คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
ขอยกบทความจากเฟสบุ๊คเพจ Dad Mom and Kids มาให้อ่านนะคะ
เราอ่านแล้วตรงใจที่สุด ปัญหาของตัวเองยังคิดไม่ตกเหมือนกันค่ะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่งงานแล้วควรแยกบ้าน by นพ.อิทธิฤทธิ์
มีเหตุผลครับ ว่าการแยกบ้านมีข้อดีอะไรบ้าง
1.
ไม่ว่าผู้ชาย หรือผู้หญิง ต่างก็ต้องการมีพื้นที่ และอาณาจักรของตัวเอง
เวลาที่คน 2 คน แต่งงานกัน หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “จำต้อง” ย้ายไปอยู่บ้านของอีกฝ่าย ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ไม่มีใครที่ย้ายไปอีกบ้านหนึ่งแล้วจะรู้สึกดี 100%
เช่นถ้าผู้หญิงต้องย้ายไปบ้านสามี ส่วนหนึ่งเพราะว่าไม่อยากขัดใจ ที่สามี “รักพ่อแม่” มากๆ หรือเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน หรือต้องช่วยดูแลกิจการ
หรือถ้าผู้ชายต้องย้ายเข้าบ้านภรรยา ก็มักเป็นเพราะว่า ภรรยาต้อง “ดูแล” พ่อแม่ ไม่มีพี่ๆน้องๆคนไหนดู เลยต้องเป็นชั้นนี่แหละ
เจ้าของบ้าน สมมติว่าเป็นสามีนะครับ แน่นอนว่า เราเป็นลูกเจ้าของบ้าน ลูกกับพ่อแม่รู้จักกันอย่างดี ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร นั่นแปลว่า ต่อให้คนในบ้านจะเป็นมิตร และยินดีต้อนรับสะใภ้ใหม่มากเพียงใด แต่คนที่เป็นสะใภ้ย่อมรู้สึกว่า “ไม่มีพวก” หรือแม้กระทั่งเป็น “อิเล็กตรอนวงนอกสุด” คือ เหมือนกับเป็นวัตถุแปลกปลอมในบ้าน
ยังไม่นับกับบ้านอีกจำนวนมาก ที่ไม่ได้ยินดีต้อนรับลูกเขย หรือลูกสะใภ้มากนัก นั่นแปลว่ายิ่งทำให้เกิดความอึดอัดแทบจะ 24 ชั่วโมงเลย
คนที่ไม่มีความสุข หากต้องมีลูก ย่อมมีผลต่อการเลี้ยงดูลูกอย่างมาก
หากคิดจะแต่งงาน ต้องคุยกันเรื่องนี้ให้ดีๆ การแยกครอบครัวดีที่สุดครับ ส่วนใครที่ยังไม่ได้แยกบ้าน ต้องเริ่มคิดแล้วนะครับ
คนเรา ถ้าต้องการอะไรจริงๆ เราจะหาทาง แต่ถ้าไม่ได้อยากได้มันจริงๆ เราก็จะมีข้อแก้ตัว ดังนั้น ลองฟังคำพูดของตัวคุณดูสิครับ ว่าอยากได้จริงๆหรือเปล่า?
2.
