมือนว่า
ไกอา จะเป็นแหล่งพลังงานอันมหาศาล ดังนั้นพวกจักรวรรดิจึงต้องการให้ยักษ์
ไททัน ของพวกเขาดูดกลืนชิ้นส่วนไกอามาครอบครองให้หมด ชิ้นส่วนไกอานั้นเมื่อไปอยู่ที่ใดก็จะมอบความอุดมสมบูรณ์ให้กับที่แห่งนั้นจนทำให้ชุมชนของอมนุษย์ (มนุษย์ที่วิวัฒนาการผสมกับสัตว์ แต่ระดับทางวัฒนธรรมต่ำกว่ามนุษย์) นับถือไกอาเป็นเทพเจ้า เหมือนกับชิ้นส่วนไกอาอันหนึ่งที่ดีลอสกับโพรเม่ได้พบที่ชุมชนของเผ่าแมลง ซึ่งเหล่ามนุษย์แมลงได้นับถือเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์นามว่า
ฮาปี (Hapi) นั่นเอง
ประมุขของเผ่าแมลงได้เล่าถึงตำนานของฮาปีว่า “
ในอดีตกาล เทพเจ้าทั้งหลายได้บังเกิดขึ้นจากพระเจ้าบรรพกาล ในหมู่เทพเจ้าทั้งหลายนั้นมีเทพองค์หนึ่งได้นำลมหายใจแห่งชีวิตเข้ามาในทะเลทรายอันกว้างใหญ่แห่งนี้ บัดนี้เจ้ากำลังอยู่ต่อหน้าเทพองค์นั้นแล้ว ฮาปี เทพแห่งผืนดินอันอุดม” (อันนี้ผมแปลมาจากภาษาอังกฤษ ถ้าฉบับ VBK จะแปลต่างออกไปว่า “
เมื่อก่อนเทพเจ้าทั้งหลายจะสถิตอยู่ในมิติแห่งเทพ แต่ในจำนวนนั้นเทพที่มอบความอุดมสมบูรณ์ให้สิ่งมีชีวิตในทะเลทรายก็คือเทพฮาปีที่นี่แหละ” ซึ่งผมรู้สึกว่าใจความคลาดเคลื่อนไปนิดหน่อย)
คำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าในอดีตได้มีบางสิ่ง (พระเจ้าบรรพกาล) ที่ให้กำเนิดไกอา และต่อมาก็มีเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ชิ้นส่วนไกอากระจายไปในที่ต่างๆ และชิ้นส่วนหนึ่ง (ที่เผ่าแมลงเรียกว่าฮาปี) ก็ได้มาอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้และมอบความอุดมสมบูรณ์ให้ ซึ่งเหตุการณ์นั้นถูกเล่าสืบต่อกันมาในเผ่าแมลงจนกระทั่งกลายเป็นตำนานไปนั่นเอง
เผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกอนาคต
เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ในโลกอนาคตได้แตกสาขาออกไปมากมาย มนุษย์ที่ยังปกติเหมือนกับสมัยปัจจุบันเรียกตัวเองว่า
ฮยู หรือ
ฮิว (Hyuu) โดยพระเอกของเรื่องคือ
ดีลอส (Delos) กับพวกจักรวรรดิก็คือเผ่าพันธุ์นี้ และพวกฮิวจะเรียกมนุษย์ที่วิวัฒนาการผสมกับสัตว์จนแตกต่างออกไปเป็นกึ่งมนุษย์ (Demi-Human) ว่า
มยู หรือ
มิว (Myuu) โดยมิวที่มีบทบาทในเรื่องก็คือชนเผ่าที่เรียกตัวเองว่า
สการาบาอี (Scarabaei) หรือชนเผ่าแมลงที่เกิดจากการวิวัฒนาการร่วมกันของมนุษย์และแมลงสการับ (ในตอนใกล้จบเราจะเห็นมิวเผ่าหนึ่งถูกพวกจักรวรรดิรุกรานเพื่อชิงเทพเจ้าของพวกเขาหรือชิ้นส่วนไกอาไป ซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีท่อนล่างเป็นงู ผมก็ยั้วเยี้ยคล้ายๆงู ไม่รู้เอาต้นแบบมาจาก
เมดูซ่า หรือเปล่า)
นอกจากนี้ยังปรากฏชื่อเรียกเผ่าพันธุ์อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า
คา (Khaa) ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ของ
