สิ่งที่เรียนรู้ 8
สรุปคือผมมีเวลาเรียนอยู่สามวัน คือจันทร์ถึงพุธ ส่วนพฤหัสถึงอาทิตย์คือสี่วันที่ต้องฝึกงาน
ในช่วงสัปดาห์แรกของการฝึก คือการเอาฟิล์มใส่แม็กกาซีน
อันนี้ผมขออธิบายนิดนึง เผื่อบางคนไม่รู้ว่าแม็กกาซีนคืออะไร บางคนอาจเข้าใจผิดว่ามันคือนิตยสาร
มันไม่ใช่หนังสือนะครับ แต่มันคือตลับสำหรับใส่ฟิล์ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกล้องมีเดี่ยม
แล้วกล้องมีเดี่ยมคืออะไร มันคือ Medium format camera หรือกล้องขนาดกลาง ที่มันมีใหญ่กว่ากล้อง SLR ที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป ซึ่งจะใช้ฟิล์มขนาด 35 mm หรือที่เราเรียกกันว่าฟิล์ม 135
แต่กล้องMedium format นี้จะใช้ฟิล์มที่ใหญ่กว่า คือฟิล์ม 120 โดยมีแม็กกาซีนแยกออกจากตัวกล้อง ผมมีหน้าที่ใส่ฟิล์มรอ ขณะที่ช่างภาพถ่ายรูป และคอยยืนรับส่งเมื่อถ่ายหมด ซึ่งจะถ่ายได้เพียงสิบรูปต่อการโหลดฟิล์มหนึ่งครั้ง ซึ่งชื่อตำแหน่งของผมที่ได้รับคือ ฝึกงานช่างภาพ ไม่ใช่ผู้ช่วยช่างภาพ เพราะส่วนของผู้ช่วยก็จะมีอีกต่างหาก และเมื่อก่อนเขาก็จะทำหน้าที่ที่ผมทำนี่แหละ แต่ที่ให้ผมมาทำก็เพื่อที่จะได้รู้ไว้และทำเป็น
ในช่วงเวลาว่างๆตอนที่ไม่มีลูกค้า ผมก็จะได้หัดใช้กล้อง การถอดเปลี่ยนแม็กกาซีน การโฟกัส ตั้งสปีด รูรับแสง ซึ่งบางอย่างก็รู้อยู่แล้ว แต่ที่ฝึกก็เพื่อสร้างความเคยชิน กับความชำนาญในการใช้อุปกรณ์
หลังจากนั้นก็มาถึงเรื่องของไฟแฟลชสตูดิโอ เรียนรู้เรื่องของกำลังไฟ ไฟนำ ไฟแฟลช ซอฟท์บ็อก ร่ม บานดอร์ สารพัดอุปกรณ์ที่มีให้ใช้
พอสัปดาห์ที่สองผมก็เริ่มได้ถ่ายบ้าง งานสองงาน ในเรื่องของอุปกรณ์อาจจะไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่ แต่ปัญหามักจะมีในเรื่องของการพูด ว่าเราต้องการให้แบบโพสยังไง ยืนตรงไหน ทำอะไรบ้าง มันค่อนข้างแตกต่างกับงานรับปริญญาที่เคยทำ ทุกอย่างต้องเนี้ยบ ทุกอย่างต้องเปะๆ อีกอย่าง ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทยซะด้วยสิ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นนี่เป็นญี่ปุ่น ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นเป็นฝรั่ง มีเพียงห้าเปอร์เซ็นเป็นคนไทย
พอสัปดาห์ที่สามที่สี่ผมเริ่มได้ถ่ายมากขึ้น เริ่มมีผลงานให้พี่นิดเห็นมากขึ้น
พอครบสองเดือน ผมก็ได้คุยกับพี่นิดอีกครั้งในเรื่องของงาน พี่นิดขอให้ผมทำงานต่อ โดยให้ผมประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ที่ตึกชาญอิสระนี่เลย ทำงานพฤหัสถึงอาทิตย์ และพี่นิดก็ปรับเงินเบี้ยเลี้ยงที่เคยให้ผม จากวันละสองร้อยห้าสิบในช่วงฝึกงานมาเป็นวันละสี่ร้อย และถ้ามีออกไปถ่ายนอกสถานที่ก็จะเพิ่มให้เป็นวันละหกร้อย
ในช่วงที่ทำงานกับพี่นิด รายได้ของผมเริ่มมีมากขึ้น และผมตั้งเป้าไว้ว่า ในหนึ่งเดือนผมต้องมีเงินเข้าบัญชีอย่างน้อยห้าพันบาท ถ้าเงินเหลือเกินนั้นจะใช้หรือจะเก็บก็แล้วแต่ความสมควร ขึ้นว่าเดือนนั้นอยากจะทำอะไร
ฟังดูอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นเยอะอะไรเลย แต่เมื่อเทียบกับช่วงเริ่มต้น ครั้งที่ผมได้เงินเดือนจากทางบ้านเพียงเดือนละสามพันแล้ว มันก็มากกว่าเกือบสองเท่า และตอนนี้ เงินเดือนสามพันที่ผมได้จากที่บ้าน ผมก็ไม่เคยได้ถอนมันออกมาใช้อีกเลย
จากเงินเก็บเดือนละไม่น้อยกว่าแปดพัน ฝันครั้งใหม่ของผมก็เริ่มขึ้น กล้องถ่ายรูปตัวใหม่เริ่มเข้ามาอยู่ในความฝัน
CONTAX RX กล้องตัวใหม่ที่เล็งไว้ แต่ก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีในการเก็บเงิน ซึ่งหลายคนหาว่าผมเวอร์ นิคอนก็มีใช้ ทำไมไม่เอา F4 อีกตัว ในเมื่ออุปกรณ์เสริมต่างๆสำหรับนิคอนก็มีแล้ว
ทำไมผมถึงเลือก CONTAX เพราะเลนส์ที่ได้ขึ้นว่าดีระดับโลก เป็นกล้องและเลนส์จากเยอรมัน
แล้วทำไมไม่เอา Leica ไปเลยหละ นั่นสิ ทำไม ไม่ทำไม เพราะเลนส์บางตัวของ Leica ราคามันแพงมากๆ แพงจนผมรู้ตัวเองว่า ยังไงผมก็ไม่มีปัญญาแน่ๆ
ส่วนเลนส์ของ CONTAX ผมยังพอไหวกับราคา ถึงแม้ว่าจะแพงกว่าเลนส์ของญี่ปุ่นก็ตามที
จากข้อมูลที่หาเจอ เลนส์ Carl Zeiss 50 F1.4 คือเลนส์นอร์มอลที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก ซึ่งมี Leica กับ Canon ตามมาเป็นที่สองกับที่สาม
และอีกอย่างที่สุดเวอร์ ที่จะทำให้รู้สึกภาคภูมิใจแน่ๆเมื่อใช้ CONTAX คือเลนส์ที่อยู่บนดาวเทียมก็เป็นเลนส์ Carl Zeiss เหมือนกัน สงสัย CONTAX คงต้องจ่ายตังค่าโฆษณานี้ให้ผมซะแล้วหละ
วิธีการเก็บเงินเพื่อให้ได้กล้องในฝันตัวนี้คือ ไม่ถอนเงินเดือนจากที่บ้านที่ส่งให้ วงเล็บ และไม่บอกว่าทำงานด้วย
สองคือหางานพิเศษให้ได้อย่างน้อยอีกห้าพันเพื่อเอามาเข้าบัญชี
ส่วนบัญชี ผมไปเปิดบัญชีใหม่เพื่อใช้เก็บเงินโดยเฉพาะ
ธนาคารออมสินสาขามหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งก็ตั้งอยู่หลังคณะที่ผมเรียนพอดี ในทุกๆเดือนผมจะต้องเข้าธนาคารอย่างน้อยสองสามครั้ง เพื่อเอาเงินเข้าบัญชี ซึ่งผมไม่เคยเข้าไปเพื่อถอนเงินเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ผมเข้าธนาคารบ่อยจนผมกับพี่พนักงานเริ่มคุ้นเคยหน้าตากัน เขาคงแปลกใจว่าไอ้เด็กนี่มันทำงานอะไรกันแน่
ตอนนั้นผมของผมเริ่มยาวมากแล้ว น่าจะเกือบถึงเอวเห็นจะได้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ดูเซอร์ เสื้อยืดพับแขน กางเกงยีนส์เก่าๆ และรองเท้าหนังกลับ ใครเห็นก็ต้องสงสัยว่าไอ้นี่มันทำงานอะไรถึงได้เอาเงินมาเข้าเกือบทุกอาทิตย์
บางทีผมถ่ายงานมาได้พันห้า ผมเก็บไว้ห้าร้อย เข้าแบงค์ไปพันนึง บางคนอาจจะอาย มีแค่พันเดียวก็เอาเข้าแบงค์ แต่ผมคิดว่ามันจะทำให้ผมเป็นคนมีวินัยมากขึ้น และที่สำคัญ ความฝันจะได้เป็นจริงเร็วๆ
นอกจากนั้นแล้วผมยังใช้วิธีเก็บเหรียญ ซึ่งผมจะใช้แบงค์เท่านั้นในการซื้อของ และพอได้ตังทอนกลับมาเป็นเหรียญผมก็จะเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย เพราะมันจะล้วงยากหน่อย แต่ผมก็ตั้งใจไว้แบบนั้น และผมก็ไปหาซื้อขวดโหลใบใหญ่หน้ารามมาไว้เก็บเหรียญเหล่านั้น
สิบดือนผ่านไป
ความฝันของผมก็เป็นจริง เมื่อเงินในบัญชีมีมากพอ และผมพร้อมที่จะซื้อกล้องตัวใหม่แล้ว
ก่อนวันถอนเงินหนึ่งอาทิตย์ ผมเอาเหรียญที่มีอยู่ทั้งหมดมาเข้าธนาคาร โดยชวนเพื่อนสนิทสองคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเป็นคนช่วยขน
ผมเอาเหรียญทั้งหมดเก็บใส่ถุงพลาสติกของเซเว่นที่ซ้อนกันหนาสามถุง เพื่อกันขาด เหรียญทั้งหมดที่นับได้คือเจ็ดพันเศษๆ เกือบๆเจ็ดพันห้า ผมเลยหาเหรียญมาใส่เพิ่มเพื่อให้เป็นตัวเลขที่พอดี
เราสามคนหอบถุงเงินนั้นไปทั้งหมดห้าถุง ถุงละพันห้า เดินเข้าธนาคารออมสิน
ลองนึกภาพตามนะครับว่า เด็กหนุ่มผมยาวสามคน ซึ่งอีกสองคนใส่รองเท้าบู๊ตขี่ม้ามา และกำลังพากันหอบถุงเหรียญเข้าธนาคาร ทุกสายตามองมาที่พวกเรา
ระหว่างรอคิว สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อถุงเงินถุงนึงอยู่ๆก็แตกกระจาย มีใครมาแอบเจาะถุงข้างหลังเราหรือเปล่าก็ไม่รู้
เหรียญพันห้าร้อยบาทวิ่งกลิ้งกระจายเต็มพื้นธนาคาร ผู้คนในนั้นพากันช่วยเก็บ แต่พอเอามานับเงินกลับไม่ครบตามจำนวน หายไปร้อยกว่าบาท
เจ้าหน้าธนาคารอดอมยิ้มไม่ได้ ด้วยความที่รู้จักคุ้นเคยกัน
"เอาเหรียญมาจากไหนเยอะแยะขนาดนี้ นับมาหรือยัง"
"นับแล้วครับ ผมเก็บใส่ขวดไว้มาเกือบปีแล้วครับ พอดีขวดเต็มหมดทุกขวดแล้วก็เลยเอามาฝาก ธนาคารดีกว่า เดี๋ยวเยอะกว่านี้จะเอามาไม่ไหว"
พออาทิตย์ถัดมาผมก็เข้าไปถอนเงินเกือบหมดบัญชี
"ทำไมถอนแล้วหละ ไม่เก็บต่อแล้วหรอ"
"เดี๋ยวค่อยเก็บใหม่ครับ อันนี้จะถอนไปซื้อของครับ"
"ซื้อของ ของอะไรทำไมถอนเงินไปซะเกือบหมดบัญชี"
"ซื้อกล้องครับ"
"ซื้อกล้อง แพงขนาดนี้เลยหรอ ถ้าเป็นพี่เงินขนาดนี้คือเอาไปถอยรถเลยนะ"
"พอดีรถมันถ่ายรูปไม่ได้อะครับ ผมเลยเอาไปซื้อกล้อง"
พี่พนังงานหัวเราะ
"อย่าลืมเอามาถ่ายพี่ด้วยนะ ถ่ายสวยหรือเปล่า"
"สวยครับ พี่สวยอยู่แล้ว"
ผมพกตังทั้งหมดไปด้วยการมัดแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ทั้งสองข้างแบบเท่าๆกันเพื่อความสมดุล ดีนะที่กางเกงที่ผมใส่มันตัวโตกว่าผมเยอะ เลยพอมีพื้นที่เพียงพอในการใส่เงินจำนวนนั้นได้
เป๋าตุง นั่งแท็กซี่ ตรงไปมาบุญครอง ร้านโฟโต้ไฟล์เจ้าเก่า
"หวัดดีครับ"
"วันนี้มาเอาอะไร"
พนักงานหน้าร้านทักทายผม เพราะมาดูบ่อยจนเขาคุ้นหน้า ผมเดินนำหน้าเขาเข้าไปที่ตู้ด้านในสุดของร้าน
"พี่ผมขอดูตัวนี้หน่อยครับ"
"คอนแท็กหรอ"
"ใช่ครับ"
"คอนแท็กนี่นะ"
"ใช่ครับ"
แล้วพี่พนักงานคนนั้นก็เดินไปที่หน้าร้าน ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะไปหากุญแจมาเปิดให้ผมดูกล้อง
ผมยืนมองจ้องที่กล้องตัวในฝันนั้น หัวใจผมเริ่มพองโตขึ้นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่า นี่แหละเพื่อนใหม่ของผม
แต่หัวใจของผมพองโตได้ไม่นาน มันก็เริ่มแฟบเหี่ยวลง เมื่อไม่มีใครสนใจที่จะมาเปิดตู้ให้ผมดู เพียงเพราะเสื้อยืดเก่าๆพับแขน กางเกงลีวายขาดๆ กับรองเท้าอะดิดาสหนังกลับ
ผมจำชื่อคนขายคนนั้นได้จนวันนี้ แต่ผมไม่ขอเอ่ยนามเขาคนนั้น เพราะผมก็ไม่ได้เห็นเขาที่ร้านนั้นมานานแล้ว
เขาปล่อยให้ผมยืนเอ๋อเป็นบ้านนอกอยู่หน้าตู้กล้องคอนแท็ก แต่โชคดีที่ผมมีเพื่อนเอ๋อๆบ้านนอกๆคนนึงเดินเข้ามาหา ซึ่งหน้าตาของเขานี่ที่ราบสูงมากๆ และน่าจะเพิ่งเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ เพราะกลิ่นอายของความซื่อยังคงมีอยู่เต็มตัว
"พี่จะดูอะไรครับ"
"จะดูคอนแท็กครับ"
"แปปนึงนะครับพี่"
พนักใหม่คนนั้นเดินไปที่หน้าร้าน เพื่อไปขอกุญแจตู้ตัวนั้น แล้วเดินมาเปิดเอากล้องออกมาให้ผมดู
พอพี่เจ้าของร้านเห็น เขารีบเดินเข้ามาดู พูดคุยและถามผม โดยที่มีพนักงานคนนั้นยืนทำตาปริบๆเงียบๆอยู่ข้างๆ
"อ๋อยไปดูลูกค้าที่หน้าร้านปะ เดี๋ยวทางนี้พี่ดูเอง"
เด็กหนุ่มบ้านนอกผู้ที่เอากุญแจมาเปิดตู้กล้องคอนแท็กให้ผมในวันนั้นคือ คุณอ๋อยแห่งโฟโต้ไฟล์ ที่หลายๆรู้จักเขาเป็นอย่างดีในวันนี้
"ตกลงจะเอาตัวนี้ใช่มั้ย"
เจ้าของร้านถาม
"ใช่ครับ"
"ปะงั้นเข้าไปนั่งข้างใน"
เขาพาผมเข้าไปนั่งในห้องที่อยู่หลังร้าน ซึ่งตอนนั้นน่าจะเป็นที่สำหรับวีไอพี
"พี่ชื่ออะไรครับ"
"พี่ชื่อพี่หนุ่ม"
"น้องเรียนถ่ายรูปหรือเปล่า"
"เรียนครับ"
"ที่ไหน"
"รามครับ"
"งั้นก็เป็นลูกศิษย์ศุภนิตสิ"
"พี่รู้จักอาจารย์ศุภนิตด้วยหรอครับ"
"เพื่อนพี่ ใครๆก็รู้จัก เจ้าของรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพ"
พี่หนุ่มแนะนำเรื่องอุปกรณ์ให้ผมได้ดีมาก ทั้งเรื่องการเลือกซื้อเลนส์ การเลือกซื้อเลือกใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ แถมยังชวนผมไปเที่ยวแบ็กแพ็กที่อเมริกาด้วยกัน ไปกางเต้นท์นอนเซ็นทรัลปาร์ค สงสัยพี่เขาคิดว่าผมรวยแน่ๆ
สักพัก ลังกระดาษขนาดเท่าลังเบียร์ก็ถูกยกเข้ามาให้พี่หนุ่มเปิดเช็ค ในนั้นเต็มไปด้วยกล้องคอนแท็ก แต่เป็นอีกรุ่น รุ่นที่เล็กกว่า CONTAX 167MT
"น้องเอาตัวนี้มั้ยถูกกว่า RX เกือบสองหมื่น จะได้มีเงินเหลือซื้อเลนส์"
....
สิ่งที่เรียนรู้ ตอนที่ 8/10 (กว่าจะเป็นช่างภาพมืออาชีพ)
สรุปคือผมมีเวลาเรียนอยู่สามวัน คือจันทร์ถึงพุธ ส่วนพฤหัสถึงอาทิตย์คือสี่วันที่ต้องฝึกงาน
ในช่วงสัปดาห์แรกของการฝึก คือการเอาฟิล์มใส่แม็กกาซีน
อันนี้ผมขออธิบายนิดนึง เผื่อบางคนไม่รู้ว่าแม็กกาซีนคืออะไร บางคนอาจเข้าใจผิดว่ามันคือนิตยสาร
มันไม่ใช่หนังสือนะครับ แต่มันคือตลับสำหรับใส่ฟิล์ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกล้องมีเดี่ยม
แล้วกล้องมีเดี่ยมคืออะไร มันคือ Medium format camera หรือกล้องขนาดกลาง ที่มันมีใหญ่กว่ากล้อง SLR ที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป ซึ่งจะใช้ฟิล์มขนาด 35 mm หรือที่เราเรียกกันว่าฟิล์ม 135
แต่กล้องMedium format นี้จะใช้ฟิล์มที่ใหญ่กว่า คือฟิล์ม 120 โดยมีแม็กกาซีนแยกออกจากตัวกล้อง ผมมีหน้าที่ใส่ฟิล์มรอ ขณะที่ช่างภาพถ่ายรูป และคอยยืนรับส่งเมื่อถ่ายหมด ซึ่งจะถ่ายได้เพียงสิบรูปต่อการโหลดฟิล์มหนึ่งครั้ง ซึ่งชื่อตำแหน่งของผมที่ได้รับคือ ฝึกงานช่างภาพ ไม่ใช่ผู้ช่วยช่างภาพ เพราะส่วนของผู้ช่วยก็จะมีอีกต่างหาก และเมื่อก่อนเขาก็จะทำหน้าที่ที่ผมทำนี่แหละ แต่ที่ให้ผมมาทำก็เพื่อที่จะได้รู้ไว้และทำเป็น
ในช่วงเวลาว่างๆตอนที่ไม่มีลูกค้า ผมก็จะได้หัดใช้กล้อง การถอดเปลี่ยนแม็กกาซีน การโฟกัส ตั้งสปีด รูรับแสง ซึ่งบางอย่างก็รู้อยู่แล้ว แต่ที่ฝึกก็เพื่อสร้างความเคยชิน กับความชำนาญในการใช้อุปกรณ์
หลังจากนั้นก็มาถึงเรื่องของไฟแฟลชสตูดิโอ เรียนรู้เรื่องของกำลังไฟ ไฟนำ ไฟแฟลช ซอฟท์บ็อก ร่ม บานดอร์ สารพัดอุปกรณ์ที่มีให้ใช้
พอสัปดาห์ที่สองผมก็เริ่มได้ถ่ายบ้าง งานสองงาน ในเรื่องของอุปกรณ์อาจจะไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่ แต่ปัญหามักจะมีในเรื่องของการพูด ว่าเราต้องการให้แบบโพสยังไง ยืนตรงไหน ทำอะไรบ้าง มันค่อนข้างแตกต่างกับงานรับปริญญาที่เคยทำ ทุกอย่างต้องเนี้ยบ ทุกอย่างต้องเปะๆ อีกอย่าง ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทยซะด้วยสิ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นนี่เป็นญี่ปุ่น ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นเป็นฝรั่ง มีเพียงห้าเปอร์เซ็นเป็นคนไทย
พอสัปดาห์ที่สามที่สี่ผมเริ่มได้ถ่ายมากขึ้น เริ่มมีผลงานให้พี่นิดเห็นมากขึ้น
พอครบสองเดือน ผมก็ได้คุยกับพี่นิดอีกครั้งในเรื่องของงาน พี่นิดขอให้ผมทำงานต่อ โดยให้ผมประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ที่ตึกชาญอิสระนี่เลย ทำงานพฤหัสถึงอาทิตย์ และพี่นิดก็ปรับเงินเบี้ยเลี้ยงที่เคยให้ผม จากวันละสองร้อยห้าสิบในช่วงฝึกงานมาเป็นวันละสี่ร้อย และถ้ามีออกไปถ่ายนอกสถานที่ก็จะเพิ่มให้เป็นวันละหกร้อย
ในช่วงที่ทำงานกับพี่นิด รายได้ของผมเริ่มมีมากขึ้น และผมตั้งเป้าไว้ว่า ในหนึ่งเดือนผมต้องมีเงินเข้าบัญชีอย่างน้อยห้าพันบาท ถ้าเงินเหลือเกินนั้นจะใช้หรือจะเก็บก็แล้วแต่ความสมควร ขึ้นว่าเดือนนั้นอยากจะทำอะไร
ฟังดูอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นเยอะอะไรเลย แต่เมื่อเทียบกับช่วงเริ่มต้น ครั้งที่ผมได้เงินเดือนจากทางบ้านเพียงเดือนละสามพันแล้ว มันก็มากกว่าเกือบสองเท่า และตอนนี้ เงินเดือนสามพันที่ผมได้จากที่บ้าน ผมก็ไม่เคยได้ถอนมันออกมาใช้อีกเลย
จากเงินเก็บเดือนละไม่น้อยกว่าแปดพัน ฝันครั้งใหม่ของผมก็เริ่มขึ้น กล้องถ่ายรูปตัวใหม่เริ่มเข้ามาอยู่ในความฝัน
CONTAX RX กล้องตัวใหม่ที่เล็งไว้ แต่ก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีในการเก็บเงิน ซึ่งหลายคนหาว่าผมเวอร์ นิคอนก็มีใช้ ทำไมไม่เอา F4 อีกตัว ในเมื่ออุปกรณ์เสริมต่างๆสำหรับนิคอนก็มีแล้ว
ทำไมผมถึงเลือก CONTAX เพราะเลนส์ที่ได้ขึ้นว่าดีระดับโลก เป็นกล้องและเลนส์จากเยอรมัน
แล้วทำไมไม่เอา Leica ไปเลยหละ นั่นสิ ทำไม ไม่ทำไม เพราะเลนส์บางตัวของ Leica ราคามันแพงมากๆ แพงจนผมรู้ตัวเองว่า ยังไงผมก็ไม่มีปัญญาแน่ๆ
ส่วนเลนส์ของ CONTAX ผมยังพอไหวกับราคา ถึงแม้ว่าจะแพงกว่าเลนส์ของญี่ปุ่นก็ตามที
จากข้อมูลที่หาเจอ เลนส์ Carl Zeiss 50 F1.4 คือเลนส์นอร์มอลที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก ซึ่งมี Leica กับ Canon ตามมาเป็นที่สองกับที่สาม
และอีกอย่างที่สุดเวอร์ ที่จะทำให้รู้สึกภาคภูมิใจแน่ๆเมื่อใช้ CONTAX คือเลนส์ที่อยู่บนดาวเทียมก็เป็นเลนส์ Carl Zeiss เหมือนกัน สงสัย CONTAX คงต้องจ่ายตังค่าโฆษณานี้ให้ผมซะแล้วหละ
วิธีการเก็บเงินเพื่อให้ได้กล้องในฝันตัวนี้คือ ไม่ถอนเงินเดือนจากที่บ้านที่ส่งให้ วงเล็บ และไม่บอกว่าทำงานด้วย
สองคือหางานพิเศษให้ได้อย่างน้อยอีกห้าพันเพื่อเอามาเข้าบัญชี
ส่วนบัญชี ผมไปเปิดบัญชีใหม่เพื่อใช้เก็บเงินโดยเฉพาะ
ธนาคารออมสินสาขามหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งก็ตั้งอยู่หลังคณะที่ผมเรียนพอดี ในทุกๆเดือนผมจะต้องเข้าธนาคารอย่างน้อยสองสามครั้ง เพื่อเอาเงินเข้าบัญชี ซึ่งผมไม่เคยเข้าไปเพื่อถอนเงินเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ผมเข้าธนาคารบ่อยจนผมกับพี่พนักงานเริ่มคุ้นเคยหน้าตากัน เขาคงแปลกใจว่าไอ้เด็กนี่มันทำงานอะไรกันแน่
ตอนนั้นผมของผมเริ่มยาวมากแล้ว น่าจะเกือบถึงเอวเห็นจะได้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ดูเซอร์ เสื้อยืดพับแขน กางเกงยีนส์เก่าๆ และรองเท้าหนังกลับ ใครเห็นก็ต้องสงสัยว่าไอ้นี่มันทำงานอะไรถึงได้เอาเงินมาเข้าเกือบทุกอาทิตย์
บางทีผมถ่ายงานมาได้พันห้า ผมเก็บไว้ห้าร้อย เข้าแบงค์ไปพันนึง บางคนอาจจะอาย มีแค่พันเดียวก็เอาเข้าแบงค์ แต่ผมคิดว่ามันจะทำให้ผมเป็นคนมีวินัยมากขึ้น และที่สำคัญ ความฝันจะได้เป็นจริงเร็วๆ
นอกจากนั้นแล้วผมยังใช้วิธีเก็บเหรียญ ซึ่งผมจะใช้แบงค์เท่านั้นในการซื้อของ และพอได้ตังทอนกลับมาเป็นเหรียญผมก็จะเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย เพราะมันจะล้วงยากหน่อย แต่ผมก็ตั้งใจไว้แบบนั้น และผมก็ไปหาซื้อขวดโหลใบใหญ่หน้ารามมาไว้เก็บเหรียญเหล่านั้น
สิบดือนผ่านไป
ความฝันของผมก็เป็นจริง เมื่อเงินในบัญชีมีมากพอ และผมพร้อมที่จะซื้อกล้องตัวใหม่แล้ว
ก่อนวันถอนเงินหนึ่งอาทิตย์ ผมเอาเหรียญที่มีอยู่ทั้งหมดมาเข้าธนาคาร โดยชวนเพื่อนสนิทสองคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเป็นคนช่วยขน
ผมเอาเหรียญทั้งหมดเก็บใส่ถุงพลาสติกของเซเว่นที่ซ้อนกันหนาสามถุง เพื่อกันขาด เหรียญทั้งหมดที่นับได้คือเจ็ดพันเศษๆ เกือบๆเจ็ดพันห้า ผมเลยหาเหรียญมาใส่เพิ่มเพื่อให้เป็นตัวเลขที่พอดี
เราสามคนหอบถุงเงินนั้นไปทั้งหมดห้าถุง ถุงละพันห้า เดินเข้าธนาคารออมสิน
ลองนึกภาพตามนะครับว่า เด็กหนุ่มผมยาวสามคน ซึ่งอีกสองคนใส่รองเท้าบู๊ตขี่ม้ามา และกำลังพากันหอบถุงเหรียญเข้าธนาคาร ทุกสายตามองมาที่พวกเรา
ระหว่างรอคิว สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อถุงเงินถุงนึงอยู่ๆก็แตกกระจาย มีใครมาแอบเจาะถุงข้างหลังเราหรือเปล่าก็ไม่รู้
เหรียญพันห้าร้อยบาทวิ่งกลิ้งกระจายเต็มพื้นธนาคาร ผู้คนในนั้นพากันช่วยเก็บ แต่พอเอามานับเงินกลับไม่ครบตามจำนวน หายไปร้อยกว่าบาท
เจ้าหน้าธนาคารอดอมยิ้มไม่ได้ ด้วยความที่รู้จักคุ้นเคยกัน
"เอาเหรียญมาจากไหนเยอะแยะขนาดนี้ นับมาหรือยัง"
"นับแล้วครับ ผมเก็บใส่ขวดไว้มาเกือบปีแล้วครับ พอดีขวดเต็มหมดทุกขวดแล้วก็เลยเอามาฝาก ธนาคารดีกว่า เดี๋ยวเยอะกว่านี้จะเอามาไม่ไหว"
พออาทิตย์ถัดมาผมก็เข้าไปถอนเงินเกือบหมดบัญชี
"ทำไมถอนแล้วหละ ไม่เก็บต่อแล้วหรอ"
"เดี๋ยวค่อยเก็บใหม่ครับ อันนี้จะถอนไปซื้อของครับ"
"ซื้อของ ของอะไรทำไมถอนเงินไปซะเกือบหมดบัญชี"
"ซื้อกล้องครับ"
"ซื้อกล้อง แพงขนาดนี้เลยหรอ ถ้าเป็นพี่เงินขนาดนี้คือเอาไปถอยรถเลยนะ"
"พอดีรถมันถ่ายรูปไม่ได้อะครับ ผมเลยเอาไปซื้อกล้อง"
พี่พนังงานหัวเราะ
"อย่าลืมเอามาถ่ายพี่ด้วยนะ ถ่ายสวยหรือเปล่า"
"สวยครับ พี่สวยอยู่แล้ว"
ผมพกตังทั้งหมดไปด้วยการมัดแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ทั้งสองข้างแบบเท่าๆกันเพื่อความสมดุล ดีนะที่กางเกงที่ผมใส่มันตัวโตกว่าผมเยอะ เลยพอมีพื้นที่เพียงพอในการใส่เงินจำนวนนั้นได้
เป๋าตุง นั่งแท็กซี่ ตรงไปมาบุญครอง ร้านโฟโต้ไฟล์เจ้าเก่า
"หวัดดีครับ"
"วันนี้มาเอาอะไร"
พนักงานหน้าร้านทักทายผม เพราะมาดูบ่อยจนเขาคุ้นหน้า ผมเดินนำหน้าเขาเข้าไปที่ตู้ด้านในสุดของร้าน
"พี่ผมขอดูตัวนี้หน่อยครับ"
"คอนแท็กหรอ"
"ใช่ครับ"
"คอนแท็กนี่นะ"
"ใช่ครับ"
แล้วพี่พนักงานคนนั้นก็เดินไปที่หน้าร้าน ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะไปหากุญแจมาเปิดให้ผมดูกล้อง
ผมยืนมองจ้องที่กล้องตัวในฝันนั้น หัวใจผมเริ่มพองโตขึ้นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่า นี่แหละเพื่อนใหม่ของผม
แต่หัวใจของผมพองโตได้ไม่นาน มันก็เริ่มแฟบเหี่ยวลง เมื่อไม่มีใครสนใจที่จะมาเปิดตู้ให้ผมดู เพียงเพราะเสื้อยืดเก่าๆพับแขน กางเกงลีวายขาดๆ กับรองเท้าอะดิดาสหนังกลับ
ผมจำชื่อคนขายคนนั้นได้จนวันนี้ แต่ผมไม่ขอเอ่ยนามเขาคนนั้น เพราะผมก็ไม่ได้เห็นเขาที่ร้านนั้นมานานแล้ว
เขาปล่อยให้ผมยืนเอ๋อเป็นบ้านนอกอยู่หน้าตู้กล้องคอนแท็ก แต่โชคดีที่ผมมีเพื่อนเอ๋อๆบ้านนอกๆคนนึงเดินเข้ามาหา ซึ่งหน้าตาของเขานี่ที่ราบสูงมากๆ และน่าจะเพิ่งเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ เพราะกลิ่นอายของความซื่อยังคงมีอยู่เต็มตัว
"พี่จะดูอะไรครับ"
"จะดูคอนแท็กครับ"
"แปปนึงนะครับพี่"
พนักใหม่คนนั้นเดินไปที่หน้าร้าน เพื่อไปขอกุญแจตู้ตัวนั้น แล้วเดินมาเปิดเอากล้องออกมาให้ผมดู
พอพี่เจ้าของร้านเห็น เขารีบเดินเข้ามาดู พูดคุยและถามผม โดยที่มีพนักงานคนนั้นยืนทำตาปริบๆเงียบๆอยู่ข้างๆ
"อ๋อยไปดูลูกค้าที่หน้าร้านปะ เดี๋ยวทางนี้พี่ดูเอง"
เด็กหนุ่มบ้านนอกผู้ที่เอากุญแจมาเปิดตู้กล้องคอนแท็กให้ผมในวันนั้นคือ คุณอ๋อยแห่งโฟโต้ไฟล์ ที่หลายๆรู้จักเขาเป็นอย่างดีในวันนี้
"ตกลงจะเอาตัวนี้ใช่มั้ย"
เจ้าของร้านถาม
"ใช่ครับ"
"ปะงั้นเข้าไปนั่งข้างใน"
เขาพาผมเข้าไปนั่งในห้องที่อยู่หลังร้าน ซึ่งตอนนั้นน่าจะเป็นที่สำหรับวีไอพี
"พี่ชื่ออะไรครับ"
"พี่ชื่อพี่หนุ่ม"
"น้องเรียนถ่ายรูปหรือเปล่า"
"เรียนครับ"
"ที่ไหน"
"รามครับ"
"งั้นก็เป็นลูกศิษย์ศุภนิตสิ"
"พี่รู้จักอาจารย์ศุภนิตด้วยหรอครับ"
"เพื่อนพี่ ใครๆก็รู้จัก เจ้าของรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพ"
พี่หนุ่มแนะนำเรื่องอุปกรณ์ให้ผมได้ดีมาก ทั้งเรื่องการเลือกซื้อเลนส์ การเลือกซื้อเลือกใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ แถมยังชวนผมไปเที่ยวแบ็กแพ็กที่อเมริกาด้วยกัน ไปกางเต้นท์นอนเซ็นทรัลปาร์ค สงสัยพี่เขาคิดว่าผมรวยแน่ๆ
สักพัก ลังกระดาษขนาดเท่าลังเบียร์ก็ถูกยกเข้ามาให้พี่หนุ่มเปิดเช็ค ในนั้นเต็มไปด้วยกล้องคอนแท็ก แต่เป็นอีกรุ่น รุ่นที่เล็กกว่า CONTAX 167MT
"น้องเอาตัวนี้มั้ยถูกกว่า RX เกือบสองหมื่น จะได้มีเงินเหลือซื้อเลนส์"
....