สวัสดีค่ะ จนถึงตอนนี้เรามาอยู่เกาหลีก็หลายเดือนพอสมควรแล้ว แต่เพิ่งจะมีเวลามาแชร์การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
จะค่อยๆ เล่าโดยละเอียดและหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ คนนะคะ
มาทำงานที่เกาหลีได้ยังไง?
บอกก่อนเลยว่าเราก่อนมาที่นี่เราไม่ได้มีความรู้ด้านภาษาเกาหลีเลยแม้แต่นิดเดียว(นอกจากติ่งบ้าง อ่านชื่อนักร้องได้บ้าง ฟังนู้นฟังนี่ในซีรีส์ออกบ้าง)
ย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2014 ตอนนั้นทำงานในบริษัทภาพยนตร์ที่นึงได้เกือบ 2 ปี หน้าที่คือเขียนสกู๊ป แปลนู่นนี่นั่น
เนื่องจากหน้าที่มันค่อนข้างเป็นรูทีนคือพอโปรโมทหนังจบเรื่องนึง เรื่องใหม่ก็มาอีกแล้วและต้องทำแบบเดิมซ้ำๆ
ในที่สุดเราก็เริ่มหมดไฟ.. เลยเริ่มหาทุนเรียนต่อป.โทฟรี และที่สนใจก็คือทุนรัฐบาลเกาหลีนั่นเอง
อาทิตย์สุดท้ายก่อนปีใหม่ เราก็เสิร์ชหาข้อมูลมหาวิทยาลัยในเว็บไซต์ไปเรื่อยๆ จนมาเจอประกาศรับสมัครนักแปลอังกฤษ-ไทยของบริษัทในเกาหลีทีนึง ด้วยหน้าทีงานเราที่ทำก็คือนักแปลกลายๆ มีประสบการณ์ 2 ปี คะแนนโทอิค 900 กว่าๆ เลยไม่รอช้า ยื่นเรซูเมสมัครไปทันที!
วันรุ่งขึ้นก็ได้รับอีเมลตอบกลับมาถามรายละเอียดข้อมูลต่างๆ ซึ่งเราก็ชิงบอกไปว่าเราไม่มีวีซ่าทำงานนะคะ และตอนนี้ยังอยู่ไทย
ทางบริษัทก็ส่งแบบทดสอบมาให้ทำ รอผลอยู่3-4วันเพราะติดปีใหม่ ในที่สุดก็ได้คำตอบมาว่าผ่าน รอสัมภาษณ์กับเจ้านายโลด!
การสัมภาษณ์กับเจ้านายคนเกาหลี(เจ้าของบริษัท)ทำผ่านสไกป์ค่ะ หลังจากได้คุยกันทางเจ้านายก็เล่าเรื่องประวัติบริษัทซึ่งสำนักงานใหญ่อยู่ที่แอลเอ และมีออฟฟิศในอีก 2 ประเทศคือเกาหลีกับจีน โดยก่อนหน้าที่เขาจะเลือกสัมภาษณ์เรานั้น
มีคนไทยทำข้อสอบไปแล้ว 10 กว่าคนและไม่ผ่านการพิจารณาสักคน(โธ่..)
ตัวเจ้านายเองก็เริ่มอาชีพนักแปลจากวงการภาพยนตร์ แปลซับไตเติ้ลมานับไม่ถ้วน เลยเป็นอีกสาเหตุที่เลือกรับเราเข้าทำงานนั่นเอง(เย่~)
สัมภาษณ์เป็นเวลา 40 นาทีก็ได้ข้อสรุปว่าจงไปลาออกจากที่ทำงานซะ และมาเทรนงานที่นี่ 3 เดือนแล้วยื่นเวิร์ควีซ่า
รวมขั้นตอนการสมัครและรับเข้าทำงาน 2 อาทิตย์เท่านั้นเอง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ จริงๆ ค่ะ
อีดีทข้อมูลเพิ่มนิดนึงว่า ตอนแรกเรายังไปแบบนักท่องเที่ยวนะคะ เพื่อไปฝึกเรื่องการทำงาน การใช้โปรแกรมต่างๆ
สถานะเลยเป็นเหมือนนักแปลฟรีแลนซ์ และรับเงินจากออฟฟิศอเมริกาค่ะ หลังจากนั้นทางบริษัทที่เกาหลีก็ยื่นเปลี่ยนสถานะวีซ่าให้
โดยที่ไม่ต้องกลับไทยก็ได้วีซ่า E-7 (บอกไว้ก่อนเผื่อใครสงสัยนะคะ
พาร์ทต่อไปจะเริ่มเล่าเรื่องการใช้ชีวิตที่เกาหลีนะคะ
รีวิวชีวิตมนุษย์เงินเดือนในเกาหลีและโกชิวอน(ที่พักรายเดือนในเกาหลี)ค่ะ
จะค่อยๆ เล่าโดยละเอียดและหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ คนนะคะ
มาทำงานที่เกาหลีได้ยังไง?
