ก่อนอื่นก็ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าผมไม่เคยเขียนกระทู้มาก่อน ผมแค่อยากจะแชร์ประสบการณ์การเที่ยวกับเพื่อน
ผมคิดว่าหลายๆคนอาจจะไม่เคยลอง แต่หลายๆ คนก้เคยทำแบบผมแล้ว แต่การลองทำอะไรใหม่ๆที่เราไม่เคยทำ
มันเหมือนการ เปิดมุมมองใหม่ เป็นประสบกาณ์ใหม่ๆ มันทำให้เราตื่นเต้นได้มากจริงๆ
แล้วทำไมผมถึงตั้งหัวข้อว่า "ทริปกระทันหัน มันๆ กับเงินพันนึง"
กระทันหันยังไง จุดเริ่มต้นของทริปเกดแบบปุปปัป ภายในเวลาอันสั้นและไม่ได้มีการเตรียมตัวอะไรเลย มีแต่ใจที่อยากไป
มัน แบบไหน เนื่องจากเราไม่ได้เตรียมอะไรเลย พูดง่ายๆไปแบบโสตาย ไปแล้วไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง จะมีอะไรเซอไพร้เรารึป่าว
เงินพันนึง ก็ตามนั้นเลยครับ ผมถือเงินไปพันเดียวจริงๆ ผมและเพื่อนจะเจออะไรบ้างระหว่างการเดินทาง จะใช้เงินหนึ่งพันนี้ยังไงไปดูกันเลย
เข้าเรื่องเลยละกันครับ ทำไมถึงบอกว่าทริปนี้เป็นทริปกระทันหันนะครับ คือทริปนี้ที่ไปมีผมกับเพื่อน สนิทคนนึง เราใช้เวลาคุยกันและตัดสินใจเพียงไม่ถึง
5 นาที ซึ่งเรื่องมันเกิดที่สนามฟุตบอล ผมก็ไปเตะบอลตามปกติ แล้วเพื่อนผมไปหาที่สนามบอล พอผมออกมาพัก เพื่อนได้ถามผมว่า
E : เฮ้ยไปเปลี่ยนที่นอนกัน
I : ที่ไหนวะ...... ไปไง..... วันไหน
E : ทับเบิก ขับมอไซไป ไปพรุ่งนี้ (24 ตุลา)
I : แปป (โทรบอกแม่) เออ ไปรับกูที่ขนส่งน้ำพองนะ
E : เออได้
ในวันที่ 24 ตุลา ผมต้องไปสอบใบขับขี่ที่ขนส่งน้ำพอง สอบเสร็จ 15.30 น. เพื่อนผม ก็มารอรับทันที
15.45 น. ผมและเพื่อนก็ได้ออกเดินทางจากที่ทำการขนส่ง อ.น้ำพอง ซึ่งเส้นทางที่ใช้ เป็นเส้นทางหลัก ขอนแก่น-ชุมแพ-หล่มสัก-ทับเบิก
รถมอไซที่ใช้ก้เป็น Stallions CENTAUR 150 CC ของเพื่อนผม ป้ายก้ยังไม่มี ซึ่งรถเป็นทรง Cafe คนซ้อนนั่งยากมาก ผมกับเพื่อน ขับมาถึงชุมแพ
ก็ได้พักรถและหาอะไรกินพร้อมเติมน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ปั้ม ปตท. ทางออก อ.ชุมแพ เนื่องจากหลังจากนี้ จะเจอปั้มอีกทีก็หลังจากลงเขาแล้ว
ความเร็วเฉลี่ยที่ผมขับกับเพื่อนก็ 90-110 km/hr แล้วแต่สภาพถนน หลังจากเติมน้ำมันให้รถ เติมอาหารให้ท้องแล้ว ผมและเพื่อนก็ออกเดินทางต่อ
ช่วงนี้ผมเปลี่ยนมาขับ เพราะปวดก้น ซึ่งก็ขับไปเรื่อยๆ ระหว่างทางฝนก็รินตามทาง และถนนก็มืดมาก พอถึงอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวพวกเราก็แวะพักรถ และถ่ายรูปนิดหน่อย ช่วงค่ำๆหน้าอุทยาน จะมีกระต่ายออกมาหากินค่อนข้างเยอะ
พักรถ ถ่ายรูป รายงานสถานะการณ์แป๊บ (เต็นท์ผูกท้ายเลย เบาะนั่งยาก จะได้นั่งสบายๆสะหน่อย ป้ายทะเบียนก็ยังไม่มี)
พักเสร็จแล้ว ก็เดินทางต่อดีกว่า ไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานห้วยตอง (ช่วงอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว-สะพานห้วยตอง เป็นเส้นทางลงเขา คดเคียว บวกกับความมืด ไม่สามารถทำความเร็วได้และต้องขับแบบระวัง)พวกเราก็แวะถ่ายรูปที่สะพานห้วยตอง (เป็นสะพานที่มีตอหม้อสูงสุดในประเทศครับ บวกกับอุบัติเหตุบ่อยครั้ง)
