"Writing's on the Wall" เป็นเพลงจาก Spectre หนังเจมส์บอนด์ภาคล่าสุด (ภาคที่ 24) ซึ่งจะเข้าฉายทั่วโลกวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ ผู้ประพันธ์เพลงคือ Sam Smith และ Jimmy Napes โดยมีสมิธเป็นผู้ขับร้องเอง ทั้งสองใช้เวลาเขียนเพลงนี้เพียง 20 นาทีเท่านั้น
คำวิจารณ์ของเพลงนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก แม้นักวิจารณ์ส่วนหนึ่งจะชื่นชมว่านี่คือเพลงบอนด์ที่มีความบัลลาดอย่างร้ายกาจ แต่อีกส่วนหนึ่งก็บอกว่าเพลงนี้พยายามเจริญรอยตามความสำเร็จของ "Skyfall" เพลงธีมจากภาคที่แล้วมากเกินไป ในขณะที่เหล่าสาวกเจมส์บอนด์บอกว่าเพลงนี้เป็น 'หนึ่งในเพลงเจมส์บอนด์ที่แย่ที่สุดที่เคยมีมา' อย่างไรก็ตามเพลงนี้สามารถขึ้นสู่อันดับ 1 UK Chart ได้ในสัปดาห์แรกของการเปิดตัว และกลายเป็นเพลงบอนด์เพลงแรกที่ขึ้นได้ถึงอันดับ 1 ในอังกฤษ
ไตเติ้ลธีมของเจมส์บอนด์ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่มาพร้อมกับหนังเจมส์บอนด์ในทุกๆ ภาคนับตั้งแต่การออกฉายของ Dr. No หนังภาคแรกเมื่อ 53 ปีก่อน ศิลปินหลายคนเคยได้รับเกียรติให้เป็นผู้ขับร้องเพลงเจมส์บอนด์มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Matt Monro, Tom Jones, Nancy Sinatra, Gladys Knight, Tina Turner, Sheryl Crow, Madonna และ Shirley Bassey ซึ่งเป็นผู้ที่ร้องเอาไว้มากที่สุด 3 เพลงจาก "Goldfinger" (1964), "Diamonds Are Forever" (1971) และ "Moonraker" (1979)
หนังภาคที่ 8 Live and Let Die ส่งให้เพลงชื่อเดียวกันซึ่งประพันธ์โดย Paul McCartney และ Linda ภรรยาของเขาในขณะนั้น เข้าชิงออสการ์เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 1973 นับเป็นเพลงเจมส์บอนด์เพลงแรกที่ได้เข้าชิงออสการ์
"The Look of Love" จาก Casino Royale ซึ่งขับร้องโดย Dusty Springfield , "Nobody Does It Better" จาก The Spy Who Loved Me ซึ่งขับร้องโดย Carly Simon และ "For Your Eyes Only" จาก For Your Eyes Only ซึ่งขับร้องโดย Sheena Easton เป็นอีก 3 เพลงถัดมาที่ได้เข้าชิงในปี 1967, 1977 และ 1981 ตามลำดับ ...ก่อนที่จะข้ามมาไกลถึง 31 ปีที่เพลงบอนด์ได้เข้าชิงออสการ์อีกครั้งเป็นครั้งที่ 5 และชนะไปในที่สุดในเพลง "Skyfall" จากหนังชื่อเดียวกันโดยฝีมือการประพันธ์ของ Adele และ Paul Epworth เมื่อปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่หนังชุดนี้อายุครบ 50 ปีพอดี
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่า Casino Royale ในปี 1967 จะมีตัวละครหลักเป็นเจมส์บอนด์ แต่โดยมากแล้วหนังเรื่องนี้มักจะไม่ถูกนับอยู่ในซีรีส์เจมส์บอนด์เหมือนกับหนังภาคอื่นๆ เนื่องจากไม่ได้สร้างโดย Eon Productions เจ้าของการผลิตเจมส์บอนด์ทั้ง 24 ภาคนั่นเอง (อีกหนึ่งหนังบอนด์ที่ไม่ถูกรวมในซีรีส์เจมส์บอนด์เช่นกันคือ Never Say Never Again ในปี 1983 ที่ดัดแปลงจากนิยายภาค 'Thunderball' ซึ่งเคยถูกนำมาสร้างโดย Eon Productions ไปแล้วในปี 1965) ...ทั้งนี้ Casino Royale มีลักษณะเป็นหนังตลกล้อเลียนเจมส์บอนด์ และบอนด์ภาคนี้รับบทโดยดาราออสการ์ David Niven ซึ่งเป็นตัวเลือกแรกสุดที่ Ian Fleming เจ้าของนิยายชุดนี้ต้องการให้มารับบทบอนด์ใน Dr. No
อนึ่ง เพลงบอนด์ที่ได้เข้าชิงออสการ์เกือบทุกเพลง ล้วนแล้วแต่สามารถไต่ชาร์ต Billboard Hot 100 ได้ถึง Top 10 ทั้งสิ้น โดย "Live and Let Die" และ "Nobody Does It Better" สามารถขึ้นได้ถึงอันดับ 2 ในขณะที่ "For Your Eyes Only"ไปได้ถึงอันดับ 4 และ "Skyfall" ไปได้ถึงอันดับ 8 มีเพียง "The Look of Love" เท่านั้นที่ทำได้แค่ Top 40 ...อย่างไรก็ตามเพลงบอนด์เพลงเดียวที่สามารถขึ้นถึงอันดับ 1 Billboard Hot 100 ได้ก็คือ "A View to a Kill" จาก A View to a Kill โดยวง Duran Duran ในปี 1985 ซึ่งครองอันดับ 1 อยู่นาน 2 สัปดาห์
