ปิดฉากสัญญาทีโอที-เอไอเอส จบ 25 ปีด้วยจดหมายทวงหนี้ 7 หมื่นล้าน

กระทู้ข่าว

          30 ก.ย.2558 ปิดฉากสัมปทาน “ไม่หวาน” ระหว่างทีโอที-เอไอเอส หลังฝ่ายแรกกำลังพยายามเต็มที่ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานมูลค่า 72,000 ล้านบาท และขอให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีกับคู่สัญญา 25 ปี ด้านซีอีโอ “เอไอเอส” กล่าวขอบคุณ อยากฉลองทำบุญด้วยกัน แต่ทำไม่ได้

          นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส เปิดเผยความในใจในวันสิ้นสุดสัญญาร่วมการงานวันที่ 30 ก.ย.ว่า หากมองย้อนไปเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา ยุคนั้นบริการสื่อสารยังมีจำกัด การจะได้เบอร์โทรศัพท์แต่ละเลขหมาย ใช้เวลารอคอยเป็นเวลานาน เนื่องจากรัฐมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ แต่เมื่อภาครัฐโดยบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ริเริ่มรูปแบบของสัญญาร่วมการงานและเลือกเอไอเอสเป็นคู่สัญญา ก็ได้เกิดมิติใหม่ที่ภาครัฐไม่ต้องใช้งบประมาณลงทุนเอง จนปัจจุบันได้ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก ทั้งในระดับของรัฐ เอกชน และประชาชน และนี่ถือเป็นผลงานของทีโอที ที่ได้สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศ โดยเอไอเอสในฐานะคู่สัญญา ที่ร่วมทำภารกิจนี้มาด้วยกัน ก็มีความภาคภูมิใจและหวังจะได้เดินร่วมกันต่อไปในอนาคต

          ยืนยันความสำเร็จสัมปทาน
          “ผมกล้าพูดได้เลยว่า สัญญาระหว่างทีโอทีกับเอไอเอส เป็นกรณีที่ประสบความสำเร็จที่สุด ทั้งในแง่ของการสร้างโครงข่ายสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วประเทศครั้งแรกให้แก่คนไทย ทั้งในมุมของลูกค้าที่ได้รับประโยชน์ ส่วนในมุมของทีโอทีนั้น เอไอเอสได้ส่งมอบทรัพย์สินแบบไม่เคยบิดพลิ้วเลยเป็นเงิน 186,000 ล้านบาท และยังมีส่วนแบ่งรายได้ตลอด 25 ปี เป็นเงินมากกว่า 240,000 ล้านบาทด้วย รวมๆแล้วเป็นเงินหลายแสนล้านบาท ไม่รวมเรื่องของภาษีที่เกิดจากการสร้างงานต่อเนื่อง ทั้งจากการค้าของบริษัท, ภาษีบุคคล”

          “ผมเชื่อมั่นว่าเราได้ประพฤติตัวเป็นคู่สัญญาที่ดี ไม่บิดพลิ้วในเงื่อนไขทั้งหมด แม้แต่ในกรณีของเสาโทรคมนาคม ซึ่งเราก็ได้ทำการโอนให้กับทีโอทีไปแล้ว แต่ในปัจจุบันเราต้องโต้แย้ง เพราะเมื่อมีคู่สัญญารายอื่นซึ่งอยู่ในสัญญาร่วมการงานแบบ BTO (Build Transfer Operate) เหมือนกันไม่ต้องส่งมอบเสาโทรคมนาคม เราในฐานะองค์กรมืออาชีพ ก็มีหน้าที่ต้องปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ด้วยการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน จึงยึดหลักเดียวกันในกรณีเดียวกันนี้ไว้ก่อน”

