คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 30
คนเราเกิดมาได้จากการที่ พ่อแม่ของเรา Yes กันครับ
Yes แปลว่าใช่
ถึงแม้เมื่อ Yes ไปแล้วจะไม่ใช่ก็ตาม
ประชาชนชาวไทยเรา ถูกปลูกฝังทัศนคติว่า การ Yes เป็นเรื่องผิด ตั้งแต่ครั้งอดีตกาล
ทั้งๆที่จริงแล้ว การ Yes กัน มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์
ขอแค่เราไม่ไป Yes คู่ครองของคนอื่น
เชื่อเสี่ยไหมว่า หลายครั้ง เหตุผลของการหย่าร้าง สาเหตุเกิดจากเรื่อง Yes
ภรรยาไม่ให้สามี Yes สามีก็ต้องไป Yes นอกบ้าน
สามีไม่ Yes ภรรยา ภรรยาก็ไปได้กับคนขับรถ
นี่ไม่ใช่ละคร แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว
เราควรส่งเสริมให้คนเรียนรู้ที่จะ Yes กันอย่างถูกวิธี เห็นมันเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา
การไปซื้อถุงยางที่เซเว่น ต้องสามารถถูกกระทำได้อย่างเปิดเผย และน่าเชิดชู
อ่านจากหลายๆคอมเม้น เสี่ยก็เพลีย พวกคุณดูธรรมะ ธรรโม พุทโธ สะระนัง ธรรมมัง มากๆ
ไปครับ ออกไป Yes กันให้โลกรู้ ว่าการ Yes กันอย่างถูกต้อง และป้องกัน ไม่ใช่เรื่องผิด และน่ากลัว
เพิ่มเติม
ร่างกายเรา เรามีสิทธิ์โดยชอบธรรมแบบ 100%
เราเลือกได้ว่า จะให้ใคร Yes หรือจะไป Yes ใคร
เสี่ยอยากจะสื่อแค่ว่า การไป Yes หรือการถูก Yes
มันไม่ได้ทำให้เราแย่ลง เลวลง
และมันไม่ใช่เรื่องซาดิส เหมือนโดนมีดปาดคอ
ไม่ได้น่ากลัว ไม่ได้โหดร้าย
อยากซิง อยากเก็บ ก็เอาเลยตามสบาย
แต่อย่ามาพูดว่า การ Yes กัน มันไม่ดี มันเลว มันชั่ว
มันเท่ากับด่าพ่อแม่ตัวเอง ที่เค้าทำเราเกิดมา
Yes แปลว่าใช่
ถึงแม้เมื่อ Yes ไปแล้วจะไม่ใช่ก็ตาม
ประชาชนชาวไทยเรา ถูกปลูกฝังทัศนคติว่า การ Yes เป็นเรื่องผิด ตั้งแต่ครั้งอดีตกาล
ทั้งๆที่จริงแล้ว การ Yes กัน มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์
ขอแค่เราไม่ไป Yes คู่ครองของคนอื่น
เชื่อเสี่ยไหมว่า หลายครั้ง เหตุผลของการหย่าร้าง สาเหตุเกิดจากเรื่อง Yes
ภรรยาไม่ให้สามี Yes สามีก็ต้องไป Yes นอกบ้าน
สามีไม่ Yes ภรรยา ภรรยาก็ไปได้กับคนขับรถ
นี่ไม่ใช่ละคร แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว
เราควรส่งเสริมให้คนเรียนรู้ที่จะ Yes กันอย่างถูกวิธี เห็นมันเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา
การไปซื้อถุงยางที่เซเว่น ต้องสามารถถูกกระทำได้อย่างเปิดเผย และน่าเชิดชู
อ่านจากหลายๆคอมเม้น เสี่ยก็เพลีย พวกคุณดูธรรมะ ธรรโม พุทโธ สะระนัง ธรรมมัง มากๆ
ไปครับ ออกไป Yes กันให้โลกรู้ ว่าการ Yes กันอย่างถูกต้อง และป้องกัน ไม่ใช่เรื่องผิด และน่ากลัว
เพิ่มเติม
ร่างกายเรา เรามีสิทธิ์โดยชอบธรรมแบบ 100%
เราเลือกได้ว่า จะให้ใคร Yes หรือจะไป Yes ใคร
เสี่ยอยากจะสื่อแค่ว่า การไป Yes หรือการถูก Yes
มันไม่ได้ทำให้เราแย่ลง เลวลง
และมันไม่ใช่เรื่องซาดิส เหมือนโดนมีดปาดคอ
ไม่ได้น่ากลัว ไม่ได้โหดร้าย
อยากซิง อยากเก็บ ก็เอาเลยตามสบาย
แต่อย่ามาพูดว่า การ Yes กัน มันไม่ดี มันเลว มันชั่ว
มันเท่ากับด่าพ่อแม่ตัวเอง ที่เค้าทำเราเกิดมา
ความคิดเห็นที่ 33
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ค่านิยมแบบที่เจ้าของกระทู้คิดยึดถือมันเป็นค่านิยมที่ไม่ใช่ไทย เรารับเอามาจากฝรั่ง ยุดรัชกาลที่ 5 คนก่อนหน้านั้นแต่งงานเร็วมาก คำว่าเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรเป็นคำใหม่ที่ประดิษฐ์ขึ้นอายุ ไม่เกิน 100 ปี ในสมัยที่เราเริ่มมีการศึกษาภาคบังคับ สังคมต้องการเก็บผุ้หญิงไว้ในระบบอุตสาหกรรมให้นานที่สุดเพื่อเป็นแรงานการผลิต
ก่อนหน้ารัชกาลที่ ห้า ผุ้หญิงมีทั้งความสัมพันธ์ทางเพศแบบ ชั่วคราวหรือนานก้ได้แล้วแต่สมัครใจ การที่จะมีอะไรกับใครชั่วคราวเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทั่วไป ตราบใดที่ไม่มีชู้ ถ้าเทียบกับสมัยนี้ คนสมัยก่อนสนใจจิตใจมากกว่าคนสมัยนี้ที่มองแต่วัตถุซะอีก เพราะการเปลี่ยนคู่มันง่ายมาก ดังนั้นการผูกใจกันสำคัยมากกว่า
คุรต้องคิดว่า การที่ไม่มีเซ็ก มันเพราะคุณเอาตัวเองเปนที่ตั้งมากกว่ารักแฟน อันนั้นก็โอเค แต่อย่าเอาศีลธรรมมาใช้
เราเป็นผู้หญิงแต่เรากลับไม่มองว่าการมีเซ็กส์ก่อนแต่งมันเสี่ยงนะคะ สำหรับเรา เรามองว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำก่อนแต่งด้วยซ้ำ ก็คือถ้าฝ่ายชายไม่ยอมมีเซ็กส์กับเราก่อน เราก็ไม่แต่งด้วย ที่คิดเช่นนี้ เพราะการจะต้องแต่งงานกับใครสักคนโดยไม่รู้ว่านิสัยบนเตียงเค้าปกติดีรึเปล่า มันเสี่ยงมากกว่าเยอะเลย คิดดู แต่งไปแล้วต้องไปร่วมเตียงกับเค้าไปตลอดชีวิตนะคะ ไม่ใช่ไปนอนด้วยไม่กี่คืน มันคุ้มหรอที่จะเสี่ยงดวงขนาดนั้นความเสี่ยงของการมีเซ็กส์ก่อนแต่งเช่นท้องหรือติดโรคมันยังสามารถป้องกันได้แต่ความเสี่ยงของการไปพบว่าสามีตัวเองวิปริตบนเตียงในคืนแต่งงานนี่มันไม่มีอะไรป้องกันได้เลยนะ นอกจากจะทดลองก่อนแต่ง ไม่เข้าท่าจะได้หนีทัน
ถ้ามีลูกสาว อยากให้ลูกมีsex ก่อนแต่งไหม ?
อยากค่ะ เพราะเราไม่อยากให้ลูกเสี่ยงที่จะแต่งงานกับผู้ชายที่มีรสนิยมผิดปกติบนเตียง เราแคร์สวัสดิการส่วนตัวของลูกตัวเองมากกว่าแคร์ว่าชาวบ้านจะมองยังไง
ถ้ามีแล้ว ลูกสาวโดนทิ้ง - ท้อง - โดนฝ่ายชายเอาไปเล่าเสียหาย .. แล้วคุณจะโทษใคร.. "โทษผ.ช" หรือ "โทษลูกสาว" ?
เรื่องท้อง - โทษลูกสาวตัวเองที่เลินเล่อไม่ป้องกันทั้งๆที่พ่อแม่สอนแล้วว่าให้ป้องกันค่ะ
เรื่องฝ่ายชายเอาไปเล่าเสียหาย - ไม่สนใจขี้ปากชาวบ้านอยู่แล้ว หลังจากว่ากล่าวแล้วก็จะปลอบใจลูกสาวว่า ไม่ต้องเสียใจ ดีแล้วที่ผู้ชายไปตั้งแต่ตอนนี้เพราะคนนิสัยอย่างนี้ไม่สมควรให้มาช่วยหรือมีส่วนในชีวิตของหลานที่จะเกิดมา ไม่งั้นเดี๋ยวเอานิสัยมาถ่ายทอดให้หลานชั้น ผู้ชายดีๆมีอีกเยอะ หาใหม่ได้ ดูอย่างพ่อของลูก แม่เองก็ไม่ได้บริสุทธิ์แล้วในวันที่มาคบกับพ่อ แต่พ่อของลูกก็ยังตัดสินใจเลือกแม่ เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ยินยอมกันทั้ง2ฝ่าย ความเสียหายคงไม่เกิด .. สรุปคือ ผิดทั้งคู่ ใช่ป่ะ ? ไม่ผิดค่ะ เพราะถึงยินยอมกันทั้งสองฝ่าย ความเสียหายก็จะไม่เกิด หากทำอย่างมีสติและรู้จักป้องกัน
สรุปคือ มี sex ก่อนแต่ง แล้วทำให้พ่อแม่ เดือดร้อน อับอาย ขายหน้า ใช่ไหม ?
แล้วแต่พ่อแม่ของครอบครัวนั้นค่ะ อย่างกรณีเรา ไม่ใช่ เพราะพ่อแม่สนับสนุนให้เราทดลองก่อนแต่ง และกรณีลูกเราก็ไม่ใช่อีก เพราะเราก็สนับสนุนให้ลูกมีก่อนแต่ง สังเกตุมั๊ยคะว่าทำไมผู้หญิงฝรั่งถึงไม่ค่อยกลัวการมีเซ็กส์ครั้งแรกเท่ากับผู้หญิงไทย ผู้หญิงฝรั่งถ้าจะมีกลัวบ้างก็ช่วงเป็นวัยรุ่นเท่านั้น แต่ผู้หญิงไทยนี่กลัวไปจนอายุยี่สิบกว่าสามสิบยังมีเลย ก็เป็นเพราะการสอนลูกแบบผิดๆจากพ่อแม่คนไทยหลายๆคน เข้าใจว่าพ่อแม่จะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน พ่อแม่เลยพูดถึงเซ็กส์แต่ในแง่ลบให้ลูกฟัง ขู่สารพัดว่าทำแล้วจะท้อง ติดโรค ไม่มีใครแต่งงานด้วย เจ็บ เลอะเทอะ เสียหาย ทำให้ผู้หญิงไทยหลายคนเติบโตมาโดยมีทัศนคติในแง่ลบกับเซ็กส์ เป็นเหตุให้หลายคนถึงแม้อายุและร่างกายจะเหมาะสมแล้วก็ยังกลัว เพราะไม่สามารถลบทัศนคติที่ฝังรากลึกนี้ได้ บางคนยิ่งแย่ใหญ่ ขนาดแต่งงานแล้วก็ยังกลัวอยู่เลย
หรือบางคนนอนแข็งเป็นท่อนไม้ ไม่ยอมมีส่วนร่วม และไม่มีความสุขกับเซ็กส์ ไม่เคยถึงจุดสุดยอด กรณีทั้งหมดนี้ส่วนมากก็มีต้นเหตุมาจากการมีทัศนคติในแง่ลบกับเซ็กส์นั่นเอง
สิ่งที่เราชี้แจงมา ก็เพราะคุณพูดถึงกรณีที่ผู้หญิงปฎิเสธเพราะไม่พร้อม
เราก็เลยชี้แจงว่าสาเหตุที่ผู้หญิงไทยหลายคนเป็นเช่นนี้ก็เพราะถูกพ่อแม่ปลูกฝังทัศนคติด้านลบในเรื่องเซ็กส์จนทำให้กลัวไปหมด เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วก็ยังไม่พร้อมซะที
ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีจริง ทำไมปัจจุบันฝรั่งถึงเริ่มมีการรณรงค์เรื่องรักนวลสงวนตัวกันมากขึ้นล่ะคะ
อันนั้นถ้าฟังดีๆ เค้าเจาะจงรณรงค์ให้เด็กและวัยรุ่นค่ะ เพราะเด็กวัยรุ่นฝรั่งก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นประเทศอื่นทั่วไปที่เป็นวัยอยากรู้อยากลอง เด็กฝรั่งเป็นมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเค้ามีความกล้ามากกว่าการมีเซ็กส์ในวัยเรียน ไม่ว่าจะฝรั่งหรือไทยมันก็ไม่สมควรทั้งนั้นแหละค่ะ
แต่ที่ต่างกันคือ ฝรั่งเค้าแยกแยะเด็กวัยรุ่นออกจากผุ้ใหญ่วัยทำงาน เค้าจะรณรงค์รักนวลสงวนตัวเค้าก็รณรงค์กับกลุ่มเป้าหมายคือเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ลองเค้าไปรณรงค์เรื่องนี้กับผู้ใหญ่วัยทำงานสิ รับรองโดนด่ากลับว่าละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล
เราไม่เคยคิดว่าเซ็กส์จะใช้พิสูจน์รักแท้ได้ ไม่ว่าจะทำก่อนแต่งหรือหลังแต่งก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้
จุดที่เราตั้งใจจะสื่อคือการที่คนเรายึดถือคติของตัวเองมากจนไม่คิดถึงความต้องการของอีกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเซ็กส์ จะเรื่องอะไรก็ได้ ถ้าคนเรารักกันก็น่าจะยอมรับความต้องการของอีกฝ่ายบ้าง
กลับกัน เมืองไทยไม่ยอมแยกแยะอะไรเลย จะรณรงค์ทีก็เหมารวมไปหมดว่าผู้หญิงทุกคนถ้ายังไม่แต่งงานก็ไม่ควรมีเซ็กส์ ทำแบบนี้มันใช่หรอ จะรณรงค์ก็ไปรณรงค์กับเด็กวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสิคะ จะมากะเกณฑ์อะไรกับผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะและรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
ผู้หญิงที่ยึดคติมีเซ็กส์หลังแต่ง ถึงแม้ว่าแฟนตัวเองอยากมีก่อนก็ไม่ฟังความเห็นของแฟน จะให้แฟนทำตามคติของตัวเองท่าเดียว เค้าก็ตั้งคำถามว่าผู้หญิงแบบนี้เห็นแก่ตัวรึเปล่า การยึดแต่กฎเกณฑ์ของตัวเองโดยไม่ฟังความต้องการของอีกฝ่ายมันใช่ความรักระหว่างคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตกันหรือ กรณีพ่อแม่สั่งสอนลูก พี่อบรมน้อง หรือเพื่อนที่เตือนกันเวลาจะลอกการบ้านหรือโดดเรียน มันไม่เหมือนกันนะคะ เพราะกรณีพวกนี้ส่วนใหญ่ที่เตือนกันมักจะเป็นเรื่องชัดเจนจริงๆว่าผิด เช่นลูกไม่ยอมแปรงฟัน น้องขโมยของพี่ หรือชวนเพื่อนโดดเรียน คือเรื่องพวกนี้มันชัดๆว่าไม่ดีแน่ เตือนกันก็ถูกแล้ว แต่กรณีมีเซ็กส์ก่อนแต่งนี่มันเป็นสิ่งที่ฟันธงไม่ได้ว่าผิดหรือถูก ข้อเสียก็มี ข้อดีก็มี ดังนั้นการที่คนสองคนเห็นต่างกันในเรื่องนี้มันก็ไม่ผิด แต่เมื่อเห็นต่างแล้วจะตกลงกันยังไง เช่นฝ่ายหญิงที่ตอนแรกยึดกฎแน่นหนา น่าจะพิจารณาดูบ้างว่าคนเราก็สามารถมีเซ็กส์ได้อย่างมีสติ ข้อเสียที่น่ากลัวเช่นท้องหรือติดโรค ถ้าทำอย่างมีความคิดมีสติก็สามารถป้องกันได้ ดังนั้นถ้าเซ็กส์มันเป็นสิ่งที่ถ้าทำโดยมีสติแล้วจะไม่เกิดผลเสีย ก็น่าจะพิจารณาสักนิดในกรณีที่ฝ่ายชายอยากมี แต่ไม่ใช่ว่าปฏิเสธไปเลยดื้อๆแล้วอ้างว่าฝ่ายชายต้องทำตามแบบที่ฉันต้องการเหมือนที่ผู้หญิงบางคนทำ
คุณบอกว่าข้อเสียคือในทางสังคมที่จะมองว่าไม่ดีใช่มั๊ยคะ
แล้วทำไมถึงคิดว่าสิ่งที่สังคมคิดมันสำคัญกว่าความต้องการของแฟนตัวเอง ตกลงรักใครกันแน่ รักแฟนหรือว่ารักสังคม ในอนาคตวางแผนจะแต่งงานกับแฟนที่คบอยู่ หรือแต่งงานกับสังคม แต่งงานไปแล้ว ถ้าเซ็กส์เข้ากันไม่ได้ คนที่ต้องมานั่งทุกข์ใจ คือคุณกับแฟน หรือว่าคุณกับสังคมคนเราก็แปลก ไม่อยากรับความเสี่ยงที่จะถูกสังคมมองว่าไม่ดี แต่กล้าเสี่ยงที่อาจจะแต่งงานไปแล้วเจอผู้ร่วมเตียงตลอดชีพที่เซ็กส์วิปริต ถ้าจะบอกว่าเก็บไว้หลังแต่งเพราะรักตัวเองนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย จะถูกสังคมมองว่าไม่ดี มันก็เป็นแค่ขี้ปากคน ไม่จำเป็นต้องสนใจนี่คะ แต่ถ้าไปเจอสามีซาดิสต์บนเตียงในคืนวันแต่ง คนที่จะแย่ก็คือตัวคุณเองนะ ถ้าคุณยินดีเสี่ยงที่จะเจอแบบนี้ สรุปแล้วนอกจากจะไม่แคร์ความต้องการของแฟนแล้ว ยังแคร์คำพูดของสังคมมากกว่าแคร์สวัสดิการของตัวเองอีก มีเซ็กส์ก่อนแต่ง ถ้าอยากปลอดภัยก็ยังมีอุปกรณ์ให้ป้องกัน แต่ถ้าแต่งไปแล้วเจอสามีซาดิสต์คืนวันแต่งมันไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่จะช่วยคุณให้ปลอดภัยนะคะ และผู้ชายที่เค้ารับได้โดยไม่คิดอะไรเลยจริงๆ ก็ไม่ใช่คนกลุ่มน้อยนะคะ เพียงเพราะคุณรับไม่ได้ก็อย่าเหมาสิว่าคนส่วนใหญ่จะรับไม่ได้ที่แน่ๆแฟนเรารับได้ และถึงเลือกได้เค้าก็เลือกเราที่ไม่บริสุทธิ์ ทั้งๆที่ตอนก่อนคบกันเค้าก็มีตัวเลือกเป็นผู้หญิงอีกคนที่บริสุทธิ์ แต่สุดท้ายเค้าก็ตัดสินใจเลือกเรา และคนส่วนมากที่เรารู้จักในสังคมก็เป็นแบบแฟนเรานะ เพราะเพื่อนผู้หญิงของเราส่วนใหญ่ก็มีอะไรกับแฟนทุกคน แต่สุดท้ายก็มีผู้ชายดีๆมาเลือกแต่งงานด้วยทุกคน เอะอะก็ใช้คำว่ากลัวท้องมาเป็นเหตุผลที่จะไม่มีเซ็กส์กับแฟนสมัยก่อนอาจจะใช้เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น เพราะการคุมกำเนิดยังไม่เจริญแต่สมัยนี้มันเจริญมากแล้วและสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากผู้ใช้จะเลินเล่อเอง รู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ผู้หญิงหลายคนที่ฉลาด มีสติ และสามารถมีความสุขกับเซ็กส์อยู่ทุกวันโดยไม่ท้องไม่ติดโรคได้ ผู้หญิงบางคนว่าคนอื่นที่ให้เซ็กส์ก่อนว่าเป็นพวกใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือ ในขณะที่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าที่ตัวเองรอเพื่อพิสูจน์ผู้ชายน่ะ ตัวเองก็กำลังใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือเช่นเดียวกันแต่ถ้าจะเทียบแบบคุณว่าอะไรดีกว่า เอาจริงๆก็ยังยืนยันว่าไม่มีอันไหนที่ดีกว่า เพราะการใช้ขนมเป็นเครื่องมือให้เรียนดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผล โดยเฉพาะถ้าขนมชิ้นนั้นเป็นขนมที่ให้ได้แค่ครั้งเดียวให้ก่อน ลูกรับขนมไปแล้วอาจจะไม่ทำตามข้อตกลงให้ทีหลัง แล้วรับประกันได้หรอว่าต่อจากนี้ไปลูกจะเรียนดีอย่างสม่ำเสมอ เพราะขนมก็ให้ได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว เซ็กส์ก็เหมือนกัน ให้ก่อนให้หลังก็ไม่สามารถใช้พิสูจน์ได้ ให้ก่อนแต่ง ผู้ชายอาจจะไม่รักตามที่หวังไว้ ให้หลังแต่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายคนนั้นจะรักตลอดไปและไม่ทิ้งไปมีชู้ดังนั้น ผู้หญิง ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์ความรักจากผู้ชาย ไม่เวิร์คค่ะ แม่ ขนมหนึ่งครั้งเป็นเครื่องมือทำให้เด็กเรียนดีสม่ำเสมอ ก็ไม่เวิร์คเหมือนกัน แปลกๆที่บางคนเตือนผู้หญิงว่า อย่าใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์รัก ยอมมีเซ็กส์ด้วยไม่ได้ทำให้ผู้ชายรักจริง แต่ในขณะเดียวกันก็บอกว่า ต้องให้ผู้ชายอดทนรอ ถ้ารอได้ก็แปลว่าเค้ารักจริง
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน จะวิธียอมมีเพื่อให้เค้ารัก หรือให้รอเพื่อพิสูจน์รัก ทั้งสองวิธีก็เป็นการใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์อยู่ดี ทั้งๆก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเซ็กส์มันใช้พิสูจน์ไม่ได้ จะยอมให้ก่อน หรือให้รอหลังแต่ง ก็ไม่ได้แปลว่าผุ้ชายรักจริง เหมือนกับแม่สองคน คนนึงให้ขนมลูกเพื่อเป็นค่าจ้างให้เรียนดี อีกคนบอกลูกว่าต้องเรียนดีจนผลการเรียนออกมาก่อน ถึงจะให้ขนมเป็นรางวัล กรณีนี้ ไม่ว่าให้ก่อนให้หลัง แม่ทั้งสองคนก็ใช้ขนมเป็นเครื่องมือควบคุมผลการเรียนลูกจะไม่ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์ ก็ต้องตัดประเด็นเซ็กส์ออกไปเลย แล้วใช้อย่างอื่นเป็นเครื่องมือพิสูจน์ เช่นนิสัย ความเสมอต้นเสมอปลาย ส่วนเซ็กส์จะมีตอนไหนก็ได้ ไม่เกี่ยวกับการพิสูจน์รัก ขอแค่มีตอนที่ทั้งสองคนอยากจะมีก็พอ ถ้าคนที่มีด้วยทิ้งไป แล้วยังไงต่อ ก็ไม่เห็นจะลำบากนี่คะ ก็อยู่ด้วยตัวเองเหมือนกับที่เคยอยู่มาก่อนมีแฟนไงล่ะ แฟนทิ้งเค้าก็แค่เอาตัวของเค้าเดินจากไป ไม่ได้เอาแขนขาของเราหรือความสามารถในการเลี้ยงตัวเองของเราไปด้วยนี่คะถ้าคนที่ใช่ในอนาคตเค้ารับไม่ได้ ก็แปลว่าเค้าไม่ใช่คนที่ใช่คนที่จะเรียกว่าใช่ได้จริงๆ ก็คือคนที่รักคุณและรับคุณได้ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง
http://ppantip.com/topic/31492657
ก่อนหน้ารัชกาลที่ ห้า ผุ้หญิงมีทั้งความสัมพันธ์ทางเพศแบบ ชั่วคราวหรือนานก้ได้แล้วแต่สมัครใจ การที่จะมีอะไรกับใครชั่วคราวเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทั่วไป ตราบใดที่ไม่มีชู้ ถ้าเทียบกับสมัยนี้ คนสมัยก่อนสนใจจิตใจมากกว่าคนสมัยนี้ที่มองแต่วัตถุซะอีก เพราะการเปลี่ยนคู่มันง่ายมาก ดังนั้นการผูกใจกันสำคัยมากกว่า
คุรต้องคิดว่า การที่ไม่มีเซ็ก มันเพราะคุณเอาตัวเองเปนที่ตั้งมากกว่ารักแฟน อันนั้นก็โอเค แต่อย่าเอาศีลธรรมมาใช้
เราเป็นผู้หญิงแต่เรากลับไม่มองว่าการมีเซ็กส์ก่อนแต่งมันเสี่ยงนะคะ สำหรับเรา เรามองว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำก่อนแต่งด้วยซ้ำ ก็คือถ้าฝ่ายชายไม่ยอมมีเซ็กส์กับเราก่อน เราก็ไม่แต่งด้วย ที่คิดเช่นนี้ เพราะการจะต้องแต่งงานกับใครสักคนโดยไม่รู้ว่านิสัยบนเตียงเค้าปกติดีรึเปล่า มันเสี่ยงมากกว่าเยอะเลย คิดดู แต่งไปแล้วต้องไปร่วมเตียงกับเค้าไปตลอดชีวิตนะคะ ไม่ใช่ไปนอนด้วยไม่กี่คืน มันคุ้มหรอที่จะเสี่ยงดวงขนาดนั้นความเสี่ยงของการมีเซ็กส์ก่อนแต่งเช่นท้องหรือติดโรคมันยังสามารถป้องกันได้แต่ความเสี่ยงของการไปพบว่าสามีตัวเองวิปริตบนเตียงในคืนแต่งงานนี่มันไม่มีอะไรป้องกันได้เลยนะ นอกจากจะทดลองก่อนแต่ง ไม่เข้าท่าจะได้หนีทัน
ถ้ามีลูกสาว อยากให้ลูกมีsex ก่อนแต่งไหม ?
อยากค่ะ เพราะเราไม่อยากให้ลูกเสี่ยงที่จะแต่งงานกับผู้ชายที่มีรสนิยมผิดปกติบนเตียง เราแคร์สวัสดิการส่วนตัวของลูกตัวเองมากกว่าแคร์ว่าชาวบ้านจะมองยังไง
ถ้ามีแล้ว ลูกสาวโดนทิ้ง - ท้อง - โดนฝ่ายชายเอาไปเล่าเสียหาย .. แล้วคุณจะโทษใคร.. "โทษผ.ช" หรือ "โทษลูกสาว" ?
เรื่องท้อง - โทษลูกสาวตัวเองที่เลินเล่อไม่ป้องกันทั้งๆที่พ่อแม่สอนแล้วว่าให้ป้องกันค่ะ
เรื่องฝ่ายชายเอาไปเล่าเสียหาย - ไม่สนใจขี้ปากชาวบ้านอยู่แล้ว หลังจากว่ากล่าวแล้วก็จะปลอบใจลูกสาวว่า ไม่ต้องเสียใจ ดีแล้วที่ผู้ชายไปตั้งแต่ตอนนี้เพราะคนนิสัยอย่างนี้ไม่สมควรให้มาช่วยหรือมีส่วนในชีวิตของหลานที่จะเกิดมา ไม่งั้นเดี๋ยวเอานิสัยมาถ่ายทอดให้หลานชั้น ผู้ชายดีๆมีอีกเยอะ หาใหม่ได้ ดูอย่างพ่อของลูก แม่เองก็ไม่ได้บริสุทธิ์แล้วในวันที่มาคบกับพ่อ แต่พ่อของลูกก็ยังตัดสินใจเลือกแม่ เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ยินยอมกันทั้ง2ฝ่าย ความเสียหายคงไม่เกิด .. สรุปคือ ผิดทั้งคู่ ใช่ป่ะ ? ไม่ผิดค่ะ เพราะถึงยินยอมกันทั้งสองฝ่าย ความเสียหายก็จะไม่เกิด หากทำอย่างมีสติและรู้จักป้องกัน
สรุปคือ มี sex ก่อนแต่ง แล้วทำให้พ่อแม่ เดือดร้อน อับอาย ขายหน้า ใช่ไหม ?
แล้วแต่พ่อแม่ของครอบครัวนั้นค่ะ อย่างกรณีเรา ไม่ใช่ เพราะพ่อแม่สนับสนุนให้เราทดลองก่อนแต่ง และกรณีลูกเราก็ไม่ใช่อีก เพราะเราก็สนับสนุนให้ลูกมีก่อนแต่ง สังเกตุมั๊ยคะว่าทำไมผู้หญิงฝรั่งถึงไม่ค่อยกลัวการมีเซ็กส์ครั้งแรกเท่ากับผู้หญิงไทย ผู้หญิงฝรั่งถ้าจะมีกลัวบ้างก็ช่วงเป็นวัยรุ่นเท่านั้น แต่ผู้หญิงไทยนี่กลัวไปจนอายุยี่สิบกว่าสามสิบยังมีเลย ก็เป็นเพราะการสอนลูกแบบผิดๆจากพ่อแม่คนไทยหลายๆคน เข้าใจว่าพ่อแม่จะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน พ่อแม่เลยพูดถึงเซ็กส์แต่ในแง่ลบให้ลูกฟัง ขู่สารพัดว่าทำแล้วจะท้อง ติดโรค ไม่มีใครแต่งงานด้วย เจ็บ เลอะเทอะ เสียหาย ทำให้ผู้หญิงไทยหลายคนเติบโตมาโดยมีทัศนคติในแง่ลบกับเซ็กส์ เป็นเหตุให้หลายคนถึงแม้อายุและร่างกายจะเหมาะสมแล้วก็ยังกลัว เพราะไม่สามารถลบทัศนคติที่ฝังรากลึกนี้ได้ บางคนยิ่งแย่ใหญ่ ขนาดแต่งงานแล้วก็ยังกลัวอยู่เลย
หรือบางคนนอนแข็งเป็นท่อนไม้ ไม่ยอมมีส่วนร่วม และไม่มีความสุขกับเซ็กส์ ไม่เคยถึงจุดสุดยอด กรณีทั้งหมดนี้ส่วนมากก็มีต้นเหตุมาจากการมีทัศนคติในแง่ลบกับเซ็กส์นั่นเอง
สิ่งที่เราชี้แจงมา ก็เพราะคุณพูดถึงกรณีที่ผู้หญิงปฎิเสธเพราะไม่พร้อม
เราก็เลยชี้แจงว่าสาเหตุที่ผู้หญิงไทยหลายคนเป็นเช่นนี้ก็เพราะถูกพ่อแม่ปลูกฝังทัศนคติด้านลบในเรื่องเซ็กส์จนทำให้กลัวไปหมด เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วก็ยังไม่พร้อมซะที
ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีจริง ทำไมปัจจุบันฝรั่งถึงเริ่มมีการรณรงค์เรื่องรักนวลสงวนตัวกันมากขึ้นล่ะคะ
อันนั้นถ้าฟังดีๆ เค้าเจาะจงรณรงค์ให้เด็กและวัยรุ่นค่ะ เพราะเด็กวัยรุ่นฝรั่งก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นประเทศอื่นทั่วไปที่เป็นวัยอยากรู้อยากลอง เด็กฝรั่งเป็นมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเค้ามีความกล้ามากกว่าการมีเซ็กส์ในวัยเรียน ไม่ว่าจะฝรั่งหรือไทยมันก็ไม่สมควรทั้งนั้นแหละค่ะ
แต่ที่ต่างกันคือ ฝรั่งเค้าแยกแยะเด็กวัยรุ่นออกจากผุ้ใหญ่วัยทำงาน เค้าจะรณรงค์รักนวลสงวนตัวเค้าก็รณรงค์กับกลุ่มเป้าหมายคือเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ลองเค้าไปรณรงค์เรื่องนี้กับผู้ใหญ่วัยทำงานสิ รับรองโดนด่ากลับว่าละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล
เราไม่เคยคิดว่าเซ็กส์จะใช้พิสูจน์รักแท้ได้ ไม่ว่าจะทำก่อนแต่งหรือหลังแต่งก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้
จุดที่เราตั้งใจจะสื่อคือการที่คนเรายึดถือคติของตัวเองมากจนไม่คิดถึงความต้องการของอีกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเซ็กส์ จะเรื่องอะไรก็ได้ ถ้าคนเรารักกันก็น่าจะยอมรับความต้องการของอีกฝ่ายบ้าง
กลับกัน เมืองไทยไม่ยอมแยกแยะอะไรเลย จะรณรงค์ทีก็เหมารวมไปหมดว่าผู้หญิงทุกคนถ้ายังไม่แต่งงานก็ไม่ควรมีเซ็กส์ ทำแบบนี้มันใช่หรอ จะรณรงค์ก็ไปรณรงค์กับเด็กวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสิคะ จะมากะเกณฑ์อะไรกับผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะและรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
ผู้หญิงที่ยึดคติมีเซ็กส์หลังแต่ง ถึงแม้ว่าแฟนตัวเองอยากมีก่อนก็ไม่ฟังความเห็นของแฟน จะให้แฟนทำตามคติของตัวเองท่าเดียว เค้าก็ตั้งคำถามว่าผู้หญิงแบบนี้เห็นแก่ตัวรึเปล่า การยึดแต่กฎเกณฑ์ของตัวเองโดยไม่ฟังความต้องการของอีกฝ่ายมันใช่ความรักระหว่างคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตกันหรือ กรณีพ่อแม่สั่งสอนลูก พี่อบรมน้อง หรือเพื่อนที่เตือนกันเวลาจะลอกการบ้านหรือโดดเรียน มันไม่เหมือนกันนะคะ เพราะกรณีพวกนี้ส่วนใหญ่ที่เตือนกันมักจะเป็นเรื่องชัดเจนจริงๆว่าผิด เช่นลูกไม่ยอมแปรงฟัน น้องขโมยของพี่ หรือชวนเพื่อนโดดเรียน คือเรื่องพวกนี้มันชัดๆว่าไม่ดีแน่ เตือนกันก็ถูกแล้ว แต่กรณีมีเซ็กส์ก่อนแต่งนี่มันเป็นสิ่งที่ฟันธงไม่ได้ว่าผิดหรือถูก ข้อเสียก็มี ข้อดีก็มี ดังนั้นการที่คนสองคนเห็นต่างกันในเรื่องนี้มันก็ไม่ผิด แต่เมื่อเห็นต่างแล้วจะตกลงกันยังไง เช่นฝ่ายหญิงที่ตอนแรกยึดกฎแน่นหนา น่าจะพิจารณาดูบ้างว่าคนเราก็สามารถมีเซ็กส์ได้อย่างมีสติ ข้อเสียที่น่ากลัวเช่นท้องหรือติดโรค ถ้าทำอย่างมีความคิดมีสติก็สามารถป้องกันได้ ดังนั้นถ้าเซ็กส์มันเป็นสิ่งที่ถ้าทำโดยมีสติแล้วจะไม่เกิดผลเสีย ก็น่าจะพิจารณาสักนิดในกรณีที่ฝ่ายชายอยากมี แต่ไม่ใช่ว่าปฏิเสธไปเลยดื้อๆแล้วอ้างว่าฝ่ายชายต้องทำตามแบบที่ฉันต้องการเหมือนที่ผู้หญิงบางคนทำ
คุณบอกว่าข้อเสียคือในทางสังคมที่จะมองว่าไม่ดีใช่มั๊ยคะ
แล้วทำไมถึงคิดว่าสิ่งที่สังคมคิดมันสำคัญกว่าความต้องการของแฟนตัวเอง ตกลงรักใครกันแน่ รักแฟนหรือว่ารักสังคม ในอนาคตวางแผนจะแต่งงานกับแฟนที่คบอยู่ หรือแต่งงานกับสังคม แต่งงานไปแล้ว ถ้าเซ็กส์เข้ากันไม่ได้ คนที่ต้องมานั่งทุกข์ใจ คือคุณกับแฟน หรือว่าคุณกับสังคมคนเราก็แปลก ไม่อยากรับความเสี่ยงที่จะถูกสังคมมองว่าไม่ดี แต่กล้าเสี่ยงที่อาจจะแต่งงานไปแล้วเจอผู้ร่วมเตียงตลอดชีพที่เซ็กส์วิปริต ถ้าจะบอกว่าเก็บไว้หลังแต่งเพราะรักตัวเองนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย จะถูกสังคมมองว่าไม่ดี มันก็เป็นแค่ขี้ปากคน ไม่จำเป็นต้องสนใจนี่คะ แต่ถ้าไปเจอสามีซาดิสต์บนเตียงในคืนวันแต่ง คนที่จะแย่ก็คือตัวคุณเองนะ ถ้าคุณยินดีเสี่ยงที่จะเจอแบบนี้ สรุปแล้วนอกจากจะไม่แคร์ความต้องการของแฟนแล้ว ยังแคร์คำพูดของสังคมมากกว่าแคร์สวัสดิการของตัวเองอีก มีเซ็กส์ก่อนแต่ง ถ้าอยากปลอดภัยก็ยังมีอุปกรณ์ให้ป้องกัน แต่ถ้าแต่งไปแล้วเจอสามีซาดิสต์คืนวันแต่งมันไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่จะช่วยคุณให้ปลอดภัยนะคะ และผู้ชายที่เค้ารับได้โดยไม่คิดอะไรเลยจริงๆ ก็ไม่ใช่คนกลุ่มน้อยนะคะ เพียงเพราะคุณรับไม่ได้ก็อย่าเหมาสิว่าคนส่วนใหญ่จะรับไม่ได้ที่แน่ๆแฟนเรารับได้ และถึงเลือกได้เค้าก็เลือกเราที่ไม่บริสุทธิ์ ทั้งๆที่ตอนก่อนคบกันเค้าก็มีตัวเลือกเป็นผู้หญิงอีกคนที่บริสุทธิ์ แต่สุดท้ายเค้าก็ตัดสินใจเลือกเรา และคนส่วนมากที่เรารู้จักในสังคมก็เป็นแบบแฟนเรานะ เพราะเพื่อนผู้หญิงของเราส่วนใหญ่ก็มีอะไรกับแฟนทุกคน แต่สุดท้ายก็มีผู้ชายดีๆมาเลือกแต่งงานด้วยทุกคน เอะอะก็ใช้คำว่ากลัวท้องมาเป็นเหตุผลที่จะไม่มีเซ็กส์กับแฟนสมัยก่อนอาจจะใช้เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น เพราะการคุมกำเนิดยังไม่เจริญแต่สมัยนี้มันเจริญมากแล้วและสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากผู้ใช้จะเลินเล่อเอง รู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ผู้หญิงหลายคนที่ฉลาด มีสติ และสามารถมีความสุขกับเซ็กส์อยู่ทุกวันโดยไม่ท้องไม่ติดโรคได้ ผู้หญิงบางคนว่าคนอื่นที่ให้เซ็กส์ก่อนว่าเป็นพวกใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือ ในขณะที่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าที่ตัวเองรอเพื่อพิสูจน์ผู้ชายน่ะ ตัวเองก็กำลังใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือเช่นเดียวกันแต่ถ้าจะเทียบแบบคุณว่าอะไรดีกว่า เอาจริงๆก็ยังยืนยันว่าไม่มีอันไหนที่ดีกว่า เพราะการใช้ขนมเป็นเครื่องมือให้เรียนดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผล โดยเฉพาะถ้าขนมชิ้นนั้นเป็นขนมที่ให้ได้แค่ครั้งเดียวให้ก่อน ลูกรับขนมไปแล้วอาจจะไม่ทำตามข้อตกลงให้ทีหลัง แล้วรับประกันได้หรอว่าต่อจากนี้ไปลูกจะเรียนดีอย่างสม่ำเสมอ เพราะขนมก็ให้ได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว เซ็กส์ก็เหมือนกัน ให้ก่อนให้หลังก็ไม่สามารถใช้พิสูจน์ได้ ให้ก่อนแต่ง ผู้ชายอาจจะไม่รักตามที่หวังไว้ ให้หลังแต่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายคนนั้นจะรักตลอดไปและไม่ทิ้งไปมีชู้ดังนั้น ผู้หญิง ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์ความรักจากผู้ชาย ไม่เวิร์คค่ะ แม่ ขนมหนึ่งครั้งเป็นเครื่องมือทำให้เด็กเรียนดีสม่ำเสมอ ก็ไม่เวิร์คเหมือนกัน แปลกๆที่บางคนเตือนผู้หญิงว่า อย่าใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์รัก ยอมมีเซ็กส์ด้วยไม่ได้ทำให้ผู้ชายรักจริง แต่ในขณะเดียวกันก็บอกว่า ต้องให้ผู้ชายอดทนรอ ถ้ารอได้ก็แปลว่าเค้ารักจริง
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน จะวิธียอมมีเพื่อให้เค้ารัก หรือให้รอเพื่อพิสูจน์รัก ทั้งสองวิธีก็เป็นการใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์อยู่ดี ทั้งๆก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเซ็กส์มันใช้พิสูจน์ไม่ได้ จะยอมให้ก่อน หรือให้รอหลังแต่ง ก็ไม่ได้แปลว่าผุ้ชายรักจริง เหมือนกับแม่สองคน คนนึงให้ขนมลูกเพื่อเป็นค่าจ้างให้เรียนดี อีกคนบอกลูกว่าต้องเรียนดีจนผลการเรียนออกมาก่อน ถึงจะให้ขนมเป็นรางวัล กรณีนี้ ไม่ว่าให้ก่อนให้หลัง แม่ทั้งสองคนก็ใช้ขนมเป็นเครื่องมือควบคุมผลการเรียนลูกจะไม่ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์ ก็ต้องตัดประเด็นเซ็กส์ออกไปเลย แล้วใช้อย่างอื่นเป็นเครื่องมือพิสูจน์ เช่นนิสัย ความเสมอต้นเสมอปลาย ส่วนเซ็กส์จะมีตอนไหนก็ได้ ไม่เกี่ยวกับการพิสูจน์รัก ขอแค่มีตอนที่ทั้งสองคนอยากจะมีก็พอ ถ้าคนที่มีด้วยทิ้งไป แล้วยังไงต่อ ก็ไม่เห็นจะลำบากนี่คะ ก็อยู่ด้วยตัวเองเหมือนกับที่เคยอยู่มาก่อนมีแฟนไงล่ะ แฟนทิ้งเค้าก็แค่เอาตัวของเค้าเดินจากไป ไม่ได้เอาแขนขาของเราหรือความสามารถในการเลี้ยงตัวเองของเราไปด้วยนี่คะถ้าคนที่ใช่ในอนาคตเค้ารับไม่ได้ ก็แปลว่าเค้าไม่ใช่คนที่ใช่คนที่จะเรียกว่าใช่ได้จริงๆ ก็คือคนที่รักคุณและรับคุณได้ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง
http://ppantip.com/topic/31492657
ความคิดเห็นที่ 35
ถ้าคนที่มีด้วยทิ้งไป แล้วยังไงต่อ ก็ไม่เห็นจะลำบากนี่คะ ก็อยู่ด้วยตัวเองเหมือนกับที่เคยอยู่มาก่อนมีแฟนไงล่ะ แฟนทิ้งเค้าก็แค่เอาตัวของเค้าเดินจากไป ไม่ได้เอาแขนขาของเราหรือความสามารถในการเลี้ยงตัวเองของเราไปด้วยนี่คะ
ถ้าคนที่ใช่ในอนาคตเค้ารับไม่ได้ ก็แปลว่าเค้าไม่ใช่คนที่ใช่
คนที่จะเรียกว่าใช่ได้จริงๆ ก็คือคนที่รักคุณและรับคุณได้ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง
ผู้ชายเค้าก็ไม่ได้อะไรกลับคืนเหมือนกันนี่นา
สมมติชายกับหญิงมีเซ็กส์กัน
ครั้งแรกของผู้หญิงเอากลับคืนมาไม่ได้ ครั้งแรกของผู้ชายก็เอากลับคืนมาไม่ได้เช่นกัน
มีอะไรกันแล้ว แยกย้ายกลับบ้าน
ผู้หญิงไม่ได้อวัยวะส่วนไหนของผู้ชายติดตัวกลับบ้าน
ผู้ชายก็ไม่ได้อวัยวะส่วนไหนของผู้หญิงติดตัวกลับบ้านเช่นกัน
หากเลิกกันในภายหลัง
ผู้หญิงสูญเสียแฟน
ผู้ชายก็สูญเสียแฟนเช่นกัน
ถ้าผู้ชายจะอวดอ้างว่า ผมเคยเป็นเจ้าของผู้หญิงคนนี้มาก่อน
ผู้หญิงก็อ้างได้เหมือนกันว่า ฉันเคยเป็นเจ้าของผู้ชายคนนี้มาก่อน
แล้วผู้หญิงเสียเปรียบตรงไหนคะ ยังไม่เห็นอะไรที่ทำให้ผู้หญิงเสียมากกว่าผู้ชายเลย
เราว่าที่บอกว่าเสียๆกันนี่ คิดกันไปเองมากกว่า
ถ้าเลือกที่จะมองว่าเสีย ก็จะรู้สึกว่าเสีย
แต่ถ้าเลือกที่จะมองว่าไม่เสีย มันก็ไม่รู้สึกว่าเสีย
อวัยวะเพศของทั้งหญิงทั้งชายก็เหมือนๆกับอวัยวะอื่นๆของร่างกายแหละค่ะ
ยิ่งแก่ ประสิทธิภาพยิ่งลดลงเป็นธรรมดา
แต่ที่บอกว่าของผู้หญิงทำบ่อยๆแล้วจะหย่อนยานหรือหลวม เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าคะ
เราว่าผู้ชายชอบพูดแบบนี้ให้ผู้หญิงกลัวมากกว่า
ลองคิดดูว่าทำไมผู้หญิงสมัยก่อนยังท้องและคลอดลูกออกมาเป็นสิบคนได้
ทั้งๆที่แต่ก่อนยังไม่มีการทำรีแพหรือการแนะนำให้ขมิบ
ถ้าเอาของผู้ชายใส่แล้วทำให้หลวมจริงแบบที่เค้าขู่กัน แบบนี้คลอดลูกแค่คนเดียวก็คงจะบานจนใช้อีกไม่ได้แล้ว เพราะหัวเด็กที่ออกมา ใหญ่กว่าของผู้ชายตั้งเยอะ
แต่ขนาดคลอดลูกออกมาแล้ว อวัยวะก็ยังมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะให้ความสุขกับผู้ชายจนทำให้มีและคลอดลูกคนที่ 2, 3 ,4 ,5 ,6, 7 ....... ต่อไปได้อีก
ดังนั้นของผู้หญิงน่ะ แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดีขนาดไหน คิดดูละกัน
จริงๆแล้วของผู้หญิงแข็งแรงกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ ขนาดผ่านการทรมานถูกยืดขยายให้เด็กออกมาแล้ว ยังกลับมาใช้งานได้ปกติ แต่ลองเอาของผู้ชายมาทรมานบ้างสิ เช่นเอาอะไรที่มันรัดแน่นกว่าอวัยวะผู้หญิงหลายๆเท่ามาบีบรัดดู รับรอง ร้องจ๊ากกันหมดแน่นอน สมมติคุณนอนกับผู้ชายมา 20 คน ในความเป็นจริงมันไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย คุณไม่ได้เสียอะไรไปมากกว่าที่ผู้ชายเสีย เพียงแต่มีคนในสังคมมาบอกว่าคุณเสียหาย คุณก็เชื่อหรอ ทั้งๆที่ก็เห็นชัดๆว่ามันไม่มีอะไรเสีย ตรรกะแปลกๆค่ะ
เอาตรรกะเดียวกันนี้มาเทียบนะ สมมติคุณมีบ้าน คุณเชิญแขกเข้ามา 20 คน แต่ละคนเค้าเข้ามาเยี่ยม เสร็จแล้วเค้าก็กลับบ้านไป ไม่ได้ขโมยของหรือหยิบอะไรติดมือไปเลย บ้านคุณทรัพย์สินธ์คุณก็อยู่เหมือนเดิม และแขกที่มาก็เป็นคนที่คุณเชิญเข้ามา ไม่ได้บุกเข้ามาเองหรือบังคับให้คุณเปิดประตู
ทีนี้อยู่ๆคนในสังคมมาหาว่าบ้านคุณเสียหายเพราะเคยมีแขกเข้ามา 20 คน คุณจะเชื่อเค้าหรอ ในเมื่อก็เห็นอยู่ชัดๆว่าไม่ได้เสียอะไรเลย
เกิดมาทั้งทีถ้าจะมานั่งกลัวว่าสังคมจะคิดอย่างโน้นอย่างนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดีค่ะ เพราะคนในสังคมต่างจิตต่างใจ ไม่มีทางหรอกที่จะทำให้ทุกคนในสังคมชอบในสิ่งที่คุณทำ ต่อให้คุณทำดีแค่ไหน ถ้าคนจะนินทาเค้าก็กุเรื่องขึ้นมานินทาได้อยู่ดี ถ้าคุณไม่แคร์คุณก็สบายใจไป แต่ถ้าคุณแคร์ก็มานั่งเครียด
คุณจะยืนยันสั่งสอนคนอื่นว่าเสียหาย พูดแต่เสียหายๆ คุณอธิบายโดยใช้เหตุผลชัดเจนได้มั๊ยว่ามันเสียหายมากกว่าผู้ชายยังไง ผู้หญิงเสียอะไรที่ผู้ชายไม่เสีย ขอเหตุผลที่เป็นรูปธรรมว่าเสียหายชัดเจนนะคะ ไม่เอาเหตุผลแบบคนในสังคมบอกว่าเสียหายก็เลยเสีย แบบนั้นมันแค่ลมปากคนที่จะพูดอะไรก็ได้ค่ะ
ที่สำคัญ การสอนแบบนี้ นอกจากมันจะไม่มีหลักฐานของการเสียหายชัดเจนแล้ว การปลูกฝังผู้หญิงแบบนี้ยังมีข้อเสียเพราะ
1. เป็นการปลูกฝังให้ผู้หญิงเชื่อว่าตัวเองมีสิทธิ์น้อยกว่าผู้ชาย
2. ปลูกฝังความสองมาตรฐาน คนสองคนทำเรื่องเดียวกันพร้อมๆกัน แต่คนนึงไม่เสียหาย อีกคนนึงเสีย มันสมควรรึ
3. ปลูกฝังให้ผู้หญิงไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง เพราะถูกทำให้เชื่อว่าคุณค่าของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ผู้ชายมาพรากไปได้ ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย คุณค่าเป็นสิ่งที่ติดอยู่กับตัวทุกคน ไม่มีใครสามารถแย่งไปได้ และเป็นสิ่งที่มันจะหายไปได้ในกรณีเดียว คือเมื่อตัวเองมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง เพราะถึงคนอื่นไม่เห็นคุณค่าของคุณ แต่ถ้าคุณเห็นคุณค่าของตัวเองคุณก็ยังมีคุณค่า
http://ppantip.com/topic/31492657
ถ้าคนที่ใช่ในอนาคตเค้ารับไม่ได้ ก็แปลว่าเค้าไม่ใช่คนที่ใช่
คนที่จะเรียกว่าใช่ได้จริงๆ ก็คือคนที่รักคุณและรับคุณได้ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง
ผู้ชายเค้าก็ไม่ได้อะไรกลับคืนเหมือนกันนี่นา
สมมติชายกับหญิงมีเซ็กส์กัน
ครั้งแรกของผู้หญิงเอากลับคืนมาไม่ได้ ครั้งแรกของผู้ชายก็เอากลับคืนมาไม่ได้เช่นกัน
มีอะไรกันแล้ว แยกย้ายกลับบ้าน
ผู้หญิงไม่ได้อวัยวะส่วนไหนของผู้ชายติดตัวกลับบ้าน
ผู้ชายก็ไม่ได้อวัยวะส่วนไหนของผู้หญิงติดตัวกลับบ้านเช่นกัน
หากเลิกกันในภายหลัง
ผู้หญิงสูญเสียแฟน
ผู้ชายก็สูญเสียแฟนเช่นกัน
ถ้าผู้ชายจะอวดอ้างว่า ผมเคยเป็นเจ้าของผู้หญิงคนนี้มาก่อน
ผู้หญิงก็อ้างได้เหมือนกันว่า ฉันเคยเป็นเจ้าของผู้ชายคนนี้มาก่อน
แล้วผู้หญิงเสียเปรียบตรงไหนคะ ยังไม่เห็นอะไรที่ทำให้ผู้หญิงเสียมากกว่าผู้ชายเลย
เราว่าที่บอกว่าเสียๆกันนี่ คิดกันไปเองมากกว่า
ถ้าเลือกที่จะมองว่าเสีย ก็จะรู้สึกว่าเสีย
แต่ถ้าเลือกที่จะมองว่าไม่เสีย มันก็ไม่รู้สึกว่าเสีย
อวัยวะเพศของทั้งหญิงทั้งชายก็เหมือนๆกับอวัยวะอื่นๆของร่างกายแหละค่ะ
ยิ่งแก่ ประสิทธิภาพยิ่งลดลงเป็นธรรมดา
แต่ที่บอกว่าของผู้หญิงทำบ่อยๆแล้วจะหย่อนยานหรือหลวม เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าคะ
เราว่าผู้ชายชอบพูดแบบนี้ให้ผู้หญิงกลัวมากกว่า
ลองคิดดูว่าทำไมผู้หญิงสมัยก่อนยังท้องและคลอดลูกออกมาเป็นสิบคนได้
ทั้งๆที่แต่ก่อนยังไม่มีการทำรีแพหรือการแนะนำให้ขมิบ
ถ้าเอาของผู้ชายใส่แล้วทำให้หลวมจริงแบบที่เค้าขู่กัน แบบนี้คลอดลูกแค่คนเดียวก็คงจะบานจนใช้อีกไม่ได้แล้ว เพราะหัวเด็กที่ออกมา ใหญ่กว่าของผู้ชายตั้งเยอะ
แต่ขนาดคลอดลูกออกมาแล้ว อวัยวะก็ยังมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะให้ความสุขกับผู้ชายจนทำให้มีและคลอดลูกคนที่ 2, 3 ,4 ,5 ,6, 7 ....... ต่อไปได้อีก
ดังนั้นของผู้หญิงน่ะ แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดีขนาดไหน คิดดูละกัน
จริงๆแล้วของผู้หญิงแข็งแรงกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ ขนาดผ่านการทรมานถูกยืดขยายให้เด็กออกมาแล้ว ยังกลับมาใช้งานได้ปกติ แต่ลองเอาของผู้ชายมาทรมานบ้างสิ เช่นเอาอะไรที่มันรัดแน่นกว่าอวัยวะผู้หญิงหลายๆเท่ามาบีบรัดดู รับรอง ร้องจ๊ากกันหมดแน่นอน สมมติคุณนอนกับผู้ชายมา 20 คน ในความเป็นจริงมันไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย คุณไม่ได้เสียอะไรไปมากกว่าที่ผู้ชายเสีย เพียงแต่มีคนในสังคมมาบอกว่าคุณเสียหาย คุณก็เชื่อหรอ ทั้งๆที่ก็เห็นชัดๆว่ามันไม่มีอะไรเสีย ตรรกะแปลกๆค่ะ
เอาตรรกะเดียวกันนี้มาเทียบนะ สมมติคุณมีบ้าน คุณเชิญแขกเข้ามา 20 คน แต่ละคนเค้าเข้ามาเยี่ยม เสร็จแล้วเค้าก็กลับบ้านไป ไม่ได้ขโมยของหรือหยิบอะไรติดมือไปเลย บ้านคุณทรัพย์สินธ์คุณก็อยู่เหมือนเดิม และแขกที่มาก็เป็นคนที่คุณเชิญเข้ามา ไม่ได้บุกเข้ามาเองหรือบังคับให้คุณเปิดประตู
ทีนี้อยู่ๆคนในสังคมมาหาว่าบ้านคุณเสียหายเพราะเคยมีแขกเข้ามา 20 คน คุณจะเชื่อเค้าหรอ ในเมื่อก็เห็นอยู่ชัดๆว่าไม่ได้เสียอะไรเลย
เกิดมาทั้งทีถ้าจะมานั่งกลัวว่าสังคมจะคิดอย่างโน้นอย่างนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดีค่ะ เพราะคนในสังคมต่างจิตต่างใจ ไม่มีทางหรอกที่จะทำให้ทุกคนในสังคมชอบในสิ่งที่คุณทำ ต่อให้คุณทำดีแค่ไหน ถ้าคนจะนินทาเค้าก็กุเรื่องขึ้นมานินทาได้อยู่ดี ถ้าคุณไม่แคร์คุณก็สบายใจไป แต่ถ้าคุณแคร์ก็มานั่งเครียด
คุณจะยืนยันสั่งสอนคนอื่นว่าเสียหาย พูดแต่เสียหายๆ คุณอธิบายโดยใช้เหตุผลชัดเจนได้มั๊ยว่ามันเสียหายมากกว่าผู้ชายยังไง ผู้หญิงเสียอะไรที่ผู้ชายไม่เสีย ขอเหตุผลที่เป็นรูปธรรมว่าเสียหายชัดเจนนะคะ ไม่เอาเหตุผลแบบคนในสังคมบอกว่าเสียหายก็เลยเสีย แบบนั้นมันแค่ลมปากคนที่จะพูดอะไรก็ได้ค่ะ
ที่สำคัญ การสอนแบบนี้ นอกจากมันจะไม่มีหลักฐานของการเสียหายชัดเจนแล้ว การปลูกฝังผู้หญิงแบบนี้ยังมีข้อเสียเพราะ
1. เป็นการปลูกฝังให้ผู้หญิงเชื่อว่าตัวเองมีสิทธิ์น้อยกว่าผู้ชาย
2. ปลูกฝังความสองมาตรฐาน คนสองคนทำเรื่องเดียวกันพร้อมๆกัน แต่คนนึงไม่เสียหาย อีกคนนึงเสีย มันสมควรรึ
3. ปลูกฝังให้ผู้หญิงไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง เพราะถูกทำให้เชื่อว่าคุณค่าของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ผู้ชายมาพรากไปได้ ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย คุณค่าเป็นสิ่งที่ติดอยู่กับตัวทุกคน ไม่มีใครสามารถแย่งไปได้ และเป็นสิ่งที่มันจะหายไปได้ในกรณีเดียว คือเมื่อตัวเองมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง เพราะถึงคนอื่นไม่เห็นคุณค่าของคุณ แต่ถ้าคุณเห็นคุณค่าของตัวเองคุณก็ยังมีคุณค่า
http://ppantip.com/topic/31492657
แสดงความคิดเห็น
อยากทราบ คนจะ30 ใครไม่เคยมี sex บ้าง