วิวกลางคืนก็สวยไม่แพ้กลางวัน รถไม่ค่อยมี วังเวงเหมือนกันครับ ถนนว่างแบบนี้ก็ขอมุมสวยๆหน่อย
ได้เวลาไปต่อแล้วเดี๋ยวดึกครับ ผมกับเพื่อนก็ค่อยๆขับไปเรื่อยๆ ครับช่วงนี้ฝนก็เริ่มริน ริน อีกแล้วตลอดทาง ในที่สุดก็ถึง อ. หล่มสัก ได้แวะปั้ม ปตท. ตามเคยครับ (ไม่ได้เป็นอะไรกับ ปตท. นะครับ แต่คือจอดที่เดียวจบ ก็เลยต้องจอด)ซื้อเสบียง เตรียมขึ้นภู และแวะถามเส้นทางควรขึ้นทางไหนดีถึงจะไม่อันตราย ถามที่ไหนหละทีนี้เวลานี้ก็ 21.30 น. พนักงานเซเว่นเลยครับใกล้ตัวสุดละ เค้าแนะนำครับว่าไม่ควรขึ้นตอนนี้เพราะอันตราย แต่เนื่องจากเวลาจำกัดมาถึงนี่แล้วอีกนิดเดียว ไปไหนไปกัน Google ช่วยได้เลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดเลย Let's Go ใจมาแล้วรออะไร หลักจากออกจากปั้มเปลี่ยนมืออีกรอบ ให้เพื่อนขับ ผมก็ไปอยู่กับตูดมดต่อไป พอขับไปถึงตีนภู โอ้โหเลย ไม่มีรถขึ้นซักคัน มีผมและเพื่อน 1 คัน กำลังจะขึ้นไป ทางก็ชันมาก ไฟไม่มี ฝนพึ่งหยุดตก ขึ้นไปแล้วสี่ห้าทุ่มนอนที่ไหน จะมีที่ให้กางเต็นท์มั้ย ไม่มีใครตอบได้ครับ มีเพียงหันหน้าไปคุยกันว่า"เออถ้าไม่มีว่างตรงไหนก็ตรงนั้นแหละเรามีเต็นท์" สำหรับการขึ้นทับเบิกครั้งนี้ด้วยมอไซ ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ใช้พละกำลังมาก เนื่องด้วยรถไม่ได้ถูกดีไซมาให้ซ้อนครับเบาะรูปตูดมดเจอทางชันๆ เกิดอะไรขึ้นหละ ก็ไหลสิครับ ผมนี่ เกาะเพื่อนเปนลูกลิงเลย ทั้งเกาะทั้งเกร็งแขน แต่สุดท้ายก็ถึงยอดภูทับเบิกจนได้ ตอนนั้นเวลาก็ประมาน 22.30 น.แล้ว
และถือเป็นความโชคดีเล็กๆที่เราเลือกขึ้นไปดูจุดกางเต็นท์ของอุทยาน แล้วมีว่างพอดี และเจ้าหน้าที่อุทยานก็ยังไม่นอน ผมกับเพื่อนจึงได้ไปติดต่อเพื่อขอกางเต็นท์ มีเต็นท์มาเอง 50 บาทเบาๆครับค่าบำรุงรักษาสถานที่ พอเราได้ที่แล้วก็จัดการกางเต็นท์และเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมนอน แต่ก็ยังว่าราตรีนี้ยังอีกยาวไกลครับ อากาศเย็นๆ มันต้องคู่กับเบียร์เย็นๆ รอช้าอะไร ผมกับเพื่อนตรงไปที่ร้านค้าของอุทยานเลยครับ (ร้านปิดดึกมาก) เหนื่อยกับการเดินทาง+มาพักผ่อน ประเมินแล้วก็ 037 (LEO) ขวดเล็ก 10 ขวด กำลังดีหลับสบาย (ชุดแรกมีไหลคับ) หลังจากพวกเรารวบรวมหลังฐานเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการทำลายหลักฐาน ซึ่งก็เป็นเรื่องบังเอิญที่ผมและเพื่อนไปเจอกรุ๊ปของน้องๆที่เค้ามาก่อน พอดี เลยได้ไปแจม กับกรุ๊ปของน้องๆมาสองคนแต่ได้ตั้งวงเกือบสิบคนสนุกกันเลย หลังจากทำลายหลักฐานกันเรียบร้อย ก็แยกย้ายกันเข้านอน (หวังว่าเช้ามาจะได้เห็นทะเลหมอก ความหวังอันน้อยนิดเนื่องจากฝนตกทั้งวัน)