          จนถึงวันนี้ ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญา เอไอเอสก็ยังมีความตั้งใจดีที่จะทำงานกับทีโอทีต่อไป ในฐานะที่เป็นเหมือนองค์กรที่ทำให้เอไอเอสเกิดขึ้นมา โดยได้เสนอข้อเสนอต่างๆ ในฐานะพันธมิตร ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างประโยชน์ให้แก่ทีโอทีและประเทศ อาทิ กรณีการส่งมอบเสาโทรคมนาคมทั้งหมด เพื่อลดข้อโต้แย้งที่ต้องต่อสู้กันอีกยาวนาน จึงเสนอให้โอนเสาโทรคมนาคมให้กับทีโอที โดยบริษัทขอใช้สิทธิ์ในการที่จะซื้อคืนทรัพย์สินมาเพื่อดำเนินการต่อไปในอนาคต อันจะก่อให้เกิดประโยชน์กับทีโอทีเป็นอย่างมากใน 3 ข้อด้วยกัน คือ เงินสดที่ทีโอทีจะได้ในทันทีจากมูลค่าเสาโทรคมนาคม 51% และทีโอที ได้หุ้นอย่างน้อย 49% ในส่วนที่เหลือ โดยทีโอทีสามารถมั่นใจได้ว่า จะมีรายได้ต่อไปในอนาคต เพราะจะมีการเช่าใช้งานจากเอไอเอสอย่างต่อเนื่อง ดีกว่าที่ทีโอทีจะไปดำเนินธุรกิจเอง ซึ่งปัจจุบันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากมีต้นทุนอื่นอีกมากมาย ดังนั้นหากหาผู้เช่าไม่ได้ นอกจากทีโอทีจะไม่มีรายได้จากค่าเช่าแล้ว ทีโอทียังต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม คือ ค่าเช่าพื้นที่อีกในอนาคตด้วย

          เอไอเอสตัดพ้อน้อยใจทีโอที
          “นี่คือสิ่งที่เอไอเอสเสนอเข้าไปด้วยความตั้งใจดีและเชื่อว่าจะเป็นหนทางในการแก้ไขข้อพิพาทได้อย่างดียิ่ง แต่ทีโอทีก็พิจารณาเรื่องนี้อย่างล่าช้า เราเองก็พยายามเข้าใจว่า อาจเกิดจากความล่าช้าในขั้นตอน หรือกฎระเบียบภายใน แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ว่า ด้วยสิ่งที่พยายามเสนอเข้าไปเน้นการสร้างประโยชน์ให้แก่ทีโอทีเป็นอย่างยิ่ง”

          แม้แต่กรณีของคลื่น 2100 MHz ที่เอไอเอสได้เสนอข้อเสนอให้แก่ทีโอทีตั้งแต่ปี 2556 ว่า ทีโอทีมีทรัพย์สิน 2 อย่าง คือ 1.อุปกรณ์ 2100 MHz ที่ลงทุนไปมากกว่า 16,000 ล้านบาท มีภาระดอกเบี้ยและการดำเนินการกว่า 1,800 ล้านบาทต่อปี เอไอเอสอยากเสนอตัวเข้าไปช่วย

          ทีโอที ในลักษณะธุรกิจที่ทีโอทีสามารถอนุมัติและบริหารภายในอำนาจของทีโอที ไม่ว่าจะเป็นแบบ MVNO หรือการเช่าซื้อบริการ (Capacity) จากทีโอที ซึ่งหากเซ็นสัญญากับเอไอเอส ทีโอทีจะได้เงินทันทีปีละอย่างน้อย 3,000 ล้านบาท และหากทีโอทีเห็นว่าในอนาคตจะมีพาร์ตเนอร์รายใหม่ที่มีข้อเสนอดีกว่า เอไอเอสก็ยินดียกเลิกสัญญาให้ทีโอทีไปอยู่กับรายใหม่ได้เลย ซึ่งประเด็นนี้ เมื่อเสนอเข้าไปก็ติดกระบวนการพิจารณาภายในอีก จนทำให้ทีโอทีเสียโอกาสทางธุรกิจมาเป็นปี เพราะถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้ข้อสรุป

          “ผมขอยืนยันว่า เอไอเอสเป็นบริษัทมหาชน มีผู้ถือหุ้นเป็นนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อย ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองหรืออดีตผู้ก่อตั้งแล้ว รวมทั้งดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสมาตลอดและพร้อมรับการตรวจสอบเสมอ ยกตัวอย่างเช่น การแก้ไขสัญญาร่วมการงานต่างๆ ซึ่งเป็นปกติของสัญญาด้านโทรคมนาคม ซึ่งมีเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอด ต้องมีการปรับแก้สัญญาเมื่อเกิดสินค้าหรือบริการใหม่ๆ อย่างเช่น โทรศัพท์ระบบเติมเงิน (Prepaid) ก็มีการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 6 โดยผู้ประกอบการรายอื่นๆ ก็มีการแก้ไขสัญญาในเรื่องต่างๆ เหมือนกัน แต่เอไอเอสเป็นรายเดียวที่ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น”

          เผยอยากฉลอง–ทำบุญร่วมกัน
          “สมัยพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นประธานบอร์ดทีโอที เมื่อปี 2550 ก็ได้แต่งตั้ง พล.ต.ท.จงรักษ์ จุฑานนท์ (ยศขณะนั้น) เป็นประธานตรวจสอบการแก้สัญญาร่วมการงาน ก็ได้เข้ามาตรวจสอบการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 6 นี้ และสรุปว่าไม่มีพฤติการณ์อันส่อเจตนาหลีกเลี่ยงการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดและไม่ปรากฏความเสียหายแก่ทีโอที ต้องยอมรับว่าท่านพลเอกสพรั่ง เป็นนายทหารที่ดี มีหลักการ และยุติธรรม เมื่อไม่พบข้อผิดกฎหมายแต่อย่างใด ท่านก็เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะยุติเรื่องดังกล่าวลง”

          “ผมยังเห็นว่า ทีโอทีเป็นองค์กรที่มีศักยภาพ มีโอกาสในการเติบโต ในฐานะหน่วยงานหลักด้านระบบสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศ เพียงแต่ต้องกล้าตัดสินใจ เพื่อบริหารองค์กรแบบสมเหตุผลตามความเป็นจริง และถูกต้องตามกฎระเบียบ แต่ไม่ใช่อ้างแค่กฎระเบียบเพื่อปกป้องการทำงานของตนเอง”

          “วันนี้ผมอยากบอกทีโอทีว่า เอไอเอสรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับทีโอทีมาตลอดเวลา 25 ปี และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่สนับสนุนกันมาโดยตลอด ผมอยากฉลองและร่วมทำบุญกับทีโอทีแต่กลับทำไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามกลับต้องนั่งรอหนังสือที่ทีโอที จะส่งมาทวงค่าเสียหายแทน ในวันสุดท้ายของสัญญา”

          นายอุตตม สาวนายน รมว.ไอซีที เปิดเผยว่า การยื่นขอคงสิทธิ์การใช้คลื่นความถี่ 900 MHz ของทีโอที เป็นสิทธิ์ที่กระทำได้ แต่ต้องอยู่บนหลักการของกฎหมาย ซึ่งขณะนี้ยังมีเวลาในการพิจารณา 2-3 เดือน

          เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ประกาศไว้ว่าจะเปิดประมูลคลื่น 900 ราวเดือน ธ.ค.58 ซึ่งทีโอทีจะต้องนำเสนอแผนธุรกิจ กรณีมีและไม่มีคลื่นความถี่ 900 ให้ชัดเจนเพื่อประกอบการตัดสินใจของรัฐบาล และขณะนี้ทีโอทียังไม่ได้นำเสนอแผนธุรกิจแต่อย่างใด

          บอร์ดทีโอทีกลุ้ม! ยกทีมออก
          นายอนุชิต ธูปเหลือง ประธานสหภาพทีโอที กล่าวว่า ที่ผ่านมาฝ่ายบริหารพยายามเสนอแผนธุรกิจให้คณะกรรมการ (บอร์ด) ทีโอที พิจารณามาโดยตลอด แต่บอร์ดไม่เห็นชอบและให้กลับไปทำแผนมาใหม่ ทำให้เกิดความล่าช้าในแผนธุรกิจมาก โดยในวันนี้ (30 ก.ย.) สหภาพทีโอที ได้ระดมพนักงานทีโอทีทั่วประเทศ เดินทางไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ให้รับทราบถึงจุดยืนของทีโอที ว่าทีโอทียังคงมีสิทธิ์ในการใช้คลื่นความถี่ 900

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากปัญหาการบริหารจัดการภายในทีโอทีนั้น ทำให้นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นบอร์ดทีโอทีแล้ว โดยนายสุรนันท์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ นายชิต เหล่าวัฒนา นายธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการทีโอที ที่ไม่เห็นด้วยกับการคงสิทธิ์การใช้คลื่น 900 เพราะตามหลัก พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 (พ.ร.บ. กสทช.) เมื่อสัมปทานสิ้นสุด คลื่นต้องเป็นสิทธิ์ของกสทช.เพื่อนำไปประมูลต่อได้ โดยบุคคลเหล่านั้นได้ถูกสหภาพทีโอทีออกแถลงการณ์ให้ลาออกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

          ด้าน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยอยากประคับประคองให้ทีโอทีทำธุรกิจต่อไปหลังหมดสัมปทานคลื่น 900 MHz ซึ่งทีโอทีอยู่คู่กับคนไทยมานาน และมีบุคลากรกว่า 20,000 คน ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีก็ต้องการให้ทุกอย่างดำเนินการไปตามกฎหมาย.

ขอขอบคุณแหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558 (หน้า 9)
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  tot AIS 3G Mobile Operator AIS 3G 2100
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่