ติดตามอ่านเรื่องราวสนุกๆ แบบนี้ได้อีกที่เพจ "EGOT Talking Club" จ้า ตามลิงค์เลย
https://www.facebook.com/EGOTTalkingClub
ว่าด้วย James Bond's Songs
คำวิจารณ์ของเพลงนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก แม้นักวิจารณ์ส่วนหนึ่งจะชื่นชมว่านี่คือเพลงบอนด์ที่มีความบัลลาดอย่างร้ายกาจ แต่อีกส่วนหนึ่งก็บอกว่าเพลงนี้พยายามเจริญรอยตามความสำเร็จของ "Skyfall" เพลงธีมจากภาคที่แล้วมากเกินไป ในขณะที่เหล่าสาวกเจมส์บอนด์บอกว่าเพลงนี้เป็น 'หนึ่งในเพลงเจมส์บอนด์ที่แย่ที่สุดที่เคยมีมา' อย่างไรก็ตามเพลงนี้สามารถขึ้นสู่อันดับ 1 UK Chart ได้ในสัปดาห์แรกของการเปิดตัว และกลายเป็นเพลงบอนด์เพลงแรกที่ขึ้นได้ถึงอันดับ 1 ในอังกฤษ
ไตเติ้ลธีมของเจมส์บอนด์ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่มาพร้อมกับหนังเจมส์บอนด์ในทุกๆ ภาคนับตั้งแต่การออกฉายของ Dr. No หนังภาคแรกเมื่อ 53 ปีก่อน ศิลปินหลายคนเคยได้รับเกียรติให้เป็นผู้ขับร้องเพลงเจมส์บอนด์มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Matt Monro, Tom Jones, Nancy Sinatra, Gladys Knight, Tina Turner, Sheryl Crow, Madonna และ Shirley Bassey ซึ่งเป็นผู้ที่ร้องเอาไว้มากที่สุด 3 เพลงจาก "Goldfinger" (1964), "Diamonds Are Forever" (1971) และ "Moonraker" (1979)
หนังภาคที่ 8 Live and Let Die ส่งให้เพลงชื่อเดียวกันซึ่งประพันธ์โดย Paul McCartney และ Linda ภรรยาของเขาในขณะนั้น เข้าชิงออสการ์เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 1973 นับเป็นเพลงเจมส์บอนด์เพลงแรกที่ได้เข้าชิงออสการ์
"The Look of Love" จาก Casino Royale ซึ่งขับร้องโดย Dusty Springfield , "Nobody Does It Better" จาก The Spy Who Loved Me ซึ่งขับร้องโดย Carly Simon และ "For Your Eyes Only" จาก For Your Eyes Only ซึ่งขับร้องโดย Sheena Easton เป็นอีก 3 เพลงถัดมาที่ได้เข้าชิงในปี 1967, 1977 และ 1981 ตามลำดับ ...ก่อนที่จะข้ามมาไกลถึง 31 ปีที่เพลงบอนด์ได้เข้าชิงออสการ์อีกครั้งเป็นครั้งที่ 5 และชนะไปในที่สุดในเพลง "Skyfall" จากหนังชื่อเดียวกันโดยฝีมือการประพันธ์ของ Adele และ Paul Epworth เมื่อปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่หนังชุดนี้อายุครบ 50 ปีพอดี
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่า Casino Royale ในปี 1967 จะมีตัวละครหลักเป็นเจมส์บอนด์ แต่โดยมากแล้วหนังเรื่องนี้มักจะไม่ถูกนับอยู่ในซีรีส์เจมส์บอนด์เหมือนกับหนังภาคอื่นๆ เนื่องจากไม่ได้สร้างโดย Eon Productions เจ้าของการผลิตเจมส์บอนด์ทั้ง 24 ภาคนั่นเอง (อีกหนึ่งหนังบอนด์ที่ไม่ถูกรวมในซีรีส์เจมส์บอนด์เช่นกันคือ Never Say Never Again ในปี 1983 ที่ดัดแปลงจากนิยายภาค 'Thunderball' ซึ่งเคยถูกนำมาสร้างโดย Eon Productions ไปแล้วในปี 1965) ...ทั้งนี้ Casino Royale มีลักษณะเป็นหนังตลกล้อเลียนเจมส์บอนด์ และบอนด์ภาคนี้รับบทโดยดาราออสการ์ David Niven ซึ่งเป็นตัวเลือกแรกสุดที่ Ian Fleming เจ้าของนิยายชุดนี้ต้องการให้มารับบทบอนด์ใน Dr. No
อนึ่ง เพลงบอนด์ที่ได้เข้าชิงออสการ์เกือบทุกเพลง ล้วนแล้วแต่สามารถไต่ชาร์ต Billboard Hot 100 ได้ถึง Top 10 ทั้งสิ้น โดย "Live and Let Die" และ "Nobody Does It Better" สามารถขึ้นได้ถึงอันดับ 2 ในขณะที่ "For Your Eyes Only"ไปได้ถึงอันดับ 4 และ "Skyfall" ไปได้ถึงอันดับ 8 มีเพียง "The Look of Love" เท่านั้นที่ทำได้แค่ Top 40 ...อย่างไรก็ตามเพลงบอนด์เพลงเดียวที่สามารถขึ้นถึงอันดับ 1 Billboard Hot 100 ได้ก็คือ "A View to a Kill" จาก A View to a Kill โดยวง Duran Duran ในปี 1985 ซึ่งครองอันดับ 1 อยู่นาน 2 สัปดาห์
ติดตามอ่านเรื่องราวสนุกๆ แบบนี้ได้อีกที่เพจ "EGOT Talking Club" จ้า ตามลิงค์เลย
https://www.facebook.com/EGOTTalkingClub