โพรเม่ (Prome) สาวน้อยปริศนาที่มีความสามารถประหลาดหลายอย่างจนดูเหมือนเวทมนตร์ (ชนเผ่าสการาบาอีก็เชื่อว่าเป็นเวทมนตร์และเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกภูต) แต่ที่จริงมันเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเผ่าพันธุ์เธอต่างหาก

หรืออย่างความสามารถของประมุขเผ่าสการาบาอีที่สามารถมองเห็นผ่านดวงตาของแมลงก็ไม่ใช่การใช้ญาณทิพย์หรืออะไรทำนองนั้น หากแต่เป็นความสามารถที่เป็นผลจากวิวัฒนาการครับ (แม้ฉบับ VBK จะแปลว่า เป็นการใช้
เครือข่ายคลื่นวิญญาณ แต่ในภาษาอังกฤษแปลว่า เป็นการรับรู้ผ่าน
electromagnetic network หรือ
เครือข่ายแม่เหล็กไฟฟ้า ครับ)
ตำนานกรีกคืนชีพในยุคอนาคต
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเรื่องนี้เดินเรื่องในโลกอนาคตโดยใช้ธีมแบบตำนานกรีก เป็นมหากาพย์สงครามระหว่างยักษ์สองพวก ฝ่ายหนึ่งคือจักรวรรดิที่เป็นตัวแทนของคนในชนชั้นสูงที่มากไปด้วยวิทยาการแต่คิดจะกอบโกยผลประโยชน์อย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง กับอีกฝ่ายคือดีลอสที่เป็นตัวแทนของชนชั้นล่างคอยปกป้องชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมอ่อนด้อยกว่า (ยังนับถือเทพเจ้าหรือเชื่อเรื่องเวทมนตร์) แต่พวกเขาก็เคารพธรรมชาติและไม่คิดจะกอบโกยหรือทำลาย
ในเรื่องจักรวรรดิต้องการชิ้นส่วนรวบรวมชิ้นส่วนของ
ไกอา ที่ฝังอยู่ในผืนดินของที่ต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพของ
ไททัน ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนก็คงอ้างอิงจากตำนานกรีกนั่นแหละครับ เพราะไกอาเป็นเทพีแห่งผืนดินและมารดาแห่งสรรพสิ่ง ไกอาในเรื่องนี้จึงเป็นแหล่งพลังงานที่ฝังอยู่ตามที่ต่างๆ และมีอำนาจที่จะมอบความอุดมสมบูรณ์ให้ที่แห่งนั้น
ทั้งไกอาและไททันน่าจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยวิทยาการทั้งสูงของมนุษย์ในอดีต ก่อนที่โลกจะประสบภัยพิบัติจนสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ต้องสูญพันธุ์ และในยุคสมัยปัจจุบันของเรื่อง มนุษย์ที่เหลือรอด (พวกจักรวรรดิ) จึงคิดจะครอบครองแหล่งพลังงานทั้งหมดนี้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์
นอกจากนี้ ท่าไม้ตายที่โกฮ์ร่าใช้กำราบไททันก็คือท่า
อิคารอสฟอล (Icaros Fall) ซึ่งนำมาจากเรื่องเล่าในตำนานกรีกเรื่อง
อิคารัสปีกหัก (The Fall of Icarus) ซึ่งเล่าถึงอิคารัสหรืออิคารอสที่ติดปีกเทียมบินขึ้นไปบนฟากฟ้า แต่เขาไม่ฟังคำเตือนของผู้เป็นพ่อ กลับบินสูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างคึกคะนอง จนในที่สุดวัสดุที่ใช้ติดปีกก็ละลายด้วยแสงอาทิตย์ทำให้เขาร่วงหล่นลงมาจมหายไปในท้องทะเล เรื่องเล่านี้สื่อถึงความโอหังคิดทำอะไรเกินตัวจนสุดท้ายต้องพบกับความพินาศ (เหมือนตำนานเรื่องหอคอยบาเบล) ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนถึงได้นำเรื่องเล่าดังกล่าวมาใช้เป็นท่าไม้ตายที่โกฮ์ร่าใช้ปราบไททันของฝ่ายจักรวรรดิผู้เหิมเกริมนั่นเอง