การแยกบ้าน มีผลดีต่อการฝึกอบรมลูกๆ
เวลาที่อยู่กันหลายๆคนในบ้าน จะเกิดปัญหา “มากคน มากความ” ซึ่งมีผลเสียอย่างมากต่อการเลี้ยงลูก เช่น การกินอาหาร เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ทำเอาปวดหัวแล้ว เช่น เราไม่ตามป้อนข้าวลูก ในขณะที่ย่าของเด็กไม่ยอม ต้องตามป้อน เพราะกลัวหลานไม่สูง
แค่เรื่องนี้ก็ไม่รู้จะบอก จะอธิบายกันยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา เพราะว่าลำดับการปกครองในบ้าน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hierarchy (อ่านว่า ไฮ รา คี่) สับสน
การเลี้ยงลูกให้ได้ดี คนที่เป็นพ่อแม่ต้องมี Hierarchy สูงที่สุดสำหรับลูก ส่วนคนอื่นๆคือญาติ
แต่พอเมื่อมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน คนที่เป็นรุ่นปู่ย่าตายาย ย่อมถือสิทธิการเป็น “พ่อแม่” ของเราอีกทีหนึ่ง ทำให้เขาไม่ต้องมานั่งเกรงใจลูก (นั่นคือ ตัวเรา) เขาถือสิทธิว่า เขามีสิทธิเต็มที่ในการอบรมสั่งสอนหลานๆ
คนที่แย่ที่สุด คือ ลูกครับ เพราะเด็กๆ จำเป็นต้องได้รับการฝึกวินัย ต้องการความสม่ำเสมอ ต้องการรู้ว่า อะไรที่ทำได้หรือไม่ได้
ทันทีที่การเลี้ยงดูของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เช่น ย่าเด็กให้กินได้ไม่อั้น ในขณะที่พ่อเด็ก ไม่อนุญาตให้ลูกกินขนมหรือไอติมก่อนมื้ออาหาร เด็กก็รู้สิครับ วิ่งหาย่า เพราะรู้ว่าย่าจะให้ในสิ่งที่เด็กต้องการ
ที่แย่ไปกว่านั้น การกล่าวหากันก็จะบังเกิด แทบจะทั้งวัน พ่อแม่ก็หาว่า ปู่ย่าตายาย “ตามใจ” ในขณะที่ปู่ย่าตายายก็กล่าวหาพ่อแม่ว่า “ตามใจ” เด็ก
อลเวงไหมล่ะครับ?
3.
การแยกบ้าน มีผลดีกับจิตใจอย่างมาก
ใครที่ยังไม่ได้แยกบ้าน อาจเข้าใจยากหน่อย คือ ความรู้สึกภูมิใจ และความรู้สึกรับผิดชอบ อยากปกป้องและอยากทำให้อาณาจักรของเรา “ไปได้ดี”
ตอนที่ผมอยู่อยุธยา กับบ้านที่เป็นตึกแถว 2 คูหาที่ใหญ่มาก มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อว่า นี่ฉันมาได้ไกลขนาดนี้จริงๆหรือ จากจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดูไม่ได้มีอะไร ความรู้สึกดีเหล่านี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น
ที่สำคัญ คือ การได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ ที่ระยะยาวมีแนวโน้มเพิ่มค่าขึ้น เป็นการบังคับออมที่ดีมากวิธีหนึ่ง
เชื่อเถอะครับ เวลาที่กลับมาบ้าน แล้วนั่งได้สบายๆ จะโป๊เปลือยแค่ไหนก็ได้ เพราะนี่บ้านเราเอง จะแต่งบ้าน จะทำอะไรกับบ้านก็ได้ มันดีที่สุดเลยนะครับ
4.
การแยกบ้าน โดยที่รู้จุดหมายบางอย่าง ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ยกตัวอย่าง ครอบครัวผมย้ายจากอยุธยามากรุงเทพ เพื่อให้ลูกเรียนโรงเรียนดังย่านบางเขน ในที่สุดเราก็ทำได้ตามเป้าหมาย เราใช้เวลาปีกว่าๆ หาบ้านที่ “Perfect” มากสำหรับเรา
โรงเรียน ที่ทำงาน ใกล้มาก บรรยากาศหมู่บ้านดีมาก มีทุกอย่างใกล้หมด ทั้งห้าง โรงพยาบาล ตลาดสด อู่ซ่อมรถ สนามเด็กเล่นดีๆ จะออกต่างจังหวัดก็ง่าย
เพียงแค่บ้านใกล้โรงเรียนลูก เดินทางประมาณ 20 นาที แค่นี้ลูกๆก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนอีกเป็นล้านๆคนแล้ว
5.
