ขออนุญาตนำเพลงเรฟูจีของคาราบาวมาเปิดหัวกระทู้ หนึ่งคือเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต สองคือย่ำเตือนความผิดพลาดของผู้ที่มีชีวิตอยู่
หลังจากการปฏิวัติของอัสซาดผู้บิดา จนถึงการครองอำนาจของอัสซาดผู้ลูก ประเทศซีเรียก็เหมือนปกครองด้วยระบบเผด็จการมาอย่างยาวนาน แต่มองดูลึกๆแล้ว มันก็คือเผด็จการที่จำเป็น
ในซีเรีย ประกอบด้วยคน2กลุ่มคือ ซุนนีย์และไม่ใช่ซุนนีย์ ดังนั้นนโยบายของผู้เผด็จการของซีเรียอย่างหนึ่งคือ เซคิวล่าร์ เพราะซีเรียประกอบด้วยกลุ่มคนหลายๆศาสนาหลายๆนิกาย แต่ซุนนีย์มีประชากรมากที่สุด แต่...
กลุ่มที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นชีอะห์ อะลาวีย์ คริสเตียน หรืออื่นๆ แม้มีจำนวนน้อยกว่า แต่ก็กุมอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศไว้
จริงๆอยู่ ที่อัสซาดทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์แก่กลุ่มตัวเอง แต่ถามหน่อยว่าหากเซีเรียเป็นประชาธิปไตยเต็มร้อย มีการเลือกตั้งแบบสากล ถามว่าจะเป็นอย่างไร
คิดว่าคนซีเรียจะเลือกคนที่พรรคหรือนโยบายหรือเปล่า ตอบได้เลยว่าไม่ ซีเรียจะกลายเป็นประเทศซุนนีย์ เป็นรับอิสลาม อาจจะถึงขั้นนำชารีอะห์มาใช้ อ้างอิงจากข้อกล่าวหาหนึ่งที่โจมตีอัสซาดคือ หย่อนยานและปล่อยให้มีการสร้างโบสถ์คริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องนอกศาสนา
ซึ่งมันจะกลับไปคล้ายๆซิมบับเว หรือหลายๆประเทศ นั่นคือการกำจัดคนส่วนน้อยที่ครองเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้ ผลคือประเทศพังพินาศ
และมันจะเกิดขึ้นแน่ๆหาก ฝ่ายต่อต้านอัสซาดชนะ และมันจะไปคล้ายๆกับที่อียิปต์เกือบจะเป็น ภราดรภาพมุสลิมชนะ แต่มีความพยายามเปลี่ยนอียิปต์ให้กลายเป็นรัฐอิสลาม นั่นหมายความว่าหากสำเร็จ ทุกคนที่ไม่ใช่ซุนนีย์จะเงาหัวหายไปในพริบตา ซึ่งอาจจะไม่ถึงขั้นฆ่าแกง แต่อยู่ดีๆก็กลายเป็นพลเมืองชั้นสองไปเสียเฉยๆ
และสาเหตุที่บอกไว้แต่เริ่มแรกว่าทำไมศาสนาคือยาเสพย์ติด คำกล่าวนี้เป็นของคาร์ล มากซ์ เจ้าทฤษฏีคอมมิวนิสต์ ซึ่งศาสนาในยุคของมากซ์ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นคือชนชั้นปกครอง และนักบวชใช้ศาสนากดขี่ประชาชน ถ้าไม่นับขุนนาง พระ ยิ่งมีตำแหน่งสูงยิ่งรวยในขณะที่ประชาชนยังยากจน และถูกพร่ำสอนด้วยเรื่องของโลกหน้าซึ่งเป็นการขูดรีดกดขี่
แต่ศาสนาในยุโรปปัจจุบันนั้นก้าวข้ามอะไรแบบนั้นไปแล้ว
วกกลับมาที่เรื่องซีเรีย ทั้งๆที่เป็นเรื่องของการเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงทรัพยากร การกดขี่ทางชนชั้น แต่กลับกลายเป็นว่าซุนนีย์ถูกกดขี่โดยพวกนอกศาสนา(ที่ไม่ใช่ซุนนีย์) และเมื่อศาสนาใช้เป็นเครื่องแบ่งแยกคนแทนที่จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ หายนะก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้น
จากที่ฝ่ายอัสซาดจะต้องกลัวการสูญเสียอำนาจในตอนแรก กลายเป็นว่าจะต้องสู้เพื่อความอยู่รอดทางความเชื่อไปด้วย
และอีกฝ่ายก็ใช้ศาสนาให้เป็นเหมือนยาเสพย์ติด สั่งคนไปตายโดยอ้างพระเจ้า อ้างสวรรค์ เพื่อผลประโยชน์ของผู้นำกลุ่ม
ดังนั้นจุดจบของสงครามในความคิดผม จะไม่มีวันยุติ หากไม่ใช่ฝ่ายอัสซาดชนะ นั่นเพราะหากอัสซาดชนะ ซีเรียก็ยังฟื้นขึ้นมาได้ แต่หากฝ่ายอื่นชนะ ซีเรียจะเหลือแต่ซาก
ป.ล.ขอแทครัฐศาสตร์ด้วย เพราะเกี่ยวกับรูปแบบการปกครอง
สงครามกลางเมืองซีเรีย....ศาสนาคือยาเสพย์ติดของสังคม
ขออนุญาตนำเพลงเรฟูจีของคาราบาวมาเปิดหัวกระทู้ หนึ่งคือเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต สองคือย่ำเตือนความผิดพลาดของผู้ที่มีชีวิตอยู่
หลังจากการปฏิวัติของอัสซาดผู้บิดา จนถึงการครองอำนาจของอัสซาดผู้ลูก ประเทศซีเรียก็เหมือนปกครองด้วยระบบเผด็จการมาอย่างยาวนาน แต่มองดูลึกๆแล้ว มันก็คือเผด็จการที่จำเป็น
ในซีเรีย ประกอบด้วยคน2กลุ่มคือ ซุนนีย์และไม่ใช่ซุนนีย์ ดังนั้นนโยบายของผู้เผด็จการของซีเรียอย่างหนึ่งคือ เซคิวล่าร์ เพราะซีเรียประกอบด้วยกลุ่มคนหลายๆศาสนาหลายๆนิกาย แต่ซุนนีย์มีประชากรมากที่สุด แต่...