เอกอีเอ๊กเอก เอกอีเอ๊กเอก ไก่ขันแล้วเช้าแล้ว (ไม่มีนะครับไก่ภูเขา ผมเขียนขำๆให้รู้ว่าตื่นนแล้ว) เช้าแล้วสิ่งแรกที่ทำเลยคือลุ้นและเปิดเต็นท์ครับ ความหวังเล็กๆที่จะได้เจอทะเลหมอกต่อหน้า พอเปิดเต็นท์สิ่งที่อยู่ต่อหน้า คือหมอกปกคลุมทั่วพื้นที่อยู่กลางทะเลหมอกเลย (เมื่อวันฝนตกทั้งวันทำให้เมฆลอยขึ้นสูง และแล้วความหวังอันน้อยนิดก็ไม่ได้ดังหวัง แต่คิดซะว่า เรามาสัมผัสอีกฟิลลิ่งที่คนอื่นเค้าไม่นำเสนอละกัน ฮ่าๆ คิดบวกสาส)
แปดโมงกว่าแล้ว ยังมองไม่เห็นอะไรเลย
ภาพนี้อารมเหงาๆนิดนึง โดนแอบถ่าย
ยังกับมนุษย์กลายพันธุ์ เหมือนในหนัง ควบคุมเมฆหมอก เรียกมาปกคลุมพื้นที่ (บ้าบอมาก)
อีกสักภาพ ภาพพาโนรามา มุมบนของแปลงกะหล่ำ
เดินชมทั่วบริเวณชมทะเลหมอกมุมมองใหม่หาอะไรรองท้องกันสักพัก ผมกับเพื่อนก็เก็บเต็นท์ เพื่อเดินทางต่อ เพราะคุยกันว่าออกแต่เช้าจะได้แวะไปเรื่อยๆ ไม่รีบถึงบ้านก็เย็น ช่วงที่ผมและเพื่อน ออกจากจุดกางเต็นท์ของอุทยานก็ประมาน 9.30 น. แต่ก่อนเราจะเดินทางกลับกันได้แวะกินขาหมูหมั่นโถที่ร้านโรงเตี๊ยมก่อนครับ (เคยเห็นในรายการทีวี น่าอร่อย มาทั้งทีต้องไปลอง)
ระหว่างทางไปร้าน หมอกยังหนาอยู่
จัดมา 1 ชุดเบาๆ กินกัน 2 คน ราคาไม่แพงครับประมาน 350 บาท
"เห้ยจะกินหมดมั้ยวะ" บอกได้คำเดียวขาหมู กับหมั่นโถยังกับบิ๊กเมาเท่น (มันใหญ่มาก)
แต่พอกินไปเรื่อยๆ กินไม่หยุดปากเลย อร่อยมั้ยคงไม่ต้องพูดนะครับ ดูรูปก็คงบรรยายได้
หลังจากกินข้าวเสร็จผมและเพื่อนเตรียมเดินทางกลับ ตอนนั้นเวลาประมาน 11.00 น. ยังมีเวลาแวะเที่ยวได้ แต่ก่อนกลับเราตกลงกันว่าจะไปแวะภูหินร่องกล้ากันก่อน ช้าอยู่ใยเวลาเป็นเงินเป็นทอง ไปกันดีกว่า ค่าเข้าอุทยานก็ประมานคนละ 20 บาทครับ ระยะทางจากทางเข้าประมาน 20 กม. แต่ถนนค่อนข้างเสียหายเยอะ ทำให้ไม่สามารถทำความเร็วได้
ระหว่างทาง ถนนไม่ค่อยดีเช็ครถ นิดนึง
ไปถึงจุดท่องเที่ยวประมาน 12.00 น. ตรงดิ่งเข้าไปดูป้ายแผนที่ของอุทยาน เพื่อดูจุดท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งต้องจอดรถแล้วเดินไป ระยะทางทั้งหมดประมาน
3 กม. ผมกับเพื่อนเลยปรึกษากันเอายังไง เพราะปกติคนเราเดิน 3 กม./ชม. ไหนจะถ่ายรูปแต่ละที่ ตีไปซะ 2 ชม. ไหนจะขับรถกลับอีกกลัวดึก เลยตกลงกันว่างั้นเรากลับ พอดีมีเจ้าหน้าที่อุทยานท่านนึงมาแนะนำให้กลับอีกทางบอกทางนี้ไม่ชัน ผมกับเพื่อนก็เลยคิดว่ายังมีเวลา ปะงั้นเปิดเส้นทางใหม่ ไปตามเจ้าหน้าที่บอก (เจ้าหน้าที่บอกกว่าไกลกว่าสัก 30-40 กม. แต่ถนนดีทำความเร็วได้)
แวะถ่ายกับแผนที่อุทยาน นิดนึงเดี๋ยวเค้าว่ามาไม่ถึง
ขับไปสักพักช่วงแรกๆ ถนนก็ดีตามที่บอกวิวสวยครับ พอพ้นเขตอุทยาน เริ่มไม่ใช่ละไม่ต่างกันเลย ยังกับหลบหลุมระเบิด ขับไปได้ประมาน 30 กม. เริ่มไม่เห็นทางไป เริ่มสงสัยว่าเราหลงทาง ก็เลยเปิด Google Map ถึงกับร้อง อื้อหือ เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงจะถึงทางออกจริงๆก็ เกือบ 110 กม. เฮ้ยไม่ใช่ละ
