สวัสดีครับ...กระทู้นี้ไปเที่ยวแบบ ทู อิน วัน นะครับ ได้ทั้งภูเขาและทะเลสาบแบบแนบชิด มองธรรมชาติภายนอกรอบๆ ตัว แล้วย้อนกลับเข้าไปสู่ธรรมชาติภายในของเรา ท้องฟ้าและทะเลสาบสีฟ้าได้มอบพลังแห่งความสุขสงบให้แก่ผม
Kandersteg เมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางรถไฟจากเมือง Interlaken ไปยังเมือง Thun มีทะเลสาบที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยภูเขาแทบทุกด้าน ชื่อว่า “Oeschinen” หรือ Oeschinensee หนึ่งในทะเลสาบไม่กี่แห่งที่อยู่ในเขตมรดกโลก Jungfrau-Aletsch
ข้อมูลจาก
http://www.kisc.ch ทำให้ทราบว่าทะเลสาบ Oeschinen มีความลึกของน้ำ 60 เมตร อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,579 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 1.5 ตร.กม. ถือเป็นหนึ่งในทะเลสาบขนาดใหญ่ในพื้นที่แถบเทือกเขาแอลป์ ทะเลสาบนี้ก่อตัวขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อก้อนหินขนาดใหญ่ถล่มลงมาทับลำน้ำ เกิดเป็นทำนบธรรมชาติ น้ำสะสมตัวสูงขึ้นจึงเกิดเป็นทะเลสาบแห่งนี้
ผมเดินทางไปยังทะเลสาบ Oeschinen ในวันที่ 8 ของการท่องเที่ยว วันนี้ท้องฟ้าใสกระจ่างมากๆ จนเริ่มรู้สึกร้อนเลยทีเดียว เราออกจากโรงแรมแล้วต่อรถไฟจาก Interlaken เพื่อไปยังสถานีถัดไป
เวลา 8.50 น. เราถึงจุดหมายปลายทางแรกของวันนี้ สถานีชุมทางเมือง Spiez ที่สถานี Spiez นี้ เราสามารถต่อรถไฟไปยังเมืองอื่นๆ ได้หลายเมือง เช่น Brig, Visp, Zweisimen, Gstaad และ Lenk เป็นต้น
ชุมทางรถไฟที่ Spiez
ผมเดินเล่นรอบๆ สถานีรถไฟและได้ถ่ายรูป Niesen แบบจะแจ้งซะที เพราะวันก่อนๆ ทั้งวันที่ล่องทะเลสาบ Thun (
http://ppantip.com/topic/34039335) และวันที่ขึ้น Vorsass ที่ Beatenberg (
http://ppantip.com/topic/34197707) เห็นแต่เมฆที่ปกคลุมยอดเขาแห่งนี้ไว้เสมอ รอจนถึงเวลา 9.12 น. รถไฟจาก Bern อันมีจุดหมายปลายทางที่เมือง Brig ก็มาถึง เราไม่รอช้ารีบขึ้นรถไฟพร้อมกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งยุโรป ทั้งเอเชีย ทุกคนแต่งชุดพร้อมสรรพเหมือนจะไปปีนเขาสักแห่งในวันนี้
ภาพ Niesen Kulm จากสถานีรถไฟ Spiez
เมื่อรถไฟเคลื่อนออกจากสถานี Spiez เพียงแค่ 5 นาที รถไฟก็ต้องจอดที่สถานี Mulenen ปล่อยให้นักท่องเที่ยวกลุ่มแรกลงจากรถไฟ จุดหมายปลายของพวกเค้าน่าจะเป็น Niesen Kulm (2,362 m.) จากนั้นรถไฟก็จอดที่สถานีถัดมา Reichenbach i.K. ดูจะเป็นสถานีที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย นักท่องเที่ยวอีกกลุ่มทยอยลงจากรถไฟไป สถานีต่อมาคือสถานี Frutigen ที่สถานีนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ลงจากรถไฟไป น่าจะเพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่งตลอดทางจาก Frutigen ไปยัง Adelboden ทั้งจากที่นี่ยังสามารถต่อรถไฟไปยังเมือง Visp และ Zermatt ได้อีกด้วย