ชีวิต: ความอัศจรรย์ที่ไม่มีวันสูญสลาย
ในตอนสุดท้ายดีลอสได้ถามโพรเม่ว่าเหตุใดสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกถึงได้ดับสูญไป ซึ่งโพรเม่ก็อธิบายให้เขาฟังว่ามันเป็นผลจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ดำเนินไปหลายร้อยล้านปี ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลต้องประสบกับภาวะวิกฤตต่อการล่มสลาย จากนั้นโพรเม่ก็ได้ชี้ให้ดีลอสมองไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นภาพของสัตว์หน้าตาประหลาดแหวกว่ายอยู่ในน้ำและโบยบินอยู่บนอากาศ ซึ่งเป็นภาพที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลงและแพร่พันธุ์ออกไปอีกครั้ง” โพรเม่กล่าว
แน่นอน สักวันข้างหน้าโลกเราต้องพบภัยพิบัติที่จะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตให้สูญพันธุ์ไปเหมือนที่เคยเกิดมาแล้วเมื่อครั้งอดีตกาล สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อาจต้องสูญพันธุ์ไป แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตก็จะคงเหลือรอดต่อไปและวิวัฒนาการปรับตัวให้เข้ากับโลกใหม่ได้เสมอ เหมือนคำโปรยปกหลังของการ์ตูนเรื่องนี้และผมคิดว่ามันคือสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
แม้โลกจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ ‘
ชีวิต’ ก็ต้องดำเนินต่อไป!
[Gigantomakhia] บทวิเคราะห์เรื่องสั้นล่าสุดของผู้เขียนเบอร์เซิร์ก
มนุษย์เราไม่ค่อยตระหนักว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดแล้ว โลกในยุคของเราถือว่าค่อนข้างสงบสุขเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์อายุประมาณ 4,600 ล้านปีของโลก แม้ในปัจจุบันเราจะพบภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายมากมายหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับภัยพิบัติที่โลกเคยประสบมาในยุคบรรพกาล ซึ่งถือเป็นภัยพิบัติในระดับที่เรียกว่า โลกาวินาศ อย่างแท้จริง
ในอดีตโลกของเราเคยเกิดเหตุการณ์ระดับที่เรียกว่า โลกาวินาศ อยู่ 5 ครั้ง แต่ทั้งหมดล้วนเกิดในยุคก่อนที่มนุษย์จะวิวัฒนาการขึ้นมา โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อราว 400 ล้านปีก่อน และครั้งล่าสุดคือเมื่อ 65 ล้านปีก่อน สาเหตุแต่ละครั้งก็แตกต่างกันไป ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ ไปจนถึงการพุ่งชนจากอุกกาบาตหรือดาวเคราะห์น้อยจากนอกโลก แต่สิ่งที่เหมือนกันทุกครั้งก็คือมันทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากบนโลกต้องสูญพันธุ์ไปในเวลาเดียวกันหรือไล่เลี่ยกัน
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ไม่ว่าจะเจอเคราะห์กรรมสาหัสแค่ไหน แต่ ชีวิต ก็ยังเหลือรอดและวิวัฒนาการต่อไปได้เสมอ!