เมื่อซื้อบ้าน เป็นการบังคับออมที่ดีมาก
ใครที่อยู่กรุงเทพ หรือทำเลที่ดี ลองดูราคาประเมินที่ดินย้อนหลังสิครับ ราคาไม่เคยลดเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้น
อย่างบริเวณที่ผมอาศัยอยู่ ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 10 ปีก่อน ที่ดินประเมินตารางวาละ 40,000 กว่าบาทเท่านั้น ตอนนี้ประเมินที่ 64,000 บาท ราคายังเพิ่ม 60 % แปลว่าวันหนึ่ง อีกสัก 50 ปีข้างหน้า ผมและภรรยาจากโลกนี้ไป เราจะทิ้งมรดกชิ้นนี้ ซึ่งน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ผมว่ามันเจ๋งมากนะครับ
นับข้อดีได้ 5 ข้อแล้ว น่าจะเพียงพอสำหรับการตัดสินใจนะครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
เราอ่านแล้วตรงใจที่สุด ปัญหาของตัวเองยังคิดไม่ตกเหมือนกันค่ะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่งงานแล้วควรแยกบ้าน by นพ.อิทธิฤทธิ์
มีเหตุผลครับ ว่าการแยกบ้านมีข้อดีอะไรบ้าง
1.
ไม่ว่าผู้ชาย หรือผู้หญิง ต่างก็ต้องการมีพื้นที่ และอาณาจักรของตัวเอง
เวลาที่คน 2 คน แต่งงานกัน หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “จำต้อง” ย้ายไปอยู่บ้านของอีกฝ่าย ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ไม่มีใครที่ย้ายไปอีกบ้านหนึ่งแล้วจะรู้สึกดี 100%
เช่นถ้าผู้หญิงต้องย้ายไปบ้านสามี ส่วนหนึ่งเพราะว่าไม่อยากขัดใจ ที่สามี “รักพ่อแม่” มากๆ หรือเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน หรือต้องช่วยดูแลกิจการ
หรือถ้าผู้ชายต้องย้ายเข้าบ้านภรรยา ก็มักเป็นเพราะว่า ภรรยาต้อง “ดูแล” พ่อแม่ ไม่มีพี่ๆน้องๆคนไหนดู เลยต้องเป็นชั้นนี่แหละ
เจ้าของบ้าน สมมติว่าเป็นสามีนะครับ แน่นอนว่า เราเป็นลูกเจ้าของบ้าน ลูกกับพ่อแม่รู้จักกันอย่างดี ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร นั่นแปลว่า ต่อให้คนในบ้านจะเป็นมิตร และยินดีต้อนรับสะใภ้ใหม่มากเพียงใด แต่คนที่เป็นสะใภ้ย่อมรู้สึกว่า “ไม่มีพวก” หรือแม้กระทั่งเป็น “อิเล็กตรอนวงนอกสุด” คือ เหมือนกับเป็นวัตถุแปลกปลอมในบ้าน
ยังไม่นับกับบ้านอีกจำนวนมาก ที่ไม่ได้ยินดีต้อนรับลูกเขย หรือลูกสะใภ้มากนัก นั่นแปลว่ายิ่งทำให้เกิดความอึดอัดแทบจะ 24 ชั่วโมงเลย
คนที่ไม่มีความสุข หากต้องมีลูก ย่อมมีผลต่อการเลี้ยงดูลูกอย่างมาก
หากคิดจะแต่งงาน ต้องคุยกันเรื่องนี้ให้ดีๆ การแยกครอบครัวดีที่สุดครับ ส่วนใครที่ยังไม่ได้แยกบ้าน ต้องเริ่มคิดแล้วนะครับ
คนเรา ถ้าต้องการอะไรจริงๆ เราจะหาทาง แต่ถ้าไม่ได้อยากได้มันจริงๆ เราก็จะมีข้อแก้ตัว ดังนั้น ลองฟังคำพูดของตัวคุณดูสิครับ ว่าอยากได้จริงๆหรือเปล่า?
2.