จากสถานี Frutigen รถไฟไต่ระดับขึ้นแล้วไปวิ่งเลียบภูเขาสูงรางรถไฟหักซ้ายทีขวาที 2-3 รอบ ผมเห็นยอดเขาหลายลูกอยู่ใกล้ๆ เวลา 9.41 น. เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเราบ้าง...สถานีรถไฟ Kandersteg
ที่สถานีรถไฟ แสงแดดแรงกล้า
เห็นยอดภูเขาหิมะอยู่ไกลๆ
ภูเขาหินด้านหน้าเรียบอย่างกับ Slider
ที่สถานีรถไฟ ผมพบพระฝรั่งรูปหนึ่งกำลังจะไปทำกิจธุระ เข้าใจว่าจะมาจากวัดไทยสายหลวงปู่ชา สุภัทโท ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองนี้ ชื่อว่าวัด Dhammapala เราตั้งใจจะขึ้นรถกระเช้าไปยังทะเลสาบ ใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟไปสถานีรถกระเช้าประมาณ 15 นาที ช่วงแรกทางเดินจะผ่านบ้านเรือนในละแวกนั้น ก่อนจะมาถึงสามแยกที่ให้เลือกเดินได้ 2 เส้นทาง ทางแรกเดินไปตามลำน้ำสีขาวๆ อีกเส้นทางเดินหนึ่ง จะพาเดินไปตามท้องทุ่ง ผ่านโบสถ์และบ้านเรือน (เส้นทางหลังนี้จะได้กลิ่นอบอวลของธรรมชาติมากกว่า)
แม่น้ำไหลผ่านเส้นทาง ระหว่างเดินไปสถานีรถกระเช้า
เส้นทางเลาะลำน้ำสีขาวขุ่น
อีกเส้นทางหนึ่งผ่านท้องทุ่งและโบสถ์ที่มีหลังคาแปลกตา
สถานีรถกระเช้า เบื้องหลังเป็นยอด Bire (2,502 m.) ที่มีความหมายว่าลูกแพร์
ที่สถานีรถกระเช้าเราสามารถใช้บัตร Regional Pass เพื่อขึ้นรถกระเช้าได้ฟรีๆ แต่ต้องเอาบัตรไปแสดงที่ช่องออกตั๋วก่อน แล้วจะได้ตั๋วสำหรับขึ้นรถกระเช้ามาใช้งาน รถกระเช้าพาเราค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปทิ้งภาพบ้านเรือน ทุ่งหญ้า สถานีรถไฟ และแม่น้ำไว้ด้านล่าง
รถกระเช้าพาเราขึ้นสถานี Oeschinen
เมือง Kandersteg อยู่เบื้องล่าง
ประมาณ 20 นาทีก็ถึงสถานีด้านบน แต่เรายังไม่ถึงทะเลสาบซะทีเดียว จะต้องเดินตามเส้นทางไปยังทะเลสาบอีก (มีรถบริการรับส่งหากเดินไม่ไหว) เส้นทางนี้จะหันไปทิศใด ทางใด ก็เจอแต่ยอดภูเขา ทั้งภูเขาหินที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภูเขาหินที่มีร่องรอยของการถล่มครั้งใหญ่ และภูเขาที่หินซ้อนทับเป็นชั้นๆ มีทั้งสีเทา สีขาว และสีเขียวที่แต่งแต้มยอดเขาเอาไว้ แสงแดดขับสีบนท้องฟ้าให้เป็นสีน้ำเงิน กลุ่มเมฆเบาบาง แตกต่างจากวันอื่นๆ โดยสิ้นเชิง สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าและทุ่งดอกไม้ มีวัวเดินกินหญ้าบ้าง นอนกินบ้าง พอเดินลึกเข้าไปจะเป็นป่าสน มีต้นสนสูงชะลูดทั้งสองข้างทาง
ภูเขาหินแบบมีหญ้าปกคลุม
ภูเขาที่เห็นการซ้อนทับกันของหินเป็นชั้นๆ
ภูเขาหิมะสีขาวปกคลุม ยอดบนเรียบๆ ทางซ้ายมือ ได้แก่ Wilde Frau (3,274 m.)
ยอดเขาหิมะอีกลูก Doldenhorn (3,638 m.)
นักเรียนตัวน้อยมาเดินทางไกล
ไล่จากซ้ายมือไปขวามือ ได้แก่ Bluemlisalp Rothorn, Bluemlisalphorn (3,663 m.) และ Oeschinenhorn (3,486 m.)