อารยธรรมของมนุษย์มีอายุไม่ถึงหมื่นปีซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอายุของโลก แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าโลกจะสงบสุขตลอดไป ในอนาคตอันห่างไกลข้างหน้าโลกจะพบเจออะไรบ้าง และสิ่งมีชีวิตจะปรับตัวให้อยู่รอดต่อไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เรารู้สึกมหัศจรรย์ไปกับไดโนเสาร์และสัตว์โลกล้านปีในอดีต แล้วถ้าลองนึกถึงอนาคตบ้างล่ะ เราจะวาดภาพสิ่งมีชีวิตในอีกร้อยล้านปีข้างหน้าออกหรือไม่?
ถ้านึกภาพไม่ออกก็ลองเดินทางข้ามเวลาสู่โลกอนาคตไปกับจินตนาการของ อ.มิอุระ เคนทาโร่ ดูสิครับ
กิแกนโทมาเคีย
กิแกนโทมาเคีย (Gigantomakhia) เป็นมังงะเรื่องสั้นแนวไซไฟ (ที่ออกแฟนตาซี) เล่มเดียวจบ ผลงานของ มิอุระ เคนทาโร่ ผู้เขียนเบอร์เซิร์ก เนื้อเรื่องวางไว้ไกลโขที่โลกอนาคตในอีก 100 ล้านปีข้างหน้า หลังจากที่โลกได้ประสบหายนะภัยทางธรรมชาติครั้งใหญ่จนสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ต้องสูญพันธุ์ แต่สิ่งมีชีวิตบางชนิดรวมทั้งมนุษยชาติก็ยังเหลือรอดอยู่และวิวัฒนาการปรับตัวไปตามสภาวะแวดล้อมจนแยกสายเป็นเผ่าพันธุ์ต่างๆ มากมาย โลกอนาคตได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจนดูราวกับเป็นเทวตำนานที่คนในอดีตคนเล่าขานกัน โดยผู้เขียนได้หยิบเอาตำนานกรีกมาใช้เป็นธีมของเรื่องครับ
เรื่องนี้ทาง วิบูลย์กิจ ได้ตีพิมพ์ออกมาแล้วในชื่อว่า ไกแกนท์มาเคีย (แต่ในเรื่องดันเรียกไม่เหมือนหน้าปกว่า กิกันท์มาเคีย) ซึ่งหลายท่านก็คงได้อ่านกันไปแล้ว แต่ถ้าใครที่ยังไม่ได้อ่านก็ไม่ต้องห่วงเรื่องสปอยล์ครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ แต่จุดประสงค์จริงๆที่ผมเขียนกระทู้นี้ก็เพื่อวิเคราะห์สิ่งที่คิดว่าผู้เขียนต้องการถ่ายทอดออกมาผ่านผลงานเรื่องนี้ครับ
บางท่านเมื่ออ่านเรื่องนี้ก็อาจรู้สึกว่ามันดูแฟนตาซี เพราะมียักษ์ เทพเจ้า และเวทมนตร์ แต่ที่จริงแล้วทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นผลจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชิวิตผ่านช่วงเวลา 100 ล้านปีต่างหาก ในเรื่องนี้ไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติแบบในเรื่องเบอร์เซิร์กครับ (อันนั้นมีทั้งปิศาจ, พระเจ้า, เทพแห่งทิศ และเวทมนตร์จริงๆ) ผมคิดว่าสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อผ่านเรื่องนี้ก็คือคำกล่าวที่ว่า “โลกอนาคตอาจมหัศจรรย์ไม่ต่างจากเทพนิยาย” หรือ “วิทยาศาสตร์ในอนาคตจะมหัศจรรย์ยิ่งกว่านิยายวิทยาศาสตร์เสียอีก” นั่นเองครับ