การแยกบ้าน มีผลดีต่อการฝึกอบรมลูกๆ
เวลาที่อยู่กันหลายๆคนในบ้าน จะเกิดปัญหา “มากคน มากความ” ซึ่งมีผลเสียอย่างมากต่อการเลี้ยงลูก เช่น การกินอาหาร เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ทำเอาปวดหัวแล้ว เช่น เราไม่ตามป้อนข้าวลูก ในขณะที่ย่าของเด็กไม่ยอม ต้องตามป้อน เพราะกลัวหลานไม่สูง
แค่เรื่องนี้ก็ไม่รู้จะบอก จะอธิบายกันยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา เพราะว่าลำดับการปกครองในบ้าน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hierarchy (อ่านว่า ไฮ รา คี่) สับสน
การเลี้ยงลูกให้ได้ดี คนที่เป็นพ่อแม่ต้องมี Hierarchy สูงที่สุดสำหรับลูก ส่วนคนอื่นๆคือญาติ
แต่พอเมื่อมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน คนที่เป็นรุ่นปู่ย่าตายาย ย่อมถือสิทธิการเป็น “พ่อแม่” ของเราอีกทีหนึ่ง ทำให้เขาไม่ต้องมานั่งเกรงใจลูก (นั่นคือ ตัวเรา) เขาถือสิทธิว่า เขามีสิทธิเต็มที่ในการอบรมสั่งสอนหลานๆ
คนที่แย่ที่สุด คือ ลูกครับ เพราะเด็กๆ จำเป็นต้องได้รับการฝึกวินัย ต้องการความสม่ำเสมอ ต้องการรู้ว่า อะไรที่ทำได้หรือไม่ได้
ทันทีที่การเลี้ยงดูของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เช่น ย่าเด็กให้กินได้ไม่อั้น ในขณะที่พ่อเด็ก ไม่อนุญาตให้ลูกกินขนมหรือไอติมก่อนมื้ออาหาร เด็กก็รู้สิครับ วิ่งหาย่า เพราะรู้ว่าย่าจะให้ในสิ่งที่เด็กต้องการ
ที่แย่ไปกว่านั้น การกล่าวหากันก็จะบังเกิด แทบจะทั้งวัน พ่อแม่ก็หาว่า ปู่ย่าตายาย “ตามใจ” ในขณะที่ปู่ย่าตายายก็กล่าวหาพ่อแม่ว่า “ตามใจ” เด็ก
อลเวงไหมล่ะครับ?
3.
การแยกบ้าน มีผลดีกับจิตใจอย่างมาก
ใครที่ยังไม่ได้แยกบ้าน อาจเข้าใจยากหน่อย คือ ความรู้สึกภูมิใจ และความรู้สึกรับผิดชอบ อยากปกป้องและอยากทำให้อาณาจักรของเรา “ไปได้ดี”
ตอนที่ผมอยู่อยุธยา กับบ้านที่เป็นตึกแถว 2 คูหาที่ใหญ่มาก มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อว่า นี่ฉันมาได้ไกลขนาดนี้จริงๆหรือ จากจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดูไม่ได้มีอะไร ความรู้สึกดีเหล่านี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น
ที่สำคัญ คือ การได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ ที่ระยะยาวมีแนวโน้มเพิ่มค่าขึ้น เป็นการบังคับออมที่ดีมากวิธีหนึ่ง
เชื่อเถอะครับ เวลาที่กลับมาบ้าน แล้วนั่งได้สบายๆ จะโป๊เปลือยแค่ไหนก็ได้ เพราะนี่บ้านเราเอง จะแต่งบ้าน จะทำอะไรกับบ้านก็ได้ มันดีที่สุดเลยนะครับ
4.