ต้นสนสูงชะลูด ฉากหลังยอดเขา Bluemlisalphorn และ Oeschinenhorn
สามยอดชัดๆ Bluemlisalphorn, Oeschinenhorn และ Frundenhorn (3,369 m.)
ประมาณ 45 นาทีจากสถานีรถกระเช้า เราก็เดินมาจนถึงทะเลสาบ Oeschinen (1,579 m.) แวบแรกที่เห็น น้ำในทะเลสาบมีสีเขียวออกไปทางฟ้าๆ พื้นที่ของทะเลสาบกว้างใหญ่กว่าที่ Bachalpsee มาก (
http://ppantip.com/topic/34107781) และเหมือนมีกำแพงภูเขาหินและหิมะโอบล้อมไว้เป็นฉากหลัง ไล่จากซ้ายมือไปขวามือ ได้แก่ Bluemlisalp Rothorn, Bluemlisalphorn (3,663 m.), Oeschinenhorn (3,486 m.), Frundenhorn (3,369 m.) และ Doldenhorn (3,638 m.)
เริ่มมองเห็นจุดหมายปลายทางของเรา
รถให้บริการรับส่ง (ไม่ทราบว่าเสียสตางค์หรือเปล่า)
เราเริ่มเดินเล่นรอบๆ ทะเลสาบ สังเกตว่าไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยวเอเชียซักเท่าไหร่ และแม้จะมีผู้คนจำนวนมาก ทำกิจกรรมต่างๆ รอบทะเลสาบ เช่น กลุ่มวัยรุ่นปิ้งย่าง หุงหาอาหาร เฮฮาปาร์ตี้กัน นักเรียนตัวเล็กๆ มาทัศนศึกษา ครอบครัวมาเดินเล่นขึ้นภูเขา แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกแออัดแม้แต่น้อย เนื่องจากพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบกว้างขวางมาก
คนเช่าเรือหาปลา อนุญาตให้ทำได้ในช่วงหน้าร้อนเท่านั้น
เรือเช่า 1/2 ชม. - 14 CHF , 1 ชม. - 24 CHF
เด็กๆ สนุกสนาน
ชื่นชมได้ตามชอบใจ
อุณหภูมิประมาณ 17-18 องศา เย็นสบาย เราเดินชื่นชมธรรมชาติอยู่นานพอสมควร เหมือนมีพลังบางอย่างจากธรรมชาติรอบๆ ตัวส่งมาถึงเรา ผมรู้สึกสงบ จิตใจผ่อนคลาย สบายอกสบายใจ เลยหามุมเหมาะๆ ใต้ร่มไม้ นั่งลงแล้วค่อยๆ หลับตา แม้จะยังได้ยินเสียงผู้คนทำกิจกรรมต่างๆ ตามปกติ แต่กลับมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาอย่างชัดเจน “โง้ง เง้ง โง้ง เง้ง” เป็นเสียงกระดิ่งที่ผูกคอวัวไว้ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่ทันได้สังเกตว่ามีอยู่ ดังอย่างกับระฆังในโบสถ์ ผมหายใจเข้าและออก ยาวขึ้นๆ จนเหมือนจะรู้เนื้อรู้ตัวได้ดีขึ้น ห้วงเวลาแห่งความสุขสงบผ่านไปกว่า 10 นาที กระทั่งผมรู้สึกตัวว่า ท้องเริ่มจะเรียกร้องแล้ว
สีของน้ำ ก้อนหิน น้ำตก และความสงบของทะเลสาบ
ที่ทะเลสาบมีร้านอาหารอยู่สองร้าน ดูภายนอกแตกต่างกันที่สีของร่ม ร้านหนึ่งใช้ร่มสีเหลือง อีกร้านหนึ่งใช้ร่มสีส้ม อย่างไรก็ตามสีร่มของทั้งสองร้านก็ตัดกับสีของน้ำในทะเลสาบและท้องฟ้าอย่างชัดเจน ผมได้สเต็กหมูเสิร์ฟพร้อมสลัดผักแสนอร่อยเป็นอาหารเที่ยง เมื่อท้องอิ่มแล้ว เราจึงเดินเล่นรอบๆทะเลสาบอีกซักพัก ก่อนจะต้องร่ำลาธรรมชาติที่เห็นแล้วเดินทางกลับ
ร้านอาหารร่มส้ม
ระหว่างทางเดินกลับ ท้องฟ้ายังแจ่มใส
เศษหิน ร่องรอยของการถล่ม
Wilde Frau อีกรอบ
Doldenhorn อีกซักรอบ