ชื่อเรื่องนี้เป็นภาษากรีก โดยคำว่า Gigant (o) แปลว่ายักษ์ (Giant) และคำว่า Makhia แปลว่าการต่อสู้หรือการประลองยุทธ (battle) ดังนั้นถ้าแปลไทยแบบตรงๆ ง่ายๆก็ได้ว่า สงครามยักษ์ ครับ (ใครอ่านแล้วจะเข้าใจเลยว่าทำไมถึงมีชื่อเรื่องแบบนี้) ธีมของเรื่องนี้ถ้าอธิบายง่ายๆก็เหมือนการเอาตำนานกรีกมาวางไว้ในโลกอนาคตนั่นแหละครับ
ฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องนี้อยู่ตรงการต่อสู้ของ ยักษ์ สองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือ ไททัน (Titan) ซึ่งเป็นยักษ์ที่พวกของ จักรวรรดิ ได้มาจาก โอลิมปัส กับอีกฝ่ายหนึ่งคือ โกฮ์ร่า (Gohra) ซึ่งเป็นยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวของตัวเอกทั้งสองคือ ดีลอส (Delos) และ โพรเม่ (Prome) ครับ
ตัวร้ายของเรื่องนี้คือกองทัพของฝ่ายมนุษย์ที่เรียกว่า จักรวรรดิ ซึ่งออกเดินทางไปทั่วทุกสารทิศเพื่อรวบรวมชิ้นส่วนยักษ์ที่เรียกว่า ไกอา (Gaia) ซึ่งฝั่งอยู่ในที่ต่างๆทั่วโลก โดยพวกนี้จะทำทุกวิถีทางเพื่อยึดครองชิ้นส่วนเหล่านี้มาให้ได้ แม้จะต้องทำลายล้างชุมชนของชนเผ่าที่คุ้มครองชิ้นส่วนเหล่านี้อยู่ก็ตาม
ดูเหมือนว่า ไกอา จะเป็นแหล่งพลังงานอันมหาศาล ดังนั้นพวกจักรวรรดิจึงต้องการให้ยักษ์ ไททัน ของพวกเขาดูดกลืนชิ้นส่วนไกอามาครอบครองให้หมด ชิ้นส่วนไกอานั้นเมื่อไปอยู่ที่ใดก็จะมอบความอุดมสมบูรณ์ให้กับที่แห่งนั้นจนทำให้ชุมชนของอมนุษย์ (มนุษย์ที่วิวัฒนาการผสมกับสัตว์ แต่ระดับทางวัฒนธรรมต่ำกว่ามนุษย์) นับถือไกอาเป็นเทพเจ้า เหมือนกับชิ้นส่วนไกอาอันหนึ่งที่ดีลอสกับโพรเม่ได้พบที่ชุมชนของเผ่าแมลง ซึ่งเหล่ามนุษย์แมลงได้นับถือเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์นามว่า ฮาปี (Hapi) นั่นเอง
ประมุขของเผ่าแมลงได้เล่าถึงตำนานของฮาปีว่า “ในอดีตกาล เทพเจ้าทั้งหลายได้บังเกิดขึ้นจากพระเจ้าบรรพกาล ในหมู่เทพเจ้าทั้งหลายนั้นมีเทพองค์หนึ่งได้นำลมหายใจแห่งชีวิตเข้ามาในทะเลทรายอันกว้างใหญ่แห่งนี้ บัดนี้เจ้ากำลังอยู่ต่อหน้าเทพองค์นั้นแล้ว ฮาปี เทพแห่งผืนดินอันอุดม” (อันนี้ผมแปลมาจากภาษาอังกฤษ ถ้าฉบับ VBK จะแปลต่างออกไปว่า “เมื่อก่อนเทพเจ้าทั้งหลายจะสถิตอยู่ในมิติแห่งเทพ แต่ในจำนวนนั้นเทพที่มอบความอุดมสมบูรณ์ให้สิ่งมีชีวิตในทะเลทรายก็คือเทพฮาปีที่นี่แหละ” ซึ่งผมรู้สึกว่าใจความคลาดเคลื่อนไปนิดหน่อย)
คำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าในอดีตได้มีบางสิ่ง (พระเจ้าบรรพกาล) ที่ให้กำเนิดไกอา และต่อมาก็มีเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ชิ้นส่วนไกอากระจายไปในที่ต่างๆ และชิ้นส่วนหนึ่ง (ที่เผ่าแมลงเรียกว่าฮาปี) ก็ได้มาอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้และมอบความอุดมสมบูรณ์ให้ ซึ่งเหตุการณ์นั้นถูกเล่าสืบต่อกันมาในเผ่าแมลงจนกระทั่งกลายเป็นตำนานไปนั่นเอง
เผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกอนาคต
เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ในโลกอนาคตได้แตกสาขาออกไปมากมาย มนุษย์ที่ยังปกติเหมือนกับสมัยปัจจุบันเรียกตัวเองว่า ฮยู หรือ ฮิว (Hyuu) โดยพระเอกของเรื่องคือ ดีลอส (Delos) กับพวกจักรวรรดิก็คือเผ่าพันธุ์นี้ และพวกฮิวจะเรียกมนุษย์ที่วิวัฒนาการผสมกับสัตว์จนแตกต่างออกไปเป็นกึ่งมนุษย์ (Demi-Human) ว่า มยู หรือ มิว (Myuu) โดยมิวที่มีบทบาทในเรื่องก็คือชนเผ่าที่เรียกตัวเองว่า สการาบาอี (Scarabaei) หรือชนเผ่าแมลงที่เกิดจากการวิวัฒนาการร่วมกันของมนุษย์และแมลงสการับ (ในตอนใกล้จบเราจะเห็นมิวเผ่าหนึ่งถูกพวกจักรวรรดิรุกรานเพื่อชิงเทพเจ้าของพวกเขาหรือชิ้นส่วนไกอาไป ซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีท่อนล่างเป็นงู ผมก็ยั้วเยี้ยคล้ายๆงู ไม่รู้เอาต้นแบบมาจาก เมดูซ่า หรือเปล่า)
นอกจากนี้ยังปรากฏชื่อเรียกเผ่าพันธุ์อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า คา (Khaa) ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ของ โพรเม่ (Prome) สาวน้อยปริศนาที่มีความสามารถประหลาดหลายอย่างจนดูเหมือนเวทมนตร์ (ชนเผ่าสการาบาอีก็เชื่อว่าเป็นเวทมนตร์และเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกภูต) แต่ที่จริงมันเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเผ่าพันธุ์เธอต่างหาก
หรืออย่างความสามารถของประมุขเผ่าสการาบาอีที่สามารถมองเห็นผ่านดวงตาของแมลงก็ไม่ใช่การใช้ญาณทิพย์หรืออะไรทำนองนั้น หากแต่เป็นความสามารถที่เป็นผลจากวิวัฒนาการครับ (แม้ฉบับ VBK จะแปลว่า เป็นการใช้ เครือข่ายคลื่นวิญญาณ แต่ในภาษาอังกฤษแปลว่า เป็นการรับรู้ผ่าน electromagnetic network หรือ เครือข่ายแม่เหล็กไฟฟ้า ครับ)
ตำนานกรีกคืนชีพในยุคอนาคต
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเรื่องนี้เดินเรื่องในโลกอนาคตโดยใช้ธีมแบบตำนานกรีก เป็นมหากาพย์สงครามระหว่างยักษ์สองพวก ฝ่ายหนึ่งคือจักรวรรดิที่เป็นตัวแทนของคนในชนชั้นสูงที่มากไปด้วยวิทยาการแต่คิดจะกอบโกยผลประโยชน์อย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง กับอีกฝ่ายคือดีลอสที่เป็นตัวแทนของชนชั้นล่างคอยปกป้องชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมอ่อนด้อยกว่า (ยังนับถือเทพเจ้าหรือเชื่อเรื่องเวทมนตร์) แต่พวกเขาก็เคารพธรรมชาติและไม่คิดจะกอบโกยหรือทำลาย
ในเรื่องจักรวรรดิต้องการชิ้นส่วนรวบรวมชิ้นส่วนของ ไกอา ที่ฝังอยู่ในผืนดินของที่ต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพของ ไททัน ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนก็คงอ้างอิงจากตำนานกรีกนั่นแหละครับ เพราะไกอาเป็นเทพีแห่งผืนดินและมารดาแห่งสรรพสิ่ง ไกอาในเรื่องนี้จึงเป็นแหล่งพลังงานที่ฝังอยู่ตามที่ต่างๆ และมีอำนาจที่จะมอบความอุดมสมบูรณ์ให้ที่แห่งนั้น