งั้นหาเส้นทางใหม่เลย ตามเคยครับเปิดแผนที่ ไปเจอเส้นทางตัดผ่านตีนเขาเข้า ถนนใหญ่ครับ ปากทางเข้ามีป้ายใหญ่มาก บอกทางลัดไปเพชรบูรณ์
25 กม. เข้าถนนหลัก (คิดในใจ ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี) พวกเราก็ใช้เส้นทางนี้เลย แต่นอกเหนือจากป้ายบอกทางใหญ่ๆที่บอกไว้ปากทาง พอมาดูสภาพถนน ทำไมมันขัดกับป้ายที่ปักไว้จัง หาคอนกรีดหรือลาดยางไม่เจอ เจอแต่ดินแดงและทางลูกรัง
สภาพถนน เป็นแบบนี้ไม่ก็ แย่กว่านี้ครับ
แต่ก็คิดบวกไว้ก่อน คงเป็นแค่ปากทางมั้ง ไปต่อ ผ่านไป 5 กม. ก็แล้ว ผ่านป่ามัน ข้ามห้วยที่สะพานข้ามเป็นเพียง แผ่นคอนกรีด หน้า 2 นิ้ว วางต่อกัน
2 แผ่น จับเลขกิโล มาได้ 10 กว่ากิโลละ ครึ่งทางเอาไงเอากัน เดินหน้าอย่างเดียว ก็ไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ข้ามเขาที่เป็นทางชันโดนฝนพึ่งหยุดตกใหม่ๆ
ดินแฉะ รถไปไม่ได้ ลงเดินสิครับ พอพ้นเขาก็เจอป่ายาง หลงอีกรึป่าวไม่รู้ ตอนนี้ไม่รู้ตำแหน่งแผนที่เปิดไม่ได้ เดินหน้าอย่างเดียว จนแล้วจนรอดก็โผลออกถนนใหญ่จนได้ ตอนนั้นเวลาประมาน 14.30 น. หลุดออกมาจากป่าเขาแล้ว เปิด Map หาตำแหน่งเลยครับอยู่ส่วนไหนของโลกแล้ววะ ขอร้องอื้อหื้ออีกรอบเลย เพราะตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้ อยู่ในเขตจังหวัดพิษณุโลกห่างจาก อ. หล่มสัก 80 กม. เพลียเลยครับจังหวะนี้ แต่ก็นะ เข้าเส้นหลักได้แล้วหวังว่าคงไม่เจออะไรอีกนะ เช็คตำแหน่งเส้นทางเรียบร้อย มุ่งหน้ากลับบ้านอยู่เดียว กลัวจะถึงบ้านดึกเพราะวันถัดไปทำงาน และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกเมื่อพวกผมขับรถมาถึง อ.หนองเรือ ฟิวส์รถขาด ไฟรถดับหมด (ไฟช๊อตเพราะสายไฟที่เดินใต้บังโคน ขาดเพราะยางขูดเวลาตกหลุ่มบ่อยๆ)
ตอนนั้นเวลาประมาน 18.00 น. ฤดูหนาวก็มืดแล้ว ยังดีมีฟิวส์สำรอง 3 อัน ก็เปลี่ยน แต่แล้วก็ไม่ได้ผลเพราะ เปลี่ยนใหม่ขับไปได้อีกหน่อย ขาดอีกเหมือนเดิมจนฟิวส์หมด และแล้วก็ได้ใช้ตัวเลือกสุดท้าย คือโคมไฟเล็กๆที่เอาไว้ส่องสว่างในเต็นท์ เอามาผูกกระเป๋าเพื่อให้รถข้างหลังเห็น (กันตาย) ไฟหน้าไม่มี หลุมบ่ไม่สนละครับจังหวะนั้น รูดอย่างเดียว และแล้วก็ถึงขอนแก่นโดยสวัสดิภาพ ในเวลาประมาน 19.30 น. จบทริปนี้ประทับใจนะ ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก
รู้สึกว่าการมาทริปนี้ 1 วัน 1 คืน ใช้คุ้มมาก
ประเมินค่าใช้จ่าย ผมกับเพื่อนถือเงินคนละ 1000 บาท รวมเป็น 2000 บาท
- ค่าน้ำมัน ไป-กลับ 400 บาท
- ค่าสถานที่กางเต็นท์ 50 บาท
- ค่าเบียร์ + น้ำเเข็ง 1000 บาท (เกิดการไหลค่าเบียร์บานปลาย)
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด 150 บาท
- ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท
- ค่าขาหมูหมั่นโถ 350 บาท
รวมแล้ว 1990 บาท ใช้คุ้มจริงๆ