กลุ่มที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นชีอะห์ อะลาวีย์ คริสเตียน หรืออื่นๆ แม้มีจำนวนน้อยกว่า แต่ก็กุมอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศไว้
จริงๆอยู่ ที่อัสซาดทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์แก่กลุ่มตัวเอง แต่ถามหน่อยว่าหากเซีเรียเป็นประชาธิปไตยเต็มร้อย มีการเลือกตั้งแบบสากล ถามว่าจะเป็นอย่างไร
คิดว่าคนซีเรียจะเลือกคนที่พรรคหรือนโยบายหรือเปล่า ตอบได้เลยว่าไม่ ซีเรียจะกลายเป็นประเทศซุนนีย์ เป็นรับอิสลาม อาจจะถึงขั้นนำชารีอะห์มาใช้ อ้างอิงจากข้อกล่าวหาหนึ่งที่โจมตีอัสซาดคือ หย่อนยานและปล่อยให้มีการสร้างโบสถ์คริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องนอกศาสนา
ซึ่งมันจะกลับไปคล้ายๆซิมบับเว หรือหลายๆประเทศ นั่นคือการกำจัดคนส่วนน้อยที่ครองเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้ ผลคือประเทศพังพินาศ
และมันจะเกิดขึ้นแน่ๆหาก ฝ่ายต่อต้านอัสซาดชนะ และมันจะไปคล้ายๆกับที่อียิปต์เกือบจะเป็น ภราดรภาพมุสลิมชนะ แต่มีความพยายามเปลี่ยนอียิปต์ให้กลายเป็นรัฐอิสลาม นั่นหมายความว่าหากสำเร็จ ทุกคนที่ไม่ใช่ซุนนีย์จะเงาหัวหายไปในพริบตา ซึ่งอาจจะไม่ถึงขั้นฆ่าแกง แต่อยู่ดีๆก็กลายเป็นพลเมืองชั้นสองไปเสียเฉยๆ
และสาเหตุที่บอกไว้แต่เริ่มแรกว่าทำไมศาสนาคือยาเสพย์ติด คำกล่าวนี้เป็นของคาร์ล มากซ์ เจ้าทฤษฏีคอมมิวนิสต์ ซึ่งศาสนาในยุคของมากซ์ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นคือชนชั้นปกครอง และนักบวชใช้ศาสนากดขี่ประชาชน ถ้าไม่นับขุนนาง พระ ยิ่งมีตำแหน่งสูงยิ่งรวยในขณะที่ประชาชนยังยากจน และถูกพร่ำสอนด้วยเรื่องของโลกหน้าซึ่งเป็นการขูดรีดกดขี่
แต่ศาสนาในยุโรปปัจจุบันนั้นก้าวข้ามอะไรแบบนั้นไปแล้ว
วกกลับมาที่เรื่องซีเรีย ทั้งๆที่เป็นเรื่องของการเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงทรัพยากร การกดขี่ทางชนชั้น แต่กลับกลายเป็นว่าซุนนีย์ถูกกดขี่โดยพวกนอกศาสนา(ที่ไม่ใช่ซุนนีย์) และเมื่อศาสนาใช้เป็นเครื่องแบ่งแยกคนแทนที่จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ หายนะก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้น
จากที่ฝ่ายอัสซาดจะต้องกลัวการสูญเสียอำนาจในตอนแรก กลายเป็นว่าจะต้องสู้เพื่อความอยู่รอดทางความเชื่อไปด้วย
และอีกฝ่ายก็ใช้ศาสนาให้เป็นเหมือนยาเสพย์ติด สั่งคนไปตายโดยอ้างพระเจ้า อ้างสวรรค์ เพื่อผลประโยชน์ของผู้นำกลุ่ม
ดังนั้นจุดจบของสงครามในความคิดผม จะไม่มีวันยุติ หากไม่ใช่ฝ่ายอัสซาดชนะ นั่นเพราะหากอัสซาดชนะ ซีเรียก็ยังฟื้นขึ้นมาได้ แต่หากฝ่ายอื่นชนะ ซีเรียจะเหลือแต่ซาก
ป.ล.ขอแทครัฐศาสตร์ด้วย เพราะเกี่ยวกับรูปแบบการปกครอง