[CR] Made in Bernese Oberland : Oeschinensee - The blue
Kandersteg เมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางรถไฟจากเมือง Interlaken ไปยังเมือง Thun มีทะเลสาบที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยภูเขาแทบทุกด้าน ชื่อว่า “Oeschinen” หรือ Oeschinensee หนึ่งในทะเลสาบไม่กี่แห่งที่อยู่ในเขตมรดกโลก Jungfrau-Aletsch
ข้อมูลจาก http://www.kisc.ch ทำให้ทราบว่าทะเลสาบ Oeschinen มีความลึกของน้ำ 60 เมตร อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,579 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 1.5 ตร.กม. ถือเป็นหนึ่งในทะเลสาบขนาดใหญ่ในพื้นที่แถบเทือกเขาแอลป์ ทะเลสาบนี้ก่อตัวขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อก้อนหินขนาดใหญ่ถล่มลงมาทับลำน้ำ เกิดเป็นทำนบธรรมชาติ น้ำสะสมตัวสูงขึ้นจึงเกิดเป็นทะเลสาบแห่งนี้
ผมเดินทางไปยังทะเลสาบ Oeschinen ในวันที่ 8 ของการท่องเที่ยว วันนี้ท้องฟ้าใสกระจ่างมากๆ จนเริ่มรู้สึกร้อนเลยทีเดียว เราออกจากโรงแรมแล้วต่อรถไฟจาก Interlaken เพื่อไปยังสถานีถัดไป
เวลา 8.50 น. เราถึงจุดหมายปลายทางแรกของวันนี้ สถานีชุมทางเมือง Spiez ที่สถานี Spiez นี้ เราสามารถต่อรถไฟไปยังเมืองอื่นๆ ได้หลายเมือง เช่น Brig, Visp, Zweisimen, Gstaad และ Lenk เป็นต้น
ชุมทางรถไฟที่ Spiez
ผมเดินเล่นรอบๆ สถานีรถไฟและได้ถ่ายรูป Niesen แบบจะแจ้งซะที เพราะวันก่อนๆ ทั้งวันที่ล่องทะเลสาบ Thun (http://ppantip.com/topic/34039335) และวันที่ขึ้น Vorsass ที่ Beatenberg (http://ppantip.com/topic/34197707) เห็นแต่เมฆที่ปกคลุมยอดเขาแห่งนี้ไว้เสมอ รอจนถึงเวลา 9.12 น. รถไฟจาก Bern อันมีจุดหมายปลายทางที่เมือง Brig ก็มาถึง เราไม่รอช้ารีบขึ้นรถไฟพร้อมกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งยุโรป ทั้งเอเชีย ทุกคนแต่งชุดพร้อมสรรพเหมือนจะไปปีนเขาสักแห่งในวันนี้
ภาพ Niesen Kulm จากสถานีรถไฟ Spiez
เมื่อรถไฟเคลื่อนออกจากสถานี Spiez เพียงแค่ 5 นาที รถไฟก็ต้องจอดที่สถานี Mulenen ปล่อยให้นักท่องเที่ยวกลุ่มแรกลงจากรถไฟ จุดหมายปลายของพวกเค้าน่าจะเป็น Niesen Kulm (2,362 m.) จากนั้นรถไฟก็จอดที่สถานีถัดมา Reichenbach i.K. ดูจะเป็นสถานีที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย นักท่องเที่ยวอีกกลุ่มทยอยลงจากรถไฟไป สถานีต่อมาคือสถานี Frutigen ที่สถานีนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ลงจากรถไฟไป น่าจะเพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่งตลอดทางจาก Frutigen ไปยัง Adelboden ทั้งจากที่นี่ยังสามารถต่อรถไฟไปยังเมือง Visp และ Zermatt ได้อีกด้วย