ปล.รูปอาจไม่ชัดและน้อยนิดนึงเพราะถ่ายจากมือถือ และตอนแรกไม่ได้กะจะอัพลง
ทริปกระทันหัน มันๆ กับเงิน 1000
ผมคิดว่าหลายๆคนอาจจะไม่เคยลอง แต่หลายๆ คนก้เคยทำแบบผมแล้ว แต่การลองทำอะไรใหม่ๆที่เราไม่เคยทำ
มันเหมือนการ เปิดมุมมองใหม่ เป็นประสบกาณ์ใหม่ๆ มันทำให้เราตื่นเต้นได้มากจริงๆ
แล้วทำไมผมถึงตั้งหัวข้อว่า "ทริปกระทันหัน มันๆ กับเงินพันนึง"
กระทันหันยังไง จุดเริ่มต้นของทริปเกดแบบปุปปัป ภายในเวลาอันสั้นและไม่ได้มีการเตรียมตัวอะไรเลย มีแต่ใจที่อยากไป
มัน แบบไหน เนื่องจากเราไม่ได้เตรียมอะไรเลย พูดง่ายๆไปแบบโสตาย ไปแล้วไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง จะมีอะไรเซอไพร้เรารึป่าว
เงินพันนึง ก็ตามนั้นเลยครับ ผมถือเงินไปพันเดียวจริงๆ ผมและเพื่อนจะเจออะไรบ้างระหว่างการเดินทาง จะใช้เงินหนึ่งพันนี้ยังไงไปดูกันเลย
เข้าเรื่องเลยละกันครับ ทำไมถึงบอกว่าทริปนี้เป็นทริปกระทันหันนะครับ คือทริปนี้ที่ไปมีผมกับเพื่อน สนิทคนนึง เราใช้เวลาคุยกันและตัดสินใจเพียงไม่ถึง
5 นาที ซึ่งเรื่องมันเกิดที่สนามฟุตบอล ผมก็ไปเตะบอลตามปกติ แล้วเพื่อนผมไปหาที่สนามบอล พอผมออกมาพัก เพื่อนได้ถามผมว่า
E : เฮ้ยไปเปลี่ยนที่นอนกัน
I : ที่ไหนวะ...... ไปไง..... วันไหน
E : ทับเบิก ขับมอไซไป ไปพรุ่งนี้ (24 ตุลา)
I : แปป (โทรบอกแม่) เออ ไปรับกูที่ขนส่งน้ำพองนะ
E : เออได้
ในวันที่ 24 ตุลา ผมต้องไปสอบใบขับขี่ที่ขนส่งน้ำพอง สอบเสร็จ 15.30 น. เพื่อนผม ก็มารอรับทันที
15.45 น. ผมและเพื่อนก็ได้ออกเดินทางจากที่ทำการขนส่ง อ.น้ำพอง ซึ่งเส้นทางที่ใช้ เป็นเส้นทางหลัก ขอนแก่น-ชุมแพ-หล่มสัก-ทับเบิก
รถมอไซที่ใช้ก้เป็น Stallions CENTAUR 150 CC ของเพื่อนผม ป้ายก้ยังไม่มี ซึ่งรถเป็นทรง Cafe คนซ้อนนั่งยากมาก ผมกับเพื่อน ขับมาถึงชุมแพ
ก็ได้พักรถและหาอะไรกินพร้อมเติมน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ปั้ม ปตท. ทางออก อ.ชุมแพ เนื่องจากหลังจากนี้ จะเจอปั้มอีกทีก็หลังจากลงเขาแล้ว
ความเร็วเฉลี่ยที่ผมขับกับเพื่อนก็ 90-110 km/hr แล้วแต่สภาพถนน หลังจากเติมน้ำมันให้รถ เติมอาหารให้ท้องแล้ว ผมและเพื่อนก็ออกเดินทางต่อ
ช่วงนี้ผมเปลี่ยนมาขับ เพราะปวดก้น ซึ่งก็ขับไปเรื่อยๆ ระหว่างทางฝนก็รินตามทาง และถนนก็มืดมาก พอถึงอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวพวกเราก็แวะพักรถ และถ่ายรูปนิดหน่อย ช่วงค่ำๆหน้าอุทยาน จะมีกระต่ายออกมาหากินค่อนข้างเยอะ
พักรถ ถ่ายรูป รายงานสถานะการณ์แป๊บ (เต็นท์ผูกท้ายเลย เบาะนั่งยาก จะได้นั่งสบายๆสะหน่อย ป้ายทะเบียนก็ยังไม่มี)
พักเสร็จแล้ว ก็เดินทางต่อดีกว่า ไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานห้วยตอง (ช่วงอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว-สะพานห้วยตอง เป็นเส้นทางลงเขา คดเคียว บวกกับความมืด ไม่สามารถทำความเร็วได้และต้องขับแบบระวัง)พวกเราก็แวะถ่ายรูปที่สะพานห้วยตอง (เป็นสะพานที่มีตอหม้อสูงสุดในประเทศครับ บวกกับอุบัติเหตุบ่อยครั้ง)