ทั้งไกอาและไททันน่าจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยวิทยาการทั้งสูงของมนุษย์ในอดีต ก่อนที่โลกจะประสบภัยพิบัติจนสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ต้องสูญพันธุ์ และในยุคสมัยปัจจุบันของเรื่อง มนุษย์ที่เหลือรอด (พวกจักรวรรดิ) จึงคิดจะครอบครองแหล่งพลังงานทั้งหมดนี้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์
นอกจากนี้ ท่าไม้ตายที่โกฮ์ร่าใช้กำราบไททันก็คือท่า อิคารอสฟอล (Icaros Fall) ซึ่งนำมาจากเรื่องเล่าในตำนานกรีกเรื่อง อิคารัสปีกหัก (The Fall of Icarus) ซึ่งเล่าถึงอิคารัสหรืออิคารอสที่ติดปีกเทียมบินขึ้นไปบนฟากฟ้า แต่เขาไม่ฟังคำเตือนของผู้เป็นพ่อ กลับบินสูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างคึกคะนอง จนในที่สุดวัสดุที่ใช้ติดปีกก็ละลายด้วยแสงอาทิตย์ทำให้เขาร่วงหล่นลงมาจมหายไปในท้องทะเล เรื่องเล่านี้สื่อถึงความโอหังคิดทำอะไรเกินตัวจนสุดท้ายต้องพบกับความพินาศ (เหมือนตำนานเรื่องหอคอยบาเบล) ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนถึงได้นำเรื่องเล่าดังกล่าวมาใช้เป็นท่าไม้ตายที่โกฮ์ร่าใช้ปราบไททันของฝ่ายจักรวรรดิผู้เหิมเกริมนั่นเอง
ชีวิต: ความอัศจรรย์ที่ไม่มีวันสูญสลาย
ในตอนสุดท้ายดีลอสได้ถามโพรเม่ว่าเหตุใดสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกถึงได้ดับสูญไป ซึ่งโพรเม่ก็อธิบายให้เขาฟังว่ามันเป็นผลจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ดำเนินไปหลายร้อยล้านปี ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลต้องประสบกับภาวะวิกฤตต่อการล่มสลาย จากนั้นโพรเม่ก็ได้ชี้ให้ดีลอสมองไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นภาพของสัตว์หน้าตาประหลาดแหวกว่ายอยู่ในน้ำและโบยบินอยู่บนอากาศ ซึ่งเป็นภาพที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลงและแพร่พันธุ์ออกไปอีกครั้ง” โพรเม่กล่าว
แน่นอน สักวันข้างหน้าโลกเราต้องพบภัยพิบัติที่จะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตให้สูญพันธุ์ไปเหมือนที่เคยเกิดมาแล้วเมื่อครั้งอดีตกาล สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อาจต้องสูญพันธุ์ไป แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตก็จะคงเหลือรอดต่อไปและวิวัฒนาการปรับตัวให้เข้ากับโลกใหม่ได้เสมอ เหมือนคำโปรยปกหลังของการ์ตูนเรื่องนี้และผมคิดว่ามันคือสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
แม้โลกจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ ‘ชีวิต’ ก็ต้องดำเนินต่อไป!