จากสถานี Frutigen รถไฟไต่ระดับขึ้นแล้วไปวิ่งเลียบภูเขาสูงรางรถไฟหักซ้ายทีขวาที 2-3 รอบ ผมเห็นยอดเขาหลายลูกอยู่ใกล้ๆ เวลา 9.41 น. เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเราบ้าง...สถานีรถไฟ Kandersteg
ที่สถานีรถไฟ แสงแดดแรงกล้า
เห็นยอดภูเขาหิมะอยู่ไกลๆ
ภูเขาหินด้านหน้าเรียบอย่างกับ Slider
ที่สถานีรถไฟ ผมพบพระฝรั่งรูปหนึ่งกำลังจะไปทำกิจธุระ เข้าใจว่าจะมาจากวัดไทยสายหลวงปู่ชา สุภัทโท ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองนี้ ชื่อว่าวัด Dhammapala เราตั้งใจจะขึ้นรถกระเช้าไปยังทะเลสาบ ใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟไปสถานีรถกระเช้าประมาณ 15 นาที ช่วงแรกทางเดินจะผ่านบ้านเรือนในละแวกนั้น ก่อนจะมาถึงสามแยกที่ให้เลือกเดินได้ 2 เส้นทาง ทางแรกเดินไปตามลำน้ำสีขาวๆ อีกเส้นทางเดินหนึ่ง จะพาเดินไปตามท้องทุ่ง ผ่านโบสถ์และบ้านเรือน (เส้นทางหลังนี้จะได้กลิ่นอบอวลของธรรมชาติมากกว่า)
แม่น้ำไหลผ่านเส้นทาง ระหว่างเดินไปสถานีรถกระเช้า
เส้นทางเลาะลำน้ำสีขาวขุ่น
อีกเส้นทางหนึ่งผ่านท้องทุ่งและโบสถ์ที่มีหลังคาแปลกตา
สถานีรถกระเช้า เบื้องหลังเป็นยอด Bire (2,502 m.) ที่มีความหมายว่าลูกแพร์
ที่สถานีรถกระเช้าเราสามารถใช้บัตร Regional Pass เพื่อขึ้นรถกระเช้าได้ฟรีๆ แต่ต้องเอาบัตรไปแสดงที่ช่องออกตั๋วก่อน แล้วจะได้ตั๋วสำหรับขึ้นรถกระเช้ามาใช้งาน รถกระเช้าพาเราค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปทิ้งภาพบ้านเรือน ทุ่งหญ้า สถานีรถไฟ และแม่น้ำไว้ด้านล่าง
รถกระเช้าพาเราขึ้นสถานี Oeschinen
เมือง Kandersteg อยู่เบื้องล่าง
ประมาณ 20 นาทีก็ถึงสถานีด้านบน แต่เรายังไม่ถึงทะเลสาบซะทีเดียว จะต้องเดินตามเส้นทางไปยังทะเลสาบอีก (มีรถบริการรับส่งหากเดินไม่ไหว) เส้นทางนี้จะหันไปทิศใด ทางใด ก็เจอแต่ยอดภูเขา ทั้งภูเขาหินที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภูเขาหินที่มีร่องรอยของการถล่มครั้งใหญ่ และภูเขาที่หินซ้อนทับเป็นชั้นๆ มีทั้งสีเทา สีขาว และสีเขียวที่แต่งแต้มยอดเขาเอาไว้ แสงแดดขับสีบนท้องฟ้าให้เป็นสีน้ำเงิน กลุ่มเมฆเบาบาง แตกต่างจากวันอื่นๆ โดยสิ้นเชิง สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าและทุ่งดอกไม้ มีวัวเดินกินหญ้าบ้าง นอนกินบ้าง พอเดินลึกเข้าไปจะเป็นป่าสน มีต้นสนสูงชะลูดทั้งสองข้างทาง
ภูเขาหินแบบมีหญ้าปกคลุม
ภูเขาที่เห็นการซ้อนทับกันของหินเป็นชั้นๆ
ภูเขาหิมะสีขาวปกคลุม ยอดบนเรียบๆ ทางซ้ายมือ ได้แก่ Wilde Frau (3,274 m.)
ยอดเขาหิมะอีกลูก Doldenhorn (3,638 m.)
นักเรียนตัวน้อยมาเดินทางไกล
ไล่จากซ้ายมือไปขวามือ ได้แก่ Bluemlisalp Rothorn, Bluemlisalphorn (3,663 m.) และ Oeschinenhorn (3,486 m.)
ต้นสนสูงชะลูด ฉากหลังยอดเขา Bluemlisalphorn และ Oeschinenhorn
สามยอดชัดๆ Bluemlisalphorn, Oeschinenhorn และ Frundenhorn (3,369 m.)