การแยกบ้าน โดยที่รู้จุดหมายบางอย่าง ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ยกตัวอย่าง ครอบครัวผมย้ายจากอยุธยามากรุงเทพ เพื่อให้ลูกเรียนโรงเรียนดังย่านบางเขน ในที่สุดเราก็ทำได้ตามเป้าหมาย เราใช้เวลาปีกว่าๆ หาบ้านที่ “Perfect” มากสำหรับเรา
โรงเรียน ที่ทำงาน ใกล้มาก บรรยากาศหมู่บ้านดีมาก มีทุกอย่างใกล้หมด ทั้งห้าง โรงพยาบาล ตลาดสด อู่ซ่อมรถ สนามเด็กเล่นดีๆ จะออกต่างจังหวัดก็ง่าย
เพียงแค่บ้านใกล้โรงเรียนลูก เดินทางประมาณ 20 นาที แค่นี้ลูกๆก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนอีกเป็นล้านๆคนแล้ว
5.
เมื่อซื้อบ้าน เป็นการบังคับออมที่ดีมาก
ใครที่อยู่กรุงเทพ หรือทำเลที่ดี ลองดูราคาประเมินที่ดินย้อนหลังสิครับ ราคาไม่เคยลดเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้น
อย่างบริเวณที่ผมอาศัยอยู่ ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 10 ปีก่อน ที่ดินประเมินตารางวาละ 40,000 กว่าบาทเท่านั้น ตอนนี้ประเมินที่ 64,000 บาท ราคายังเพิ่ม 60 % แปลว่าวันหนึ่ง อีกสัก 50 ปีข้างหน้า ผมและภรรยาจากโลกนี้ไป เราจะทิ้งมรดกชิ้นนี้ ซึ่งน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ผมว่ามันเจ๋งมากนะครับ
นับข้อดีได้ 5 ข้อแล้ว น่าจะเพียงพอสำหรับการตัดสินใจนะครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เราก็เป็นคนหนึ่งที่มีความคิดเหมือนจขกทค่ะ. ถ้าเราจะเเต่งงาน เราจะไม่ยอมย้ายเข้าบ้านเเฟน เราต้องออกมาสร้างครอบครัวของเราเอง ขนาดครอบครัวเราเองที่อยู่กันมาทั้งชีวิตบางทียังมีมุมให้หงุดหงิดใจเลยค่ะ นี้ต้องไปอยู่กะใครที่ไหนก็ไม่รู้อีกครอบครัว สำหรับเค้ายังไงเราก็คือคนอื่นค่ะ ทำไมเราต้องเป็นคนเดียวที่เสียสละไปอยู่ในที่ๆไม่คุ้นเคย กับใครก็ไม่รู้ที่เราไม่คุ้นใจ ใครๆก็อยากดูแลพ่อเเม่ตัวเองทั้งนั้นเเหละค่ะ แต่การแต่งงานคือการสร้างครอบครัวใหม่ค่ะ ถ้าไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องเเต่งค่ะ
ถ้าการแต่งงานทำให้ความสุขในชีวิตเราลดลง เราขอเลือกที่จะยืนอยู่จุดเดิมค่ะ อย่างน้อยความทุกข์ในชีวิตก็ไม่เพิ่มขึ้น
ถ้าการแต่งงานทำให้ความสุขในชีวิตเราลดลง เราขอเลือกที่จะยืนอยู่จุดเดิมค่ะ อย่างน้อยความทุกข์ในชีวิตก็ไม่เพิ่มขึ้น
ความคิดเห็นที่ 36
ประเด็นคือคบกันมานานทำไมไม่เคยวางแผนหรือคุยกันเลย แปลกใจ
แนวคิดที่ จขกท ว่ามาก็แฟร์ๆดี คือต่างคนต่างมีพ่อแม่ต้องดูแล แต่ในความเป็นจริงก็ต้องมองรายละเอียดด้วยว่าแต่ละบ้านเป็นอย่างไร บ้านใครที่พ่อแม่ต้องมีลูกคอยดูแล บ้านใครที่มีพี่น้องหรือระบบอื่นๆ support มันไม่ตายตัวสำหรับทุกๆคู่ทุกๆครอบครัวหรอก อย่างที่เล่ามาฝ่ายชายเขาเป็นลูกสุดท้องคนเดียว แต่ฝ่ายหญิงมีพี่น้องในบ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ประเด็นคือครอบครัวใครที่จะมีคนดูแลพ่อแม่ได้มากกว่ากัน