วิวกลางคืนก็สวยไม่แพ้กลางวัน รถไม่ค่อยมี วังเวงเหมือนกันครับ ถนนว่างแบบนี้ก็ขอมุมสวยๆหน่อย
ได้เวลาไปต่อแล้วเดี๋ยวดึกครับ ผมกับเพื่อนก็ค่อยๆขับไปเรื่อยๆ ครับช่วงนี้ฝนก็เริ่มริน ริน อีกแล้วตลอดทาง ในที่สุดก็ถึง อ. หล่มสัก ได้แวะปั้ม ปตท. ตามเคยครับ (ไม่ได้เป็นอะไรกับ ปตท. นะครับ แต่คือจอดที่เดียวจบ ก็เลยต้องจอด)ซื้อเสบียง เตรียมขึ้นภู และแวะถามเส้นทางควรขึ้นทางไหนดีถึงจะไม่อันตราย ถามที่ไหนหละทีนี้เวลานี้ก็ 21.30 น. พนักงานเซเว่นเลยครับใกล้ตัวสุดละ เค้าแนะนำครับว่าไม่ควรขึ้นตอนนี้เพราะอันตราย แต่เนื่องจากเวลาจำกัดมาถึงนี่แล้วอีกนิดเดียว ไปไหนไปกัน Google ช่วยได้เลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดเลย Let's Go ใจมาแล้วรออะไร หลักจากออกจากปั้มเปลี่ยนมืออีกรอบ ให้เพื่อนขับ ผมก็ไปอยู่กับตูดมดต่อไป พอขับไปถึงตีนภู โอ้โหเลย ไม่มีรถขึ้นซักคัน มีผมและเพื่อน 1 คัน กำลังจะขึ้นไป ทางก็ชันมาก ไฟไม่มี ฝนพึ่งหยุดตก ขึ้นไปแล้วสี่ห้าทุ่มนอนที่ไหน จะมีที่ให้กางเต็นท์มั้ย ไม่มีใครตอบได้ครับ มีเพียงหันหน้าไปคุยกันว่า"เออถ้าไม่มีว่างตรงไหนก็ตรงนั้นแหละเรามีเต็นท์" สำหรับการขึ้นทับเบิกครั้งนี้ด้วยมอไซ ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ใช้พละกำลังมาก เนื่องด้วยรถไม่ได้ถูกดีไซมาให้ซ้อนครับเบาะรูปตูดมดเจอทางชันๆ เกิดอะไรขึ้นหละ ก็ไหลสิครับ ผมนี่ เกาะเพื่อนเปนลูกลิงเลย ทั้งเกาะทั้งเกร็งแขน แต่สุดท้ายก็ถึงยอดภูทับเบิกจนได้ ตอนนั้นเวลาก็ประมาน 22.30 น.แล้ว
และถือเป็นความโชคดีเล็กๆที่เราเลือกขึ้นไปดูจุดกางเต็นท์ของอุทยาน แล้วมีว่างพอดี และเจ้าหน้าที่อุทยานก็ยังไม่นอน ผมกับเพื่อนจึงได้ไปติดต่อเพื่อขอกางเต็นท์ มีเต็นท์มาเอง 50 บาทเบาๆครับค่าบำรุงรักษาสถานที่ พอเราได้ที่แล้วก็จัดการกางเต็นท์และเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมนอน แต่ก็ยังว่าราตรีนี้ยังอีกยาวไกลครับ อากาศเย็นๆ มันต้องคู่กับเบียร์เย็นๆ รอช้าอะไร ผมกับเพื่อนตรงไปที่ร้านค้าของอุทยานเลยครับ (ร้านปิดดึกมาก) เหนื่อยกับการเดินทาง+มาพักผ่อน ประเมินแล้วก็ 037 (LEO) ขวดเล็ก 10 ขวด กำลังดีหลับสบาย (ชุดแรกมีไหลคับ) หลังจากพวกเรารวบรวมหลังฐานเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการทำลายหลักฐาน ซึ่งก็เป็นเรื่องบังเอิญที่ผมและเพื่อนไปเจอกรุ๊ปของน้องๆที่เค้ามาก่อน พอดี เลยได้ไปแจม กับกรุ๊ปของน้องๆมาสองคนแต่ได้ตั้งวงเกือบสิบคนสนุกกันเลย หลังจากทำลายหลักฐานกันเรียบร้อย ก็แยกย้ายกันเข้านอน (หวังว่าเช้ามาจะได้เห็นทะเลหมอก ความหวังอันน้อยนิดเนื่องจากฝนตกทั้งวัน)