ประมาณ 45 นาทีจากสถานีรถกระเช้า เราก็เดินมาจนถึงทะเลสาบ Oeschinen (1,579 m.) แวบแรกที่เห็น น้ำในทะเลสาบมีสีเขียวออกไปทางฟ้าๆ พื้นที่ของทะเลสาบกว้างใหญ่กว่าที่ Bachalpsee มาก (http://ppantip.com/topic/34107781) และเหมือนมีกำแพงภูเขาหินและหิมะโอบล้อมไว้เป็นฉากหลัง ไล่จากซ้ายมือไปขวามือ ได้แก่ Bluemlisalp Rothorn, Bluemlisalphorn (3,663 m.), Oeschinenhorn (3,486 m.), Frundenhorn (3,369 m.) และ Doldenhorn (3,638 m.)
เริ่มมองเห็นจุดหมายปลายทางของเรา
รถให้บริการรับส่ง (ไม่ทราบว่าเสียสตางค์หรือเปล่า)
เราเริ่มเดินเล่นรอบๆ ทะเลสาบ สังเกตว่าไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยวเอเชียซักเท่าไหร่ และแม้จะมีผู้คนจำนวนมาก ทำกิจกรรมต่างๆ รอบทะเลสาบ เช่น กลุ่มวัยรุ่นปิ้งย่าง หุงหาอาหาร เฮฮาปาร์ตี้กัน นักเรียนตัวเล็กๆ มาทัศนศึกษา ครอบครัวมาเดินเล่นขึ้นภูเขา แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกแออัดแม้แต่น้อย เนื่องจากพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบกว้างขวางมาก
คนเช่าเรือหาปลา อนุญาตให้ทำได้ในช่วงหน้าร้อนเท่านั้น
เรือเช่า 1/2 ชม. - 14 CHF , 1 ชม. - 24 CHF
เด็กๆ สนุกสนาน
ชื่นชมได้ตามชอบใจ
อุณหภูมิประมาณ 17-18 องศา เย็นสบาย เราเดินชื่นชมธรรมชาติอยู่นานพอสมควร เหมือนมีพลังบางอย่างจากธรรมชาติรอบๆ ตัวส่งมาถึงเรา ผมรู้สึกสงบ จิตใจผ่อนคลาย สบายอกสบายใจ เลยหามุมเหมาะๆ ใต้ร่มไม้ นั่งลงแล้วค่อยๆ หลับตา แม้จะยังได้ยินเสียงผู้คนทำกิจกรรมต่างๆ ตามปกติ แต่กลับมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาอย่างชัดเจน “โง้ง เง้ง โง้ง เง้ง” เป็นเสียงกระดิ่งที่ผูกคอวัวไว้ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่ทันได้สังเกตว่ามีอยู่ ดังอย่างกับระฆังในโบสถ์ ผมหายใจเข้าและออก ยาวขึ้นๆ จนเหมือนจะรู้เนื้อรู้ตัวได้ดีขึ้น ห้วงเวลาแห่งความสุขสงบผ่านไปกว่า 10 นาที กระทั่งผมรู้สึกตัวว่า ท้องเริ่มจะเรียกร้องแล้ว
สีของน้ำ ก้อนหิน น้ำตก และความสงบของทะเลสาบ
ที่ทะเลสาบมีร้านอาหารอยู่สองร้าน ดูภายนอกแตกต่างกันที่สีของร่ม ร้านหนึ่งใช้ร่มสีเหลือง อีกร้านหนึ่งใช้ร่มสีส้ม อย่างไรก็ตามสีร่มของทั้งสองร้านก็ตัดกับสีของน้ำในทะเลสาบและท้องฟ้าอย่างชัดเจน ผมได้สเต็กหมูเสิร์ฟพร้อมสลัดผักแสนอร่อยเป็นอาหารเที่ยง เมื่อท้องอิ่มแล้ว เราจึงเดินเล่นรอบๆทะเลสาบอีกซักพัก ก่อนจะต้องร่ำลาธรรมชาติที่เห็นแล้วเดินทางกลับ
ร้านอาหารร่มส้ม
ระหว่างทางเดินกลับ ท้องฟ้ายังแจ่มใส
เศษหิน ร่องรอยของการถล่ม
Wilde Frau อีกรอบ
Doldenhorn อีกซักรอบ