แต่สรุปสุดท้ายแต่เรื่องความยุติธรรมแนวๆนี้ยังอยู่ในหัวก็ไม่ควรแต่งงานกัน เพราะสุดท้ายปัญหาเยอะและคงจบด้วยการทะเลาะเพื่อแยกออกมาอยู่ มองหน้ากันไม่ติด ก็ดีที่ตัดสินใจได้ตั้งแต่ก่อนแต่ง
ขอนอกเรื่อง ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือแนวคิดแบบนี้เยอะขึ้นมาก คงเพราะสังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงทำงานและมี authority ของตนเองมากขึ้นจึงมักไม่ยอมเข้าบ้านผู้ชาย ซึ่งตลกมากๆเพราะแนวคิดเดิมเรื่องสินสอดยังคงอยู่ ซึ่งสินสอดนี่เป็นแนวคิดเหมือนการชดเชยให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงที่ต้องแต่งเข้าบ้านผู้ชาย แต่ถ้าจะให้แฟร์ๆเลยคือตกลงกันแต่ต้นว่าถ้าจะแยกย้ายกันไปอยู่เองเป็นครอบครัวใหม่ก็ต้องไม่มีเรื่องสินสอด เพราะทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ไม่ได้อยู่ดูแลพ่อแม่ในครอบครัวของตนเองทั้งคู่ แต่คนในสังคมไทยส่วนใหญ่คงยังต้องให้ผู้ชายจ่ายค่าสินสอด ซ้ำร้ายบางครอบครัวให้เข้าบ้านผู้หญิงอีก งงจริงๆ
แนวคิดที่ จขกท ว่ามาก็แฟร์ๆดี คือต่างคนต่างมีพ่อแม่ต้องดูแล แต่ในความเป็นจริงก็ต้องมองรายละเอียดด้วยว่าแต่ละบ้านเป็นอย่างไร บ้านใครที่พ่อแม่ต้องมีลูกคอยดูแล บ้านใครที่มีพี่น้องหรือระบบอื่นๆ support มันไม่ตายตัวสำหรับทุกๆคู่ทุกๆครอบครัวหรอก อย่างที่เล่ามาฝ่ายชายเขาเป็นลูกสุดท้องคนเดียว แต่ฝ่ายหญิงมีพี่น้องในบ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ประเด็นคือครอบครัวใครที่จะมีคนดูแลพ่อแม่ได้มากกว่ากัน
แต่สรุปสุดท้ายแต่เรื่องความยุติธรรมแนวๆนี้ยังอยู่ในหัวก็ไม่ควรแต่งงานกัน เพราะสุดท้ายปัญหาเยอะและคงจบด้วยการทะเลาะเพื่อแยกออกมาอยู่ มองหน้ากันไม่ติด ก็ดีที่ตัดสินใจได้ตั้งแต่ก่อนแต่ง
ขอนอกเรื่อง ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือแนวคิดแบบนี้เยอะขึ้นมาก คงเพราะสังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงทำงานและมี authority ของตนเองมากขึ้นจึงมักไม่ยอมเข้าบ้านผู้ชาย ซึ่งตลกมากๆเพราะแนวคิดเดิมเรื่องสินสอดยังคงอยู่ ซึ่งสินสอดนี่เป็นแนวคิดเหมือนการชดเชยให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงที่ต้องแต่งเข้าบ้านผู้ชาย แต่ถ้าจะให้แฟร์ๆเลยคือตกลงกันแต่ต้นว่าถ้าจะแยกย้ายกันไปอยู่เองเป็นครอบครัวใหม่ก็ต้องไม่มีเรื่องสินสอด เพราะทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ไม่ได้อยู่ดูแลพ่อแม่ในครอบครัวของตนเองทั้งคู่ แต่คนในสังคมไทยส่วนใหญ่คงยังต้องให้ผู้ชายจ่ายค่าสินสอด ซ้ำร้ายบางครอบครัวให้เข้าบ้านผู้หญิงอีก งงจริงๆ
ความคิดเห็นที่ 37
แต่งแบบไม่เข้าบ้านผู้ชาย?? งั้นไม่ต้องมีค่าสินสอดก็ได้ซิครับ เพราะต้องออกค่าบ้านใหม่อะไรใหม่หมด
สร้างครอบครัวใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
อยู่บ้านเดิมประหยัดไปหลายล้านนะครับ
ค่าสินสอดเห็นหลายคนบอกว่าเป็นค่าน้ำนมให้พ่อแม่ฝ่ายหญิง??