บอกก่อนเลยว่าเราก่อนมาที่นี่เราไม่ได้มีความรู้ด้านภาษาเกาหลีเลยแม้แต่นิดเดียว(นอกจากติ่งบ้าง อ่านชื่อนักร้องได้บ้าง ฟังนู้นฟังนี่ในซีรีส์ออกบ้าง)
ย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2014 ตอนนั้นทำงานในบริษัทภาพยนตร์ที่นึงได้เกือบ 2 ปี หน้าที่คือเขียนสกู๊ป แปลนู่นนี่นั่น
เนื่องจากหน้าที่มันค่อนข้างเป็นรูทีนคือพอโปรโมทหนังจบเรื่องนึง เรื่องใหม่ก็มาอีกแล้วและต้องทำแบบเดิมซ้ำๆ
ในที่สุดเราก็เริ่มหมดไฟ.. เลยเริ่มหาทุนเรียนต่อป.โทฟรี และที่สนใจก็คือทุนรัฐบาลเกาหลีนั่นเอง
อาทิตย์สุดท้ายก่อนปีใหม่ เราก็เสิร์ชหาข้อมูลมหาวิทยาลัยในเว็บไซต์ไปเรื่อยๆ จนมาเจอประกาศรับสมัครนักแปลอังกฤษ-ไทยของบริษัทในเกาหลีทีนึง ด้วยหน้าทีงานเราที่ทำก็คือนักแปลกลายๆ มีประสบการณ์ 2 ปี คะแนนโทอิค 900 กว่าๆ เลยไม่รอช้า ยื่นเรซูเมสมัครไปทันที!
วันรุ่งขึ้นก็ได้รับอีเมลตอบกลับมาถามรายละเอียดข้อมูลต่างๆ ซึ่งเราก็ชิงบอกไปว่าเราไม่มีวีซ่าทำงานนะคะ และตอนนี้ยังอยู่ไทย
ทางบริษัทก็ส่งแบบทดสอบมาให้ทำ รอผลอยู่3-4วันเพราะติดปีใหม่ ในที่สุดก็ได้คำตอบมาว่าผ่าน รอสัมภาษณ์กับเจ้านายโลด!
การสัมภาษณ์กับเจ้านายคนเกาหลี(เจ้าของบริษัท)ทำผ่านสไกป์ค่ะ หลังจากได้คุยกันทางเจ้านายก็เล่าเรื่องประวัติบริษัทซึ่งสำนักงานใหญ่อยู่ที่แอลเอ และมีออฟฟิศในอีก 2 ประเทศคือเกาหลีกับจีน โดยก่อนหน้าที่เขาจะเลือกสัมภาษณ์เรานั้น
มีคนไทยทำข้อสอบไปแล้ว 10 กว่าคนและไม่ผ่านการพิจารณาสักคน(โธ่..)
ตัวเจ้านายเองก็เริ่มอาชีพนักแปลจากวงการภาพยนตร์ แปลซับไตเติ้ลมานับไม่ถ้วน เลยเป็นอีกสาเหตุที่เลือกรับเราเข้าทำงานนั่นเอง(เย่~)
สัมภาษณ์เป็นเวลา 40 นาทีก็ได้ข้อสรุปว่าจงไปลาออกจากที่ทำงานซะ และมาเทรนงานที่นี่ 3 เดือนแล้วยื่นเวิร์ควีซ่า
รวมขั้นตอนการสมัครและรับเข้าทำงาน 2 อาทิตย์เท่านั้นเอง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ จริงๆ ค่ะ
อีดีทข้อมูลเพิ่มนิดนึงว่า ตอนแรกเรายังไปแบบนักท่องเที่ยวนะคะ เพื่อไปฝึกเรื่องการทำงาน การใช้โปรแกรมต่างๆ
สถานะเลยเป็นเหมือนนักแปลฟรีแลนซ์ และรับเงินจากออฟฟิศอเมริกาค่ะ หลังจากนั้นทางบริษัทที่เกาหลีก็ยื่นเปลี่ยนสถานะวีซ่าให้
โดยที่ไม่ต้องกลับไทยก็ได้วีซ่า E-7 (บอกไว้ก่อนเผื่อใครสงสัยนะคะ
พาร์ทต่อไปจะเริ่มเล่าเรื่องการใช้ชีวิตที่เกาหลีนะคะ