จากกระทู้ต้นเรื่อง "ไม่อยากอยู่บ้าน เกลียดแม่"
http://ppantip.com/topic/34206509 ผมอ่านแล้ว นึกถึงตัวเองขึ้นมาทันที
จึงอยากแบ่งปันเรื่องราวให้คุณ สมาชิกหมายเลข 2647916 ได้รับรู้ครับ ทุกถ้อยคำเป็นเรื่องจริงทุกประการครับ
รบกวนขอให้อ่านอย่างครบถ้วนด้วยนะครับ มันอาจจะช่วยคุณได้ ไม่มากก็น้อยครับ
ผมเข้าใจความรู้สึกของเจ้าของกระทู้นะ เพราะผมเคยเป็น ผมทะเลาะกับพ่อทุกวันสมัยเรียนมัธยม เนื่องจากตอนเด็กๆผมอยู่กับแม่ตลอด พ่อไปทำงาน ตปท ส่งเงินมาให้แม่ นานๆกลับมาที ผมไม่สนิทกับพ่อ พออายุ 12 พ่อแม่ผมเลิกกัน จากนั้นพ่อผมแต่งงานใหม่ ผมต้องไปอยู่กับครอบครัวใหม่ของพ่อ เพราะพ่อมีกำลังส่งเสียผมได้ดีกว่าแม่ ปัญหาก็เริ่มตั้งแต่ตอนนั้น ผมทะเลาะกับพ่อทุกวันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ พ่อผมเป็นคนที่คาดหวังในตัวผมสูงมาก ทุกอย่างที่ผมทำ ที่ผมรับผิดชอบ ต้องไร้ที่ติ งานบ้านแทบทุกอย่างในบ้าน ผมเป็นคนทำหมด แล้วต้องทำให้ดีด้วย ล้างจาน หม้อ กะทะ ต้องสะอาด ถ้าเกิดมีคราบมัน เขาจะเอามาเคาะหัวผม บ้านต้องกวาดต้องเช็ดทุกวัน มีจุดดำๆบนพื้นไม่ได้ โดนตบกระโหลกทันที เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้น ผมก็เริ่มต่อต้าน มันก็ยิ่งหนักขึ้นๆ การลงโทษเริ่มรุนแรงขึ้น ตั้งแต่การตีก้น(จนแตก) ตีน่อง(จนแตก) ตีหัว จากนั้นก็เป็นเตะ ผมเคยโดนเตะที่ต้นขา ที่เขาเรียกว่าเจาะยางน่ะครับ ช้ำเลือดเลย แล้วก็มีแขนช้ำเหมือนกัน แล้วก็โดนตบหน้า โดนถีบ แม้แต่เคยโดนเตะผ่าหมากล้มลงไปจุกกับพื้น เหตุผลคือ งานบ้านบกพร่อง ห้องรก ซื้อหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียนเข้าบ้าน (ผมชอบอ่านหนังสือข่าวบันเทิง นักร้องต่างชาติและก็การ์ตูนพ็อคเก็ตบุ๊ค ซึ่งเป็นเงินค่าขนมที่ผมเก็บเอง ตอนนั้นผมไม่เข้าใจอย่างมากว่า ผมผิดอะไรนักหนา)
หลังจากนั้นผมเริ่มโกหกต่างๆนาๆเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด เช่น อยากไปเที่ยวบ้านเพื่อนในวันเสาร์-อาทิตย์ (ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดามากๆนะ ที่เราจะไปเที่ยวบ้านเพื่อน แต่ผมต้องโกหก เพราะพ่อไม่ให้ไป) ต้องโกหกว่าไปทำรายงาน ถึงจะได้ไป ก็จับบ้างไม่ได้บ้าง ถ้าโดนจับได้ก็เจ็บตัวเหมือนเดิม ตอนนั้นผมไม่เคยอยากแม้แต่จะเห็นหน้าพ่อ ผมเกลียดเขามาก เกลียดที่สุด เกลียดขนาดที่ผมเคยเขียนบนโต๊ะทำการบ้านในห้องว่า อยากตายๆๆๆๆๆๆๆ เต็มโต๊ะไปหมด แล้วเคยเขียนลงกระดาษว่า อยากให้พ่อตายไป แล้วพับเก็บมันไว้ในกีต้าร์ (ตอนหลังเขาเจอกระดาษแผ่นนั้น) ผมไม่อยากอยู่บ้านเลยแม้แต่วินาทีเดียว ผมไม่อยากให้มีวันเสาร์-อาทิตย์ ผมไม่อยากให้มีปิดเทอม ผมอยากไปโรงเรียนทุกวัน เพราะโรงเรียนอยู่แล้วมีความสุขมากกว่า มันทรมาณมากที่ต้องรู้ว่าตัวเองต้องกลับบ้านแล้ว ผมเกลียดบ้าน ผมอดทนอย่างมากในการประคับประคองชีวิตตัวเองให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ผมคิดอยากฆ่าตัวตาย (ด้วยเหตุผลสั้นๆว่า ผมอยากจะรู้ว่าถ้าผมตายไป พ่อจะรู้สึกเสียใจบ้างไหม ผมคงไม่มีค่าอะไรต่อเขา มันแย่มาก) แต่ผมได้อาผมช่วยไว้ อาผมคอยปลอบและให้กำลังใจ ให้ผมอดทน ผมก็เอาตัวรอดจนจบม.ปลาย ผมคิดว่าทุกอย่างมันจะจบแล้ว แต่มันยังไม่จบ
ผมมาเรียนที่กรุงเทพ มาอยู่บ้านญาติ ก็คิดว่าชีวิตคงอิสระมากขึ้น แต่ความจริงไม่เลย พ่อยังคงโทรมาถามญาติว่าผมเป็นยังไงบ้าง ผมก็ปกตินะครับ ไม่ได้เกเรอะไร แต่เรื่องการซื้อหนังสือผมก็ยังคงซื้อต่อไป พอพ่อรู้ พ่อก็ขึ้นมา กทม มาจัดการผม โดยการเอาสันหนังสือฟาดหัวผมนับครั้งไม่ถ้วน แล้วแจ็คพอตแตกครับ เขาเจอหนังสือเกย์ (ผมเป็นเกย์ แต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้) เล่มนึง พ่อปี๊ดแตกมาก เอาหนังสือตบหน้า แล้วก็ด่าผมอย่างรุนแรง ประนามหยามเหยียดว่าวิปริต สกปรก และที่สำคัญ บ้านญาติไม่ได้มีผมอยู่คนเดียว มีลูกพี่ลูกน้องคนอื่นอยู่ด้วย ผมอับอายมาก ที่โดนด่าแบบนั้น ผมตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรก 4-5 เดือน ไปอยู่กับเพื่อนและรุ่นพี่ ไปทำงานในผับ แล้วอาก็ขอร้องให้กลับบ้าน ผมก็กลับแต่มีข้อแม้ว่า พ่อห้ามทำร้ายผม ห้ามเป็นเหมือนแต่ก่อน พ่อก็เหมือนจะรับปาก แต่พอกลับไปก็เหมือนเดิมครับ ทั้งด่าทั้งตบทั้งเหน็บแนมผมที่ผมเป็นเกย์ ที่เจ็บมากๆคือ นั่งดูทีวีด้วยกันในบ้าน เป็นข่าวบันเทิง แกเห็นนายแบบผู้ชายเดินแบบ ใส่กางเกงในตัวเดียวเดินบนแค็ทว็อค แกเรียกผม แล้วบอกว่า "ไอ้..... ดูสิ ชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ" คือตอนนั้นผมอึ้งมาก ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พ่อพูดนี้เพื่ออะไร เพื่อความสะใจ เพื่อความตลกขบขำ หรืออะไรไม่ทราบ แต่ผมไม่ขำ ผมขำไม่ออก ผมเดินหนีเข้าห้องแล้วมานั่งร้องไห้ แล้วคอยถามตัวเองเป็นร้อยเป็นพันรอบว่า ทำไมพ่อต้องทำแบบนี้ มันเจ็บปวดมากเลยครับ สำหรับสิ่งที่พ่อทำกับผม คืนนั้นผมตัดสินใจ หนีออกจากบ้านพร้อมเขียนจดหมายระบายความอัดอั้นที่เก็บมาโดยตลอดทิ้งไว้ให้เขาได้อ่าน ครั้งนั้นคือการหนีออกจากบ้านที่ยาวนานที่สุด คือ 6 ปี ไม่เคยติดต่อเขาเลย ไม่เคยใช้เงินของเขาสักบาท
ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายเหลือเกินใน 6 ปีนั้น ทั้งเรื่องดีๆและเรื่องแย่ๆ มันทำให้ผมแกร่งขึ้นมาก แต่ถามว่า 6 ปีที่ผมออกมาจากบ้าน ผมคิดถึงพ่อมั๊ย ตอบตรงๆเลยนะครับ 2-3 ปีแรก ไม่คิดเลยครับ แต่หลังจากนั้นผมเริ่มคิดถึงครับ คิดถึงพ่อว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั๊ย ยังแข็งแรงดีรึเปล่า มีเบอร์บ้านนะครับ แต่ผมไม่กล้าโทรไปบวกกับทิฐิที่มี จนปีที่ 6 อาผมติดต่อผมได้ แล้วเขาก็บอกว่า พ่ออยากเจอ พ่ออยากให้ผมกลับบ้านเรียนต่อ (ช่วงที่หนีออกมาจากบ้าน ผมไม่ได้เรียนต่อ ผมทำงานทุกอย่างๆเพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง เคยไปลงเรียนที่รามฯ แต่ก็ดรอปตลอด ยอมรับว่าสนุกกับงานมากกว่า) แล้วอาก็อยากให้เขาได้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ในใจตอนนั้นผมก็อยากกลับไปนะ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มยังไง ความรู้สึกมีทั้งอยากเจอและก็กลัว กลัวทุกอย่างมันจะเป็นเหมือนเดิมอีก แต่ผมก็กลับไปนะ แต่ไปอยู่บ้านอา แล้วอาก็คงแอบโทรหาพ่อให้มาเจอผม แต่ผมก็รู้แล้วล่ะว่าอาต้องทำแบบนี้ แต่ในใจก็อยากให้เป็นแบบนั้น ตอนที่เจอพ่อหลังจาก 6 ปี พ่อแก่ลงไปพอสมควร แต่ดูนิ่งขึ้น ใจเย็นขึ้น ดูไม่เหมือนเดิม แต่เราไม่ได้มีโมเม้นท์แบบว่า โห ไม่เจอกันหลายปี วิ่งโผกอดกันน้ำตาคลอ ไม่มีครับ ต่างคนต่างนิ่งๆ แต่ถามว่าผมดีใจมั๊ย ในใจลึกๆดีใจครับ ที่ยังเห็นเขาแข็งแรง แล้วผมก็ตอบตกลงที่จะเรียนต่อจนจบมหาลัย
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อก็ค่อยๆดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะ พ่อคงมองว่า ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว 6 ปีที่ผมหายไป ผมคงผ่านอะไรมามากมายพอสมควร ผมยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองได้ระดับนึง มันคงเป็นหนึ่งในความคาดหวังของพ่อ พ่อใจเย็นขึ้น สงบมากขึ้นเรื่อยๆ อะไรต่างๆในชีวิต ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อผมคงหมดห่วงเรื่องของผมแล้ว ก็เหลือแต่น้องชายที่ยังมีปัญหา ทุกวันนี้พ่อมักจะมาโทรปรึกษาเรื่องน้องชายเป็นประจำ แต่ถามว่า ในเมื่อความสัมพันธ์มันดีขึ้นแล้ว ผมยังอยากกลับไปอยู่บ้านมั๊ย ผมตอบได้เลยว่า ไม่ครับ .... ผมก็ยังคงรู้สึกว่า นั่นไม่ใช่ที่ของผม ถึงมันจะถูกเรียกว่าบ้านก็เถอะ แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่ ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งๆที่สถานการณ์มันดีขึ้นมากแล้ว มันคงเป็นอะไรที่ฝังใจผมมาตั้งแต่เด็ก มันเหมือนแผลที่ไม่สามารถลบออกไปจากใจผมได้ ผมกลับบ้านนับครั้งได้ในหนึ่งปี แต่ถามว่าผมไม่รักพ่อเหรอ? ผมรักพ่อนะ รักมากด้วย ถ้าวันใดวันนึงท่านต้องจากผมไป ผมคงเสียใจมากๆ มากๆจริงๆ เพราะอะไร เพราะผมยังไม่เคยบอกรักท่านเลยซักครั้ง ผมไม่เคยกอดท่าน หรือแม้แต่จับมือท่านมามากกว่า 25 ปีแล้ว ถามว่าอยากทำมั๊ย อยากทำครับ อยากทำมาก อยากกอดท่านแน่นๆซักครั้ง อยากบอกจากปากตัวว่ารักพ่อมากๆซักครั้ง แต่ผมไม่กล้า ผมเฝ้ารอว่าซักวันนึงผมจะกล้าทำ ผมหวังว่าผมจะกล้าให้มากกว่านี้ (ผมเคยส่งข้อความไปหาพ่อในวันพ่อว่า ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่าง ขอบคุณทุกๆคำสอน .... ผมรักพ่อนะ พ่อผมตอบกลับมา ผมน้ำตาร่วงเป็นท่อประปาแตก ท่านพูดว่า "ขอบคุณลูกที่ยังเห็นคำสอนพ่อเป็นสิ่งที่ดี พ่อรู้ว่าลูกผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย แต่พ่อก็ภูมิใจในตัวลูก รักลูก" ผมยังจำมันได้เสมอ)
ผมไม่รู้ว่ากระทู้นี้ เจ้าของกระทู้จะได้อะไรจากเรื่องราวของผมหรือไม่ (ผมหวังไว้ว่าคุณจะได้มันไปไม่มากก็น้อยนะครับ) สิ่งที่ผมอยากบอกเจ้าของกระทู้นะครับ ผมเข้าใจความรู้สึกเจ้าของกระทู้มากๆ มากๆจริงๆ เราเคยอยู่ในสถานเดียวกัน ผมคงแนะนำอะไรไม่ได้มาก ขอเพียงแค่ อย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าตัวเองยังมีค่า อย่าสูญเสียมันไปเด็ดขาดนะครับ ขอให้อดทนไว้ อดทนเข้าไว้ อดทนให้มากๆ อดทนให้ถึงที่สุด รอเวลาชีวิตที่เจ้าของจะหลุดพ้นพันธนาการนี้ ใช้ชีวิตให้ดีครับ ผมเชื่อว่าเจ้าของกระทู้ทำได้ เจ้าของกระทู้เก่งมากที่ยังเรียนได้เกรดที่สูง ใช้มันให้เป็นประโยชน์ อย่าทำอะไรเพื่อประชดชีวิต อย่าทำให้ชีวิตตัวเองแย่ อย่าทำนะครับ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผลเสียจะตกที่ตัวเจ้าของกระทู้เอง (ผมพูดได้เพราะผมเคยประชดชีวิต แล้วสุดท้าย ผมต้องกลับมานั่งเสียดายเวลาช่วงนั้นไปอย่างมาก) ไม่ว่าเจ้าของกระทู้จะตัดสินใจทำอะไร ขอให้อยู่บนความมีสติ อดทน ให้มากๆ ผมเอาใจช่วยมากๆ ให้เจ้าของกระทู้ผ่านพ้นเรื่องราวมันไปให้ได้ ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่มีชีวิตคล้ายผมและเจ้าของกระทู้ ยังมีคนที่เจอหนักกว่าเรา แย่กว่าเรา เราไม่ได้โดดเดี่ยวนะครับ จำเอาไว้ เราไม่ได้โดดเดี่ยว ก้าวผ่านมันไปให้ได้นะครับ
What doesn't kill you, makes you stronger. อะไรที่ฆ่าคุณไม่ตาย สิ่งนั้นมันจะทำให้คุณแกร่งขึ้น
เอาใจช่วยครับ
รบกวนเจ้าของกระทู้ "ไม่อยากอยู่บ้าน เกลียดแม่" ทางนี้ด้วยนะครับ ผมมีอะไรอยากแบ่งปันครับ
จึงอยากแบ่งปันเรื่องราวให้คุณ สมาชิกหมายเลข 2647916 ได้รับรู้ครับ ทุกถ้อยคำเป็นเรื่องจริงทุกประการครับ
รบกวนขอให้อ่านอย่างครบถ้วนด้วยนะครับ มันอาจจะช่วยคุณได้ ไม่มากก็น้อยครับ
ผมเข้าใจความรู้สึกของเจ้าของกระทู้นะ เพราะผมเคยเป็น ผมทะเลาะกับพ่อทุกวันสมัยเรียนมัธยม เนื่องจากตอนเด็กๆผมอยู่กับแม่ตลอด พ่อไปทำงาน ตปท ส่งเงินมาให้แม่ นานๆกลับมาที ผมไม่สนิทกับพ่อ พออายุ 12 พ่อแม่ผมเลิกกัน จากนั้นพ่อผมแต่งงานใหม่ ผมต้องไปอยู่กับครอบครัวใหม่ของพ่อ เพราะพ่อมีกำลังส่งเสียผมได้ดีกว่าแม่ ปัญหาก็เริ่มตั้งแต่ตอนนั้น ผมทะเลาะกับพ่อทุกวันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ พ่อผมเป็นคนที่คาดหวังในตัวผมสูงมาก ทุกอย่างที่ผมทำ ที่ผมรับผิดชอบ ต้องไร้ที่ติ งานบ้านแทบทุกอย่างในบ้าน ผมเป็นคนทำหมด แล้วต้องทำให้ดีด้วย ล้างจาน หม้อ กะทะ ต้องสะอาด ถ้าเกิดมีคราบมัน เขาจะเอามาเคาะหัวผม บ้านต้องกวาดต้องเช็ดทุกวัน มีจุดดำๆบนพื้นไม่ได้ โดนตบกระโหลกทันที เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้น ผมก็เริ่มต่อต้าน มันก็ยิ่งหนักขึ้นๆ การลงโทษเริ่มรุนแรงขึ้น ตั้งแต่การตีก้น(จนแตก) ตีน่อง(จนแตก) ตีหัว จากนั้นก็เป็นเตะ ผมเคยโดนเตะที่ต้นขา ที่เขาเรียกว่าเจาะยางน่ะครับ ช้ำเลือดเลย แล้วก็มีแขนช้ำเหมือนกัน แล้วก็โดนตบหน้า โดนถีบ แม้แต่เคยโดนเตะผ่าหมากล้มลงไปจุกกับพื้น เหตุผลคือ งานบ้านบกพร่อง ห้องรก ซื้อหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียนเข้าบ้าน (ผมชอบอ่านหนังสือข่าวบันเทิง นักร้องต่างชาติและก็การ์ตูนพ็อคเก็ตบุ๊ค ซึ่งเป็นเงินค่าขนมที่ผมเก็บเอง ตอนนั้นผมไม่เข้าใจอย่างมากว่า ผมผิดอะไรนักหนา)
หลังจากนั้นผมเริ่มโกหกต่างๆนาๆเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด เช่น อยากไปเที่ยวบ้านเพื่อนในวันเสาร์-อาทิตย์ (ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดามากๆนะ ที่เราจะไปเที่ยวบ้านเพื่อน แต่ผมต้องโกหก เพราะพ่อไม่ให้ไป) ต้องโกหกว่าไปทำรายงาน ถึงจะได้ไป ก็จับบ้างไม่ได้บ้าง ถ้าโดนจับได้ก็เจ็บตัวเหมือนเดิม ตอนนั้นผมไม่เคยอยากแม้แต่จะเห็นหน้าพ่อ ผมเกลียดเขามาก เกลียดที่สุด เกลียดขนาดที่ผมเคยเขียนบนโต๊ะทำการบ้านในห้องว่า อยากตายๆๆๆๆๆๆๆ เต็มโต๊ะไปหมด แล้วเคยเขียนลงกระดาษว่า อยากให้พ่อตายไป แล้วพับเก็บมันไว้ในกีต้าร์ (ตอนหลังเขาเจอกระดาษแผ่นนั้น) ผมไม่อยากอยู่บ้านเลยแม้แต่วินาทีเดียว ผมไม่อยากให้มีวันเสาร์-อาทิตย์ ผมไม่อยากให้มีปิดเทอม ผมอยากไปโรงเรียนทุกวัน เพราะโรงเรียนอยู่แล้วมีความสุขมากกว่า มันทรมาณมากที่ต้องรู้ว่าตัวเองต้องกลับบ้านแล้ว ผมเกลียดบ้าน ผมอดทนอย่างมากในการประคับประคองชีวิตตัวเองให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ผมคิดอยากฆ่าตัวตาย (ด้วยเหตุผลสั้นๆว่า ผมอยากจะรู้ว่าถ้าผมตายไป พ่อจะรู้สึกเสียใจบ้างไหม ผมคงไม่มีค่าอะไรต่อเขา มันแย่มาก) แต่ผมได้อาผมช่วยไว้ อาผมคอยปลอบและให้กำลังใจ ให้ผมอดทน ผมก็เอาตัวรอดจนจบม.ปลาย ผมคิดว่าทุกอย่างมันจะจบแล้ว แต่มันยังไม่จบ
ผมมาเรียนที่กรุงเทพ มาอยู่บ้านญาติ ก็คิดว่าชีวิตคงอิสระมากขึ้น แต่ความจริงไม่เลย พ่อยังคงโทรมาถามญาติว่าผมเป็นยังไงบ้าง ผมก็ปกตินะครับ ไม่ได้เกเรอะไร แต่เรื่องการซื้อหนังสือผมก็ยังคงซื้อต่อไป พอพ่อรู้ พ่อก็ขึ้นมา กทม มาจัดการผม โดยการเอาสันหนังสือฟาดหัวผมนับครั้งไม่ถ้วน แล้วแจ็คพอตแตกครับ เขาเจอหนังสือเกย์ (ผมเป็นเกย์ แต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้) เล่มนึง พ่อปี๊ดแตกมาก เอาหนังสือตบหน้า แล้วก็ด่าผมอย่างรุนแรง ประนามหยามเหยียดว่าวิปริต สกปรก และที่สำคัญ บ้านญาติไม่ได้มีผมอยู่คนเดียว มีลูกพี่ลูกน้องคนอื่นอยู่ด้วย ผมอับอายมาก ที่โดนด่าแบบนั้น ผมตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรก 4-5 เดือน ไปอยู่กับเพื่อนและรุ่นพี่ ไปทำงานในผับ แล้วอาก็ขอร้องให้กลับบ้าน ผมก็กลับแต่มีข้อแม้ว่า พ่อห้ามทำร้ายผม ห้ามเป็นเหมือนแต่ก่อน พ่อก็เหมือนจะรับปาก แต่พอกลับไปก็เหมือนเดิมครับ ทั้งด่าทั้งตบทั้งเหน็บแนมผมที่ผมเป็นเกย์ ที่เจ็บมากๆคือ นั่งดูทีวีด้วยกันในบ้าน เป็นข่าวบันเทิง แกเห็นนายแบบผู้ชายเดินแบบ ใส่กางเกงในตัวเดียวเดินบนแค็ทว็อค แกเรียกผม แล้วบอกว่า "ไอ้..... ดูสิ ชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ" คือตอนนั้นผมอึ้งมาก ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พ่อพูดนี้เพื่ออะไร เพื่อความสะใจ เพื่อความตลกขบขำ หรืออะไรไม่ทราบ แต่ผมไม่ขำ ผมขำไม่ออก ผมเดินหนีเข้าห้องแล้วมานั่งร้องไห้ แล้วคอยถามตัวเองเป็นร้อยเป็นพันรอบว่า ทำไมพ่อต้องทำแบบนี้ มันเจ็บปวดมากเลยครับ สำหรับสิ่งที่พ่อทำกับผม คืนนั้นผมตัดสินใจ หนีออกจากบ้านพร้อมเขียนจดหมายระบายความอัดอั้นที่เก็บมาโดยตลอดทิ้งไว้ให้เขาได้อ่าน ครั้งนั้นคือการหนีออกจากบ้านที่ยาวนานที่สุด คือ 6 ปี ไม่เคยติดต่อเขาเลย ไม่เคยใช้เงินของเขาสักบาท
ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายเหลือเกินใน 6 ปีนั้น ทั้งเรื่องดีๆและเรื่องแย่ๆ มันทำให้ผมแกร่งขึ้นมาก แต่ถามว่า 6 ปีที่ผมออกมาจากบ้าน ผมคิดถึงพ่อมั๊ย ตอบตรงๆเลยนะครับ 2-3 ปีแรก ไม่คิดเลยครับ แต่หลังจากนั้นผมเริ่มคิดถึงครับ คิดถึงพ่อว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั๊ย ยังแข็งแรงดีรึเปล่า มีเบอร์บ้านนะครับ แต่ผมไม่กล้าโทรไปบวกกับทิฐิที่มี จนปีที่ 6 อาผมติดต่อผมได้ แล้วเขาก็บอกว่า พ่ออยากเจอ พ่ออยากให้ผมกลับบ้านเรียนต่อ (ช่วงที่หนีออกมาจากบ้าน ผมไม่ได้เรียนต่อ ผมทำงานทุกอย่างๆเพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง เคยไปลงเรียนที่รามฯ แต่ก็ดรอปตลอด ยอมรับว่าสนุกกับงานมากกว่า) แล้วอาก็อยากให้เขาได้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ในใจตอนนั้นผมก็อยากกลับไปนะ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มยังไง ความรู้สึกมีทั้งอยากเจอและก็กลัว กลัวทุกอย่างมันจะเป็นเหมือนเดิมอีก แต่ผมก็กลับไปนะ แต่ไปอยู่บ้านอา แล้วอาก็คงแอบโทรหาพ่อให้มาเจอผม แต่ผมก็รู้แล้วล่ะว่าอาต้องทำแบบนี้ แต่ในใจก็อยากให้เป็นแบบนั้น ตอนที่เจอพ่อหลังจาก 6 ปี พ่อแก่ลงไปพอสมควร แต่ดูนิ่งขึ้น ใจเย็นขึ้น ดูไม่เหมือนเดิม แต่เราไม่ได้มีโมเม้นท์แบบว่า โห ไม่เจอกันหลายปี วิ่งโผกอดกันน้ำตาคลอ ไม่มีครับ ต่างคนต่างนิ่งๆ แต่ถามว่าผมดีใจมั๊ย ในใจลึกๆดีใจครับ ที่ยังเห็นเขาแข็งแรง แล้วผมก็ตอบตกลงที่จะเรียนต่อจนจบมหาลัย
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อก็ค่อยๆดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะ พ่อคงมองว่า ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว 6 ปีที่ผมหายไป ผมคงผ่านอะไรมามากมายพอสมควร ผมยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองได้ระดับนึง มันคงเป็นหนึ่งในความคาดหวังของพ่อ พ่อใจเย็นขึ้น สงบมากขึ้นเรื่อยๆ อะไรต่างๆในชีวิต ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อผมคงหมดห่วงเรื่องของผมแล้ว ก็เหลือแต่น้องชายที่ยังมีปัญหา ทุกวันนี้พ่อมักจะมาโทรปรึกษาเรื่องน้องชายเป็นประจำ แต่ถามว่า ในเมื่อความสัมพันธ์มันดีขึ้นแล้ว ผมยังอยากกลับไปอยู่บ้านมั๊ย ผมตอบได้เลยว่า ไม่ครับ .... ผมก็ยังคงรู้สึกว่า นั่นไม่ใช่ที่ของผม ถึงมันจะถูกเรียกว่าบ้านก็เถอะ แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่ ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งๆที่สถานการณ์มันดีขึ้นมากแล้ว มันคงเป็นอะไรที่ฝังใจผมมาตั้งแต่เด็ก มันเหมือนแผลที่ไม่สามารถลบออกไปจากใจผมได้ ผมกลับบ้านนับครั้งได้ในหนึ่งปี แต่ถามว่าผมไม่รักพ่อเหรอ? ผมรักพ่อนะ รักมากด้วย ถ้าวันใดวันนึงท่านต้องจากผมไป ผมคงเสียใจมากๆ มากๆจริงๆ เพราะอะไร เพราะผมยังไม่เคยบอกรักท่านเลยซักครั้ง ผมไม่เคยกอดท่าน หรือแม้แต่จับมือท่านมามากกว่า 25 ปีแล้ว ถามว่าอยากทำมั๊ย อยากทำครับ อยากทำมาก อยากกอดท่านแน่นๆซักครั้ง อยากบอกจากปากตัวว่ารักพ่อมากๆซักครั้ง แต่ผมไม่กล้า ผมเฝ้ารอว่าซักวันนึงผมจะกล้าทำ ผมหวังว่าผมจะกล้าให้มากกว่านี้ (ผมเคยส่งข้อความไปหาพ่อในวันพ่อว่า ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่าง ขอบคุณทุกๆคำสอน .... ผมรักพ่อนะ พ่อผมตอบกลับมา ผมน้ำตาร่วงเป็นท่อประปาแตก ท่านพูดว่า "ขอบคุณลูกที่ยังเห็นคำสอนพ่อเป็นสิ่งที่ดี พ่อรู้ว่าลูกผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย แต่พ่อก็ภูมิใจในตัวลูก รักลูก" ผมยังจำมันได้เสมอ)
ผมไม่รู้ว่ากระทู้นี้ เจ้าของกระทู้จะได้อะไรจากเรื่องราวของผมหรือไม่ (ผมหวังไว้ว่าคุณจะได้มันไปไม่มากก็น้อยนะครับ) สิ่งที่ผมอยากบอกเจ้าของกระทู้นะครับ ผมเข้าใจความรู้สึกเจ้าของกระทู้มากๆ มากๆจริงๆ เราเคยอยู่ในสถานเดียวกัน ผมคงแนะนำอะไรไม่ได้มาก ขอเพียงแค่ อย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าตัวเองยังมีค่า อย่าสูญเสียมันไปเด็ดขาดนะครับ ขอให้อดทนไว้ อดทนเข้าไว้ อดทนให้มากๆ อดทนให้ถึงที่สุด รอเวลาชีวิตที่เจ้าของจะหลุดพ้นพันธนาการนี้ ใช้ชีวิตให้ดีครับ ผมเชื่อว่าเจ้าของกระทู้ทำได้ เจ้าของกระทู้เก่งมากที่ยังเรียนได้เกรดที่สูง ใช้มันให้เป็นประโยชน์ อย่าทำอะไรเพื่อประชดชีวิต อย่าทำให้ชีวิตตัวเองแย่ อย่าทำนะครับ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผลเสียจะตกที่ตัวเจ้าของกระทู้เอง (ผมพูดได้เพราะผมเคยประชดชีวิต แล้วสุดท้าย ผมต้องกลับมานั่งเสียดายเวลาช่วงนั้นไปอย่างมาก) ไม่ว่าเจ้าของกระทู้จะตัดสินใจทำอะไร ขอให้อยู่บนความมีสติ อดทน ให้มากๆ ผมเอาใจช่วยมากๆ ให้เจ้าของกระทู้ผ่านพ้นเรื่องราวมันไปให้ได้ ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่มีชีวิตคล้ายผมและเจ้าของกระทู้ ยังมีคนที่เจอหนักกว่าเรา แย่กว่าเรา เราไม่ได้โดดเดี่ยวนะครับ จำเอาไว้ เราไม่ได้โดดเดี่ยว ก้าวผ่านมันไปให้ได้นะครับ
What doesn't kill you, makes you stronger. อะไรที่ฆ่าคุณไม่ตาย สิ่งนั้นมันจะทำให้คุณแกร่งขึ้น
เอาใจช่วยครับ