เอกอีเอ๊กเอก เอกอีเอ๊กเอก ไก่ขันแล้วเช้าแล้ว (ไม่มีนะครับไก่ภูเขา ผมเขียนขำๆให้รู้ว่าตื่นนแล้ว) เช้าแล้วสิ่งแรกที่ทำเลยคือลุ้นและเปิดเต็นท์ครับ ความหวังเล็กๆที่จะได้เจอทะเลหมอกต่อหน้า พอเปิดเต็นท์สิ่งที่อยู่ต่อหน้า คือหมอกปกคลุมทั่วพื้นที่อยู่กลางทะเลหมอกเลย (เมื่อวันฝนตกทั้งวันทำให้เมฆลอยขึ้นสูง และแล้วความหวังอันน้อยนิดก็ไม่ได้ดังหวัง แต่คิดซะว่า เรามาสัมผัสอีกฟิลลิ่งที่คนอื่นเค้าไม่นำเสนอละกัน ฮ่าๆ คิดบวกสาส)
แปดโมงกว่าแล้ว ยังมองไม่เห็นอะไรเลย
ภาพนี้อารมเหงาๆนิดนึง โดนแอบถ่าย
ยังกับมนุษย์กลายพันธุ์ เหมือนในหนัง ควบคุมเมฆหมอก เรียกมาปกคลุมพื้นที่ (บ้าบอมาก)
อีกสักภาพ ภาพพาโนรามา มุมบนของแปลงกะหล่ำ
เดินชมทั่วบริเวณชมทะเลหมอกมุมมองใหม่หาอะไรรองท้องกันสักพัก ผมกับเพื่อนก็เก็บเต็นท์ เพื่อเดินทางต่อ เพราะคุยกันว่าออกแต่เช้าจะได้แวะไปเรื่อยๆ ไม่รีบถึงบ้านก็เย็น ช่วงที่ผมและเพื่อน ออกจากจุดกางเต็นท์ของอุทยานก็ประมาน 9.30 น. แต่ก่อนเราจะเดินทางกลับกันได้แวะกินขาหมูหมั่นโถที่ร้านโรงเตี๊ยมก่อนครับ (เคยเห็นในรายการทีวี น่าอร่อย มาทั้งทีต้องไปลอง)
ระหว่างทางไปร้าน หมอกยังหนาอยู่
จัดมา 1 ชุดเบาๆ กินกัน 2 คน ราคาไม่แพงครับประมาน 350 บาท
"เห้ยจะกินหมดมั้ยวะ" บอกได้คำเดียวขาหมู กับหมั่นโถยังกับบิ๊กเมาเท่น (มันใหญ่มาก)
แต่พอกินไปเรื่อยๆ กินไม่หยุดปากเลย อร่อยมั้ยคงไม่ต้องพูดนะครับ ดูรูปก็คงบรรยายได้
หลังจากกินข้าวเสร็จผมและเพื่อนเตรียมเดินทางกลับ ตอนนั้นเวลาประมาน 11.00 น. ยังมีเวลาแวะเที่ยวได้ แต่ก่อนกลับเราตกลงกันว่าจะไปแวะภูหินร่องกล้ากันก่อน ช้าอยู่ใยเวลาเป็นเงินเป็นทอง ไปกันดีกว่า ค่าเข้าอุทยานก็ประมานคนละ 20 บาทครับ ระยะทางจากทางเข้าประมาน 20 กม. แต่ถนนค่อนข้างเสียหายเยอะ ทำให้ไม่สามารถทำความเร็วได้
ระหว่างทาง ถนนไม่ค่อยดีเช็ครถ นิดนึง
ไปถึงจุดท่องเที่ยวประมาน 12.00 น. ตรงดิ่งเข้าไปดูป้ายแผนที่ของอุทยาน เพื่อดูจุดท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งต้องจอดรถแล้วเดินไป ระยะทางทั้งหมดประมาน
3 กม. ผมกับเพื่อนเลยปรึกษากันเอายังไง เพราะปกติคนเราเดิน 3 กม./ชม. ไหนจะถ่ายรูปแต่ละที่ ตีไปซะ 2 ชม. ไหนจะขับรถกลับอีกกลัวดึก เลยตกลงกันว่างั้นเรากลับ พอดีมีเจ้าหน้าที่อุทยานท่านนึงมาแนะนำให้กลับอีกทางบอกทางนี้ไม่ชัน ผมกับเพื่อนก็เลยคิดว่ายังมีเวลา ปะงั้นเปิดเส้นทางใหม่ ไปตามเจ้าหน้าที่บอก (เจ้าหน้าที่บอกกว่าไกลกว่าสัก 30-40 กม. แต่ถนนดีทำความเร็วได้)
แวะถ่ายกับแผนที่อุทยาน นิดนึงเดี๋ยวเค้าว่ามาไม่ถึง
ขับไปสักพักช่วงแรกๆ ถนนก็ดีตามที่บอกวิวสวยครับ พอพ้นเขตอุทยาน เริ่มไม่ใช่ละไม่ต่างกันเลย ยังกับหลบหลุมระเบิด ขับไปได้ประมาน 30 กม. เริ่มไม่เห็นทางไป เริ่มสงสัยว่าเราหลงทาง ก็เลยเปิด Google Map ถึงกับร้อง อื้อหือ เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงจะถึงทางออกจริงๆก็ เกือบ 110 กม. เฮ้ยไม่ใช่ละ
งั้นหาเส้นทางใหม่เลย ตามเคยครับเปิดแผนที่ ไปเจอเส้นทางตัดผ่านตีนเขาเข้า ถนนใหญ่ครับ ปากทางเข้ามีป้ายใหญ่มาก บอกทางลัดไปเพชรบูรณ์
25 กม. เข้าถนนหลัก (คิดในใจ ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี) พวกเราก็ใช้เส้นทางนี้เลย แต่นอกเหนือจากป้ายบอกทางใหญ่ๆที่บอกไว้ปากทาง พอมาดูสภาพถนน ทำไมมันขัดกับป้ายที่ปักไว้จัง หาคอนกรีดหรือลาดยางไม่เจอ เจอแต่ดินแดงและทางลูกรัง
สภาพถนน เป็นแบบนี้ไม่ก็ แย่กว่านี้ครับ
แต่ก็คิดบวกไว้ก่อน คงเป็นแค่ปากทางมั้ง ไปต่อ ผ่านไป 5 กม. ก็แล้ว ผ่านป่ามัน ข้ามห้วยที่สะพานข้ามเป็นเพียง แผ่นคอนกรีด หน้า 2 นิ้ว วางต่อกัน
2 แผ่น จับเลขกิโล มาได้ 10 กว่ากิโลละ ครึ่งทางเอาไงเอากัน เดินหน้าอย่างเดียว ก็ไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ข้ามเขาที่เป็นทางชันโดนฝนพึ่งหยุดตกใหม่ๆ
ดินแฉะ รถไปไม่ได้ ลงเดินสิครับ พอพ้นเขาก็เจอป่ายาง หลงอีกรึป่าวไม่รู้ ตอนนี้ไม่รู้ตำแหน่งแผนที่เปิดไม่ได้ เดินหน้าอย่างเดียว จนแล้วจนรอดก็โผลออกถนนใหญ่จนได้ ตอนนั้นเวลาประมาน 14.30 น. หลุดออกมาจากป่าเขาแล้ว เปิด Map หาตำแหน่งเลยครับอยู่ส่วนไหนของโลกแล้ววะ ขอร้องอื้อหื้ออีกรอบเลย เพราะตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้ อยู่ในเขตจังหวัดพิษณุโลกห่างจาก อ. หล่มสัก 80 กม. เพลียเลยครับจังหวะนี้ แต่ก็นะ เข้าเส้นหลักได้แล้วหวังว่าคงไม่เจออะไรอีกนะ เช็คตำแหน่งเส้นทางเรียบร้อย มุ่งหน้ากลับบ้านอยู่เดียว กลัวจะถึงบ้านดึกเพราะวันถัดไปทำงาน และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกเมื่อพวกผมขับรถมาถึง อ.หนองเรือ ฟิวส์รถขาด ไฟรถดับหมด (ไฟช๊อตเพราะสายไฟที่เดินใต้บังโคน ขาดเพราะยางขูดเวลาตกหลุ่มบ่อยๆ)
ตอนนั้นเวลาประมาน 18.00 น. ฤดูหนาวก็มืดแล้ว ยังดีมีฟิวส์สำรอง 3 อัน ก็เปลี่ยน แต่แล้วก็ไม่ได้ผลเพราะ เปลี่ยนใหม่ขับไปได้อีกหน่อย ขาดอีกเหมือนเดิมจนฟิวส์หมด และแล้วก็ได้ใช้ตัวเลือกสุดท้าย คือโคมไฟเล็กๆที่เอาไว้ส่องสว่างในเต็นท์ เอามาผูกกระเป๋าเพื่อให้รถข้างหลังเห็น (กันตาย) ไฟหน้าไม่มี หลุมบ่ไม่สนละครับจังหวะนั้น รูดอย่างเดียว และแล้วก็ถึงขอนแก่นโดยสวัสดิภาพ ในเวลาประมาน 19.30 น. จบทริปนี้ประทับใจนะ ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก
รู้สึกว่าการมาทริปนี้ 1 วัน 1 คืน ใช้คุ้มมาก
ประเมินค่าใช้จ่าย ผมกับเพื่อนถือเงินคนละ 1000 บาท รวมเป็น 2000 บาท
- ค่าน้ำมัน ไป-กลับ 400 บาท
- ค่าสถานที่กางเต็นท์ 50 บาท
- ค่าเบียร์ + น้ำเเข็ง 1000 บาท (เกิดการไหลค่าเบียร์บานปลาย)
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด 150 บาท
- ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท
- ค่าขาหมูหมั่นโถ 350 บาท
รวมแล้ว 1990 บาท ใช้คุ้มจริงๆ
ปล.รูปอาจไม่ชัดและน้อยนิดนึงเพราะถ่ายจากมือถือ และตอนแรกไม่ได้กะจะอัพลง