คุณไม่รู้หรอกครับว่าดูแลผู้สูงอายุจนวินาทีสุดท้ายมันเป็นยังไง
เหนื่อยขขนาดไหนเืองยังไง ผู้ชายเขาก็อยากให้ผู้หญิงมาช่วยดูแลด้วย
ค่าสินสอดพ่อแม่ฝ่ายหญิงเขาก็ต้องเก็บไว้ดูแลตัวเองยายแก่เฒ่า
แต่ก็ยกลูกสาวให้ครอบครัวชายไปแล้วเป็นคนของครอบครัวชายไปแล้ว
จะให้มาดูแลเต็มที่ก็คงไม่ได้
พูดไปก็คงมีแต่คนมาว่าผม แต่ถ้าไม่เจอกับตัวเองไม่รู้หรอก
ปัญหาฝ่ายผู้ชายเขาก็มีแต่เขาไม่พูด
สร้างครอบครัวใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
อยู่บ้านเดิมประหยัดไปหลายล้านนะครับ
ค่าสินสอดเห็นหลายคนบอกว่าเป็นค่าน้ำนมให้พ่อแม่ฝ่ายหญิง??
คุณไม่รู้หรอกครับว่าดูแลผู้สูงอายุจนวินาทีสุดท้ายมันเป็นยังไง
เหนื่อยขขนาดไหนเืองยังไง ผู้ชายเขาก็อยากให้ผู้หญิงมาช่วยดูแลด้วย
ค่าสินสอดพ่อแม่ฝ่ายหญิงเขาก็ต้องเก็บไว้ดูแลตัวเองยายแก่เฒ่า
แต่ก็ยกลูกสาวให้ครอบครัวชายไปแล้วเป็นคนของครอบครัวชายไปแล้ว
จะให้มาดูแลเต็มที่ก็คงไม่ได้
พูดไปก็คงมีแต่คนมาว่าผม แต่ถ้าไม่เจอกับตัวเองไม่รู้หรอก
ปัญหาฝ่ายผู้ชายเขาก็มีแต่เขาไม่พูด
ความคิดเห็นที่ 32
ขอเห็นต่างนะ แฟนเราก็ลูกชายคนเดียว เราเลยต้องย้ายแต่งเข้า เพราะไม่งั้นไม่มีใครดูแล แฟนนี่ขอมาเลย เราก็เข้าใจนะ รักแฟนก็ต้องยอมอะ (พอดีทางบ้านเรายังมีน้องชายดูอยู่ ส่วนพี่ชายก็แยกไปอยู่ วนๆ กลับมาดูเช่นกัน)
อาจจะเสียพื้นที่ส่วนตัวไปบ้าง ไม่บ้างอะ พอควรเลย แต่ทางกลับกันอยู่ที่แม่สามีด้วย แรกๆย้ายมาก็กลัวๆเหมือนกัน แต่พอดีเราเจอแบบดี๊ดี เอาใจเราสารพัด ทำข้าวเช้าให้กินทุกวัน ซ่อมเสื้อผ้า บางทีก็แวะทำความสะอาดห้องให้ เราไม่สบายก็ไปหาซื้อยามาให้ คือเราค่อดเกรงใจ แต่เค