สวัสดีค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการเขียนรีวิว ถ้าผิดพลาดประการใดต้องของอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะจ๊ะ
รีวิวทำมาเพื่อต้องการแชร์ความประทับใจที่มีต่อประเทศญี่ปุ่นที่ได้ไปสัมผัสมาค่ะ ครั้งนี้เราไปที่
โอซาก้า (Osaka) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครัวของประเทศญี่ปุ่น แน่นอนว่าเราต้องไม่พลาดเรื่องของกินและที่ขึ้นชื่อก็คงเป็น
ทาโกะยากิ (Takoyaki) โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki) ที่การันตีความนุ่มจนละลายในปากเลย เราจองตั๋วเครื่องบินไปกันประมาณ 5-6 วัน เราเดินทางวันที่ 30 ก.ค. กลับวันที่ 4 ส.ค. ซึ่งช่วงนี้จะเข้าหน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่น เลยทำให้ตั๋วเครื่องบินราคาถูก. อาจเป็นเพราะว่าเป็นช่วง Low season ด้วย เราซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับประมาณ 15,000 บาท รวมค่าน้ำหนักกระเป๋า 20 Kgแล้ว ตอนนั้นก็มีคนทักท้วงเยอะเหมือนกันว่า "จะไปทำไรช่วงนี้ไม่มีซากุระ ไม่มีหิมะ จะไปดูอะไรกัน???" แต่เราคิดว่าอยากลองไปเที่ยวดูและอยากเห็นความเป็นญี่ปุ่นจริงๆ เราสองคนกับเพื่อนนั่งอ่านรีวิวเพื่อหาข้อมูลอยู่ประมาณ 2 เดือน สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปและเดินทางไปด้วยตัวเองคิดว่าต้องเตรียมตัวไปดีๆค่ะ เพราะประเทศญี่ปุ่นมีรถไฟหลายสายมากอาจจะหลงทางได้ เราเองที่คิดว่าเตรียมตัวไปดีแล้วยังหลงทางเกือบไปเช็คอินขึ้นเครื่องกลับไม่ทันเลยค่ะ เราได้วางแผนที่จะเที่ยวในตัวเมืองโอซาก้า นารา เกียวโต
วันแรกของการเดินทาง เราถึง
สนามบินนานาชาติคันไซ ( KIX airport)ประมาณเกือบห้าทุ่ม แต่ก็แปลกมาก ทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวของที่นี้แต่คนก็เข้ามาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเยอะมาก นึกว่าเราจะเป็นคนส่วนน้อยที่คิดจะมา สำหรับถ้าใครจะออกจากสนามบินตอนดึกๆก็เดินทางด้วยรถบัสลีมูซีนและแท็กซี่ได้ค่ะ แต่อันหลังนิไม่ค่อยแนะนำนะค่ะเพราะแพงมากถ้าคิดเป็นเงินไทยก็เริ่มต้น 200-300 บาทค่ะ แต่คืนนี้เราตั้งใจว่าจะอยู่ที่สนามบินถึงเช้าอยู่แล้วเลยไม่รีบอะไร ถ้าใครคิดจะอยู่ที่นี้ก็ไม่ต้องกลัวนะค่ะเพราะว่ามีเพื่อนอยู่เยอะพอสมควร บางคนก็นั่งเล่นคอม บางคนก็อ่านหนังสือ บางคนก็นอน ถ้าใครชอบสบายขึ้นมาหน่อยแนะนำ
โซน KIX AIRPORT LOUNGE ภายในจะมีหนังสือ กาแฟ ห้องอาบน้ำ ขนมไว้บริการแต่คิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมงหรือถ้าใครตั้งใจอยากพักผ่อนจริงจังก็มีโรงแรมอยู่ใกล้สนามบินด้วยนะค่ะ วันที่สองของการเดินทาง หลังจากที่เราได้อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เราก็พากันเดินสำรวจสนามบิน สนามบินคันไซนี้เมื่อก่อนเป็นทะเล เกิดจากการถมทะเลและบีบอัดของขยะจนแน่นและทำสะพานทอดไปสู่พื้นดิน
มื้อแรกของเราคือข้าวปั่นที่ Lawson และกาแฟที่ Mc donald ถ้าดึกๆถ้าใครหิวแวะมาใช้บริการได้ค่ะเขาเปิด 24 ชั่วโมง
สำหรับวันแรกเราจะเที่ยวเฉพาะในตัวเมืองโอซาก้าด้วยบัตร
Osaka Amazing pass 1 วัน และสามวันที่นารา เกียวโตและในโอซาก้าอีกรอบ เราจะใช้บัตร
KANSAI THRU PASS สำหรับ 3 วันเราสามารถใช้บัตรนี้ขึ้นลงรถไฟที่ระบุไว้กี่รอบก็ได้ เขาจะแถมแผนที่เส้นทางของรถไฟ ข้อมูลเกี่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมาให้ 1 ชุด สามารถเข้าฟรีและมีคูปองส่วนลดในสถานที่ที่ระบุเอาไว้สามารถซื้อได้ที่
Travel Desk ที่ชั้น 1 ค่ะ
Osaka Amazing pass 1 วัน
KANSAI THRU PASS สำหรับ 3
หลังจากที่เราซื้อตั๋วรถไฟเสร็จเรียบร้อย เราก็ไปฝากกระเป๋าที่โรงแรมเพราะส่วนมากที่นี้เช็คอินบ่ายสามโมงกันค่ะ แต่จริงๆแล้วตามสถานีใหญ่ๆก็มีล็อกเกอร์ให้ฝากสัมภาระนะค่ะ แต่เราไม่อยากเสียเงินและเสียเวลากลับไปเอากระเป๋าอีก เลยเอามาฝากไว้ที่โรงแรมดีกว่า
สำหรับราคาของล็อกเกอร์ 800 / 500 / 300 เยน ตามความกว้างของตู้ วิธีใช้เพียงหยอดเหรียญและล็อกด้วยกุญแจที่เสียบไว้ที่ตู้ แล้วเอากุญแจออกเก็บไว้กับตัว ข้อสำคัญคืออย่าทำหายและจำเบอร์ตู้ไว้ให้ดีๆค่ะ
สถานที่แรกที่เราจะไปคือ
ปราสาทโอซาก้า(Osaka Castle) ถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กของโอซาก้าเลย ใครมาโอซาก้าต้องมาถ่ายรูปที่นี้กันเราถึงที่นี้ก็ประมาณ 9 โมงเช้า ตอนนี้แดดแรงมาก อากาศก็ร้อนสุดๆ ทำเอาเหงื่อท่วมตัวเลยค่ะ แต่ดีที่เขามีตู้กดน้ำและร้านสะดวกซื้อไว้บริการเกือบทุกจุดของเมือง อาจจะหยอดน้ำไว้กินระหว่างทางที่เดินขึ้นไปตัวปราสาทก็ได้นะค่ะ แต่ทางเข้าตัวปราสาทก็มีตู้น้ำไม่ต้องกังวลว่าจะอดตายแน่นอน
ปราสาทแห่งนี้จะล้อมรอบด้วยคูน้ำ ต้นซากุระ สวนพลัม ที่ดูสวยงาม ระหว่างทางเดินไปทำให้เราได้ชมธรรมชาติไปด้วย เหมาะแก่การพักผ่อนมาก
เราก็ไปสะดุดตากับไอติมชาเขียวน่าทานมาก ไหนๆก็มาญี่ปุ่นแล้วต้องห้ามพลาดเลย สำหรับรสชาติไม่หวานมาก หอมชาเขียวและขนมปังก็กรอบดี ชอบม๊ากมาก.....
ประสาทโอซาก้ามีทั้งหมด 8 ชั้น ไม่ต้องห่วงว่าจะเดินขึ้นเหนื่อยเพราะเขามีลิฟไว้บริการหรือใครไม่อยากรอจะเดินขึ้นบันไดก็ได้นะค่ะ ชั้นบนนี้เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบเมืองโอซาก้า มองเห็นได้ไกลถึงตึก Umeda sky building เลยค่ะ
โดยแต่ละชั้นจะจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของตัวปราสาทเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมค่ะ ตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิวค่ะ และที่ต่อไปคือที่
อ่าวโอซาก้า (Osaka bay) เพื่อกินข้าวห่อไข่ที่หลายคนเขียนรีวิวไว้ จุดเด่นของ Osaka bay คือ
ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ (tempozan ferris wheel) ที่ตั้งอยู่ริมอ่าว ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยมากในโอซาก้าค่ะ แต่ตอนนี้เราต้องไปเติมพลังกับข้าวห่อไข่ของ
ร้าน Hokkyokusei ที่อยู่ชั้น 1 ของ
Tempozan market place
ร้านหายากหน่อยค่ะเพราะมันลึกลับมากจริงๆทางไปก็ซับซ้อนอีกด้วย เป็นร้านเล็กๆค่ะ คนก็เยอะพอสมควร สั่งอาหารตั้งแต่อยู่หน้าร้านพอถึงคิว คุณป้าก็จะเอาข้าวห่อไข่ที่เราสั่งไว้ตอนแรกมาเสริฟค่ะ แต่ถ้ามากับเด็กทางร้านเขาจะแจกของเล่นให้เด็กคนละ 1ชิ้น เป็นกลยุทธทางการค้าที่ดีมาเลยและข้าวห่อไข่น่าจะเหมาะกับเด็กๆด้วย
ตัวไส้จะเป็นข้าวที่ผัดกับซอส ห่อหุ้มด้วยไข่แล้วราดน้ำซอสสูตรของทางร้าน โรยหน้าด้วยกุ้งทอดราดมายองเนตและถั่วลันเตา รสชาติจะออกหวานๆหน่อย
จานนี้จะเป็นข้าวห่อไข่หน้าเนื้อทอด น้ำซอสจะเป็นกลิ่นของเนื้อ รสชาติจะออกจืดๆหน่อยแต่ทุกอย่างที่เขาให้มันจานใหญ่ยักษ์ ได้เยอะมากๆเหมือนกำลังแข่งรายการทีวีแชมเปียนอาหารจานยักษ์ฮ่าๆๆๆ
จุดหมายต่อไปคือ
โลกใต้ทะเลไคยุคัง (Osaka Aquarium) อยู่ใกล้กันเลยค่ะ ราคาตั๋วค่าเข้า 2200 เยน ถือว่าคุ้มค่ามากกับสิ่งที่ได้เห็นข้างใน ภายในเป็นห้องแอร์และตู้กระจกขนาดใหญ่แบ่งแยกเป็นโซนเช่น ทวีปแอนตาร์กติกาอุโมงค์ปลา มหาสมุทรแปซิฟิกและอื่นๆ มีสัตว์น้ำที่ไม่เคยเห็นจริงๆ มีทั้งปลาฉลามวาฬ กระพรุน กุ้ง หอย ปู ปลา แมวน้ำเต่า เพนกวิน และอีกมากมาย สวยและเพลินตามากๆ
ปลาฉลามวาฬมีขนาดใหญ่กว่าคนประมาณ 10 20 เท่า นึกถึงหนังเรื่อง Jurassic world ที่มีสัตว์ตัวใหญ่ล่าคน
ปูแมงมุมเป็นปูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยหลังจะมีสีแดงหน่อย และมีขาที่ยาวเหมือนแมงมุม และเราคิดว่ามันสวยที่สุดด้วย
แมงกะพรุนไฟสีส้มที่สวยงามอยู่นี้ คิดว่าทุกคนคงรู้จักว่าถ้าใครสัมผัสจะมีแผลเหมือนไฟไหม้(สวยแต่มีพิษ)
สำหรับวันนี้ขอเท่านี้ก่อนนะค่ะ เดี๋ยวครั้งต่อไปเราจะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ชมบรรยากาศรอบๆโอซาก้า และท่องราตรีกันที่นัมบะกันค่ะ. ขอบคุณนะค่ะที่เข้ามาอ่านกัน. สวัสดีค่ะ
[CR][SR] ลางาน...แบกเป้ ตะลุยโอซาก้าหน้าร้อน ตอนที่1...ที่ปราสาทโอซาก้า และ โลกใต้ทะเลไคยุคัง (Osaka Aquarium)
รีวิวทำมาเพื่อต้องการแชร์ความประทับใจที่มีต่อประเทศญี่ปุ่นที่ได้ไปสัมผัสมาค่ะ ครั้งนี้เราไปที่ โอซาก้า (Osaka) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครัวของประเทศญี่ปุ่น แน่นอนว่าเราต้องไม่พลาดเรื่องของกินและที่ขึ้นชื่อก็คงเป็น ทาโกะยากิ (Takoyaki) โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki) ที่การันตีความนุ่มจนละลายในปากเลย เราจองตั๋วเครื่องบินไปกันประมาณ 5-6 วัน เราเดินทางวันที่ 30 ก.ค. กลับวันที่ 4 ส.ค. ซึ่งช่วงนี้จะเข้าหน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่น เลยทำให้ตั๋วเครื่องบินราคาถูก. อาจเป็นเพราะว่าเป็นช่วง Low season ด้วย เราซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับประมาณ 15,000 บาท รวมค่าน้ำหนักกระเป๋า 20 Kgแล้ว ตอนนั้นก็มีคนทักท้วงเยอะเหมือนกันว่า "จะไปทำไรช่วงนี้ไม่มีซากุระ ไม่มีหิมะ จะไปดูอะไรกัน???" แต่เราคิดว่าอยากลองไปเที่ยวดูและอยากเห็นความเป็นญี่ปุ่นจริงๆ เราสองคนกับเพื่อนนั่งอ่านรีวิวเพื่อหาข้อมูลอยู่ประมาณ 2 เดือน สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปและเดินทางไปด้วยตัวเองคิดว่าต้องเตรียมตัวไปดีๆค่ะ เพราะประเทศญี่ปุ่นมีรถไฟหลายสายมากอาจจะหลงทางได้ เราเองที่คิดว่าเตรียมตัวไปดีแล้วยังหลงทางเกือบไปเช็คอินขึ้นเครื่องกลับไม่ทันเลยค่ะ เราได้วางแผนที่จะเที่ยวในตัวเมืองโอซาก้า นารา เกียวโต
วันแรกของการเดินทาง เราถึงสนามบินนานาชาติคันไซ ( KIX airport)ประมาณเกือบห้าทุ่ม แต่ก็แปลกมาก ทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวของที่นี้แต่คนก็เข้ามาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเยอะมาก นึกว่าเราจะเป็นคนส่วนน้อยที่คิดจะมา สำหรับถ้าใครจะออกจากสนามบินตอนดึกๆก็เดินทางด้วยรถบัสลีมูซีนและแท็กซี่ได้ค่ะ แต่อันหลังนิไม่ค่อยแนะนำนะค่ะเพราะแพงมากถ้าคิดเป็นเงินไทยก็เริ่มต้น 200-300 บาทค่ะ แต่คืนนี้เราตั้งใจว่าจะอยู่ที่สนามบินถึงเช้าอยู่แล้วเลยไม่รีบอะไร ถ้าใครคิดจะอยู่ที่นี้ก็ไม่ต้องกลัวนะค่ะเพราะว่ามีเพื่อนอยู่เยอะพอสมควร บางคนก็นั่งเล่นคอม บางคนก็อ่านหนังสือ บางคนก็นอน ถ้าใครชอบสบายขึ้นมาหน่อยแนะนำโซน KIX AIRPORT LOUNGE ภายในจะมีหนังสือ กาแฟ ห้องอาบน้ำ ขนมไว้บริการแต่คิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมงหรือถ้าใครตั้งใจอยากพักผ่อนจริงจังก็มีโรงแรมอยู่ใกล้สนามบินด้วยนะค่ะ วันที่สองของการเดินทาง หลังจากที่เราได้อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เราก็พากันเดินสำรวจสนามบิน สนามบินคันไซนี้เมื่อก่อนเป็นทะเล เกิดจากการถมทะเลและบีบอัดของขยะจนแน่นและทำสะพานทอดไปสู่พื้นดิน
สำหรับวันแรกเราจะเที่ยวเฉพาะในตัวเมืองโอซาก้าด้วยบัตร Osaka Amazing pass 1 วัน และสามวันที่นารา เกียวโตและในโอซาก้าอีกรอบ เราจะใช้บัตร KANSAI THRU PASS สำหรับ 3 วันเราสามารถใช้บัตรนี้ขึ้นลงรถไฟที่ระบุไว้กี่รอบก็ได้ เขาจะแถมแผนที่เส้นทางของรถไฟ ข้อมูลเกี่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมาให้ 1 ชุด สามารถเข้าฟรีและมีคูปองส่วนลดในสถานที่ที่ระบุเอาไว้สามารถซื้อได้ที่ Travel Desk ที่ชั้น 1 ค่ะ
หลังจากที่เราซื้อตั๋วรถไฟเสร็จเรียบร้อย เราก็ไปฝากกระเป๋าที่โรงแรมเพราะส่วนมากที่นี้เช็คอินบ่ายสามโมงกันค่ะ แต่จริงๆแล้วตามสถานีใหญ่ๆก็มีล็อกเกอร์ให้ฝากสัมภาระนะค่ะ แต่เราไม่อยากเสียเงินและเสียเวลากลับไปเอากระเป๋าอีก เลยเอามาฝากไว้ที่โรงแรมดีกว่า
สถานที่แรกที่เราจะไปคือ ปราสาทโอซาก้า(Osaka Castle) ถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กของโอซาก้าเลย ใครมาโอซาก้าต้องมาถ่ายรูปที่นี้กันเราถึงที่นี้ก็ประมาณ 9 โมงเช้า ตอนนี้แดดแรงมาก อากาศก็ร้อนสุดๆ ทำเอาเหงื่อท่วมตัวเลยค่ะ แต่ดีที่เขามีตู้กดน้ำและร้านสะดวกซื้อไว้บริการเกือบทุกจุดของเมือง อาจจะหยอดน้ำไว้กินระหว่างทางที่เดินขึ้นไปตัวปราสาทก็ได้นะค่ะ แต่ทางเข้าตัวปราสาทก็มีตู้น้ำไม่ต้องกังวลว่าจะอดตายแน่นอน
โดยแต่ละชั้นจะจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของตัวปราสาทเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมค่ะ ตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิวค่ะ และที่ต่อไปคือที่อ่าวโอซาก้า (Osaka bay) เพื่อกินข้าวห่อไข่ที่หลายคนเขียนรีวิวไว้ จุดเด่นของ Osaka bay คือ ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ (tempozan ferris wheel) ที่ตั้งอยู่ริมอ่าว ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยมากในโอซาก้าค่ะ แต่ตอนนี้เราต้องไปเติมพลังกับข้าวห่อไข่ของ ร้าน Hokkyokusei ที่อยู่ชั้น 1 ของ Tempozan market place
ร้านหายากหน่อยค่ะเพราะมันลึกลับมากจริงๆทางไปก็ซับซ้อนอีกด้วย เป็นร้านเล็กๆค่ะ คนก็เยอะพอสมควร สั่งอาหารตั้งแต่อยู่หน้าร้านพอถึงคิว คุณป้าก็จะเอาข้าวห่อไข่ที่เราสั่งไว้ตอนแรกมาเสริฟค่ะ แต่ถ้ามากับเด็กทางร้านเขาจะแจกของเล่นให้เด็กคนละ 1ชิ้น เป็นกลยุทธทางการค้าที่ดีมาเลยและข้าวห่อไข่น่าจะเหมาะกับเด็กๆด้วย
จุดหมายต่อไปคือ โลกใต้ทะเลไคยุคัง (Osaka Aquarium) อยู่ใกล้กันเลยค่ะ ราคาตั๋วค่าเข้า 2200 เยน ถือว่าคุ้มค่ามากกับสิ่งที่ได้เห็นข้างใน ภายในเป็นห้องแอร์และตู้กระจกขนาดใหญ่แบ่งแยกเป็นโซนเช่น ทวีปแอนตาร์กติกาอุโมงค์ปลา มหาสมุทรแปซิฟิกและอื่นๆ มีสัตว์น้ำที่ไม่เคยเห็นจริงๆ มีทั้งปลาฉลามวาฬ กระพรุน กุ้ง หอย ปู ปลา แมวน้ำเต่า เพนกวิน และอีกมากมาย สวยและเพลินตามากๆ
สำหรับวันนี้ขอเท่านี้ก่อนนะค่ะ เดี๋ยวครั้งต่อไปเราจะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ชมบรรยากาศรอบๆโอซาก้า และท่องราตรีกันที่นัมบะกันค่ะ. ขอบคุณนะค่ะที่เข้ามาอ่านกัน. สวัสดีค่ะ
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว