นิยายที่ยังเขียนไม่จบ

กึ่งประคอง กึ่งจูง แขรู้สึกราวกับฝัน เมื่อแผ่นหลังกระทบกับที่นอนที่นุ่มแต่เหมือนติดสปริงในทุกตารางนิ้ว
ร่างของเขาที่เอนโน้มเหนือร่างของแข กลิ่นไวน์ที่โชยมาอ่อนๆ กลิ่นสบู่แบบผู้ชายๆ เลือดลมของแขพลุ่งพล่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย

"นางฟ้าของผม" เสียงเขากระซิบเบาๆ สัมผัสที่ทำให้แขรู้สึกอ่อนระทวย แต่ลมหายใจแรงขึ้นทุกขณะ.....
ริมฝีปากเขาขยับต่ำ ในขณะที่มือของเขาขยับตาม จังหวะนึงหลังมือของแขไปกระทบกับความเป็นชายของเขา
แขรู้สึกถึงความไม่ปกติ "อาตี๋ คุณไม่ใช่ผู้ชายนี่"

"คุณก็ไม่ใช่ผู้หญิง หรือจะบอกว่าคุณใช่" เสียงดังอย่างขัดเคือง ดวงตาที่เคยเว้าวอน เปลี่ยนเป็นกร้าว.....

“ผมว่าเราอย่าเพิ่งคุยกัน ว่าใครเป็นชายใครเป็นหญิงกันเลยดีกว่า”  ผมว่าผมคุ้นๆคุณนะ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า”

แขกระพริบตา จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของชายที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาที่ทำให้เธอนึกย้อนไปในปี พ.ศ.2520
..................................................................................................................................................

“ยัยเข ยัยเข.... ยัยเข ยัยเข.......” เสียงเด็กชายผอมเกร็งตัวดำ ยังคงล้อเลียน เด็กหญิงตัวน้อยอย่างไม่ลดละ

“ฮือ ฮือ...ฮีอ ฮือ...บักผีบ้า บักปอบ  ข้อยสิไปฟ้องแม่ข้อย”

“เย้เย้เย้ เชิญขี่ม้าสามศอกไปบอกแม่เธอ”
.....................................................................................................................................................
        
“ไข่นุ้ย” เสียงพึมพำ ราวกับพูดกับตัวเอง

“เข นี่เขใช่หรือเปล่า” คนที่จะเรียกผมแบบนี้ มีเพียงคนเดียว”
"บอกผมสิว่า 37 ปีที่ผ่านมา คุณไปอยู่ที่ไหนมา และทำไมตาคุณจึงหายเข"
          
"ไข่นุ้ย อ้อ! ไม่ใช่ ฉันต้องเรียกเธอว่า อาตี๋เทพ สิ ถึงจะถูก แล้วเธอล่ะ ไปไงมาไงถึงกลายมาเป็นอาตี๋เทพ"

           ชายหนุ่มพลิกตัวลงนอนข้างแขไข น้ำเสียงแฝงสำเนียงคนใต้ที่คุ้นหูแขไข "หลวงพ่อที่ผมมาอาศัยอยู่ด้วย ตอนย้ายมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพ บอกว่า ชื่อไข่นุ้ย มันทำให้คนอื่นรู้ว่าผมเป็นคนใต้  ท่านก็เลยตั้งชื่อผมใหม่ว่า ไข่เทพ"
              
"แต่ผมเห็นว่า สาวๆสมัยนี้ชอบคนหน้าตี๋ ยิ่งมีผ้าเหลืองมาคาดปาก ยิ่งดูโก้ ผมก็เลยเลือกที่จะเป็น อาตี๋เทพ ถึงมันจะไม่เข้ากับสีผิวผมเท่าไหร่ ก็แหม คนอื่นตัวดำกว่าผม ยังใช้ชื่อโอปอลได้เลย"
              
พูดพลางยกแขนทั้งสองข้างประสานไว้ที่ต้นคอที่นอนหงาย แล้วเอ่ยต่อ "คุณ... อืม.. ผมต้องเรียกคุณว่า'แข'สิ ถึงจะถูก แขยังไม่ได้ตอบผมเลย ว่า 37 ปีที่ผ่านมา แขไปอยู่ที่ไหน และทำไมแขจึงหายตาเข"
            
             "37 ปีแล้วเหรอ" ใบหน้าแขเหม่อลอย
              "แขรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปไวเหลือเกิน ตอนที่อาตี๋ย้ายมาเรียนกรุงเทพไม่นาน ไซต์งานที่พ่อแขทำก็หมดงาน ตึกแถวสร้างเสร็จหมด แขกับพ่อก็เลยย้ายเข้ากรุงเทพ พ่อย้ายไปเกือบทุกที่ ที่มีการก่อสร้าง แขเองก็เปลี่ยนโรงเรียนจนแทบจำไม่ได้เหมือนกันว่าเรียนไปกี่โรงเรียน"
              
           "อาตี๋...แขหิวน้ำ ช่วยหยิบน้ำให้แขหน่อยสิ"

           อาตี๋เทพเอื้อมมือไปหยิบขวดสีเขียวปลายสุดของหัวเตียงข้างซ้าย พร้อมส่งให้แขไข "เอ้า ดื่มสิ ข้างในมันเป็นน้ำเปล่านะ ขวดที่ข้างในเป็นน้ำเปล่า เป็นขวดที่ผมส่งรหัสใต้ฝาไปชิงโชคแล้ว รอลุ้นอยู่น่ะ"
               จิบน้ำไปอย่างช้าๆ แขก็เริ่มพูดต่อ "ตาเราที่หายเข เราไม่ได้ไปทำศัลยกรรมอะไรหรอก ต้องขอบคุณโทรศัพท์จีนแดงกับสายชาร์จที่เราไปซื้อมาจากคลองถมน่ะ"
               "ยังไงเหรอ" อาตี๋เทพทำหน้าสงสัย ตายังคงจ้องไปที่คอเสื้อที่ลุ่ยลงมา จนเห็นขอบบรา ลายธงชาติไนจีเรียที่สโลป 45 องศา
              
               "วันนึงแขนอนคุยโทรศัพท์ โดยที่สายชาร์จยังเสียบคาโทรศัพท์อยู่นะสิ"
              
               แขจิบน้ำอีกครั้งแล้วพูดต่อ "ลวดทองแดงที่อยู่ในที่ชาร์จมันคงจะขาดน่ะ ไฟฟ้ามาเต็มๆเลย 220 โวลท์... ตั้ง 40 วิแน่ะ ดีที่แขยังมีสติ ถีบผนังที่ติดกับเตียงอีกด้าน ถึงหลุดมาได้ สายชาร์จงี้ขาดรุ่งริ่งเลย แขตกใจมาก แต่ก็โชคดีนะ โดนไฟช็อร์ตแต่ตาที่เขก็หายเป็นปกติ แขยังคิดเล่นๆเลยว่าในมุมกลับ คนตาดีๆถ้าถูกไฟช็อร์ตแล้วตาจะเข มั้ยเนี่ย"



………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

                “แล้วแขมาทำอะไรที่ถนนอักษะวันนี้ แล้วก็อยู่ซะดึก นี่ถ้าฝนไม่ตกเราก็คงไม่ได้เจอกัน” อาตี๋เทพถามอย่างที่ใจตัวเองต้องการจะรู้
                “แขยังบอกไม่ได้ค่ะ แขมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ จนกว่าแขจะแน่ใจว่าเรามีอุดมการณ์เดียวกัน”
                
                 อย่างเคยชิน อาตี๋เทพสอดนิ้วก้อยเข้าไปในรูจมูกของตัวเอง แกว่งปลายนิ้วเหมือนจะควานหาอะไรในรูจมูก พร้อมกับถามอย่างแผ่วเบา “หวังว่าเราคงจะมีภารกิจไปในทางเดียวกันนะครับ”
                
                  เหมือนลืมตัว ชายหนุ่มเอานิ้วก้อยนิ้วเดิมสอดเข้าไปในปาก ก่อนจะดึงออกมาแล้วถาม “ผมเข้าใจแล้ว 'มีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ' แสดงว่าแขไม่ได้ตั้งใจมาชุมนุม แล้วแขมาทำอะไรเหรอครับ”
                
                   หญิงสาวไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นไปที่หน้าต่าง คลี่ผ้าม่านออก เบื้องนอกสายฝนยังคงโปรยปราย ก่อนจะหันตัว กลับมานอนที่เตียง “วันนึงแล้วอาตี๋จะรู้เอง”
                
                   “ แขจำได้แล้ว อาตี๋เคยปลอมตัวเป็นคนขายหูฉลามปลอม  ที่ใช้วุ้นเส้นแทนหูฉลามใช่ไหม” แขโพล่งอย่างนึกขึ้นได้
                  “เขาไม่เรียกว่าหูฉลามปลอม แต่เรียกว่าหูฉลามเจ ....แสดงว่าการชุมนุมที่ราชประสงค์ครั้งนั้น  แขก็อยู่ที่นั่นสิ” ถามอย่างแปลกใจ
      
                   “แขไปทุกที่ และไปทุกม็อบแหละ จะเรียกว่าไม่มีฝ่าย หรือมีทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้” หญิงสาวตอบ
                    
                   “ราชประสงค์เป็นคำตอบว่า ทำไม แขจึงคิดว่าผมไม่ใช่ผู้ชาย” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอันขมขื่น
        
                   “มันเป็นยังไงเหรออาตี๋” หญิงสาวรู้สึกถึงความน่าตระหนก ที่กำลังจะเผย
                    
                      ก่อนการชุมนุมจะสลายตัวลง ผู้คนกำลังแตกตื่น ทุกคนพากันวิ่ง” น้ำเสียงอาตี๋เทพเต็มไปด้วยความพลุ่งพล่าน
                     “ผมถูกคนวิ่งชนจนล้ม เจ้ากรรมที่ขาผมไปทับหมาตัวหนึ่ง มันคงจะพลัดหลงกับเจ้าของ  ไม่รู้ว่ากี่เท้าต่อกี่เท้าที่เหยียบย่ำลงบนตัวผมกับหมาตัวนั้น มันคงจะเจ็บ.............”
                      “ผมสิ้นสติลง เมื่อคนจำนวนมากวิ่งผ่านตัวผมไปจนเกือบหมด “
                      “ก่อนสิ้นสติ ความเป็นชายของผมครึ่งหนึ่ง ถูกอ้ายหมานั่นทำลายไป มันคงจะเจ็บ และคิดว่าผมทำร้ายมันน่ะ” อาตี๋พูดอย่างขัดเคือง
                      “หมอนัดผมเพื่อทำการผ่าตัดในอาทิตย์หน้าครับ มีศพชาวอาฟริกันถูกรถชนตายที่ชลบุรี และญาติไม่ต้องการจะนำกลับประเทศ และได้บริจาคให้กับโรงพยาบาล แพทย์แจ้งผมว่า สีผิวของเราคล้ายกัน และเซลล์ของเราเข้ากันได้ครับ” ดวงตาของอาตี๋เทพมีประกาย เมื่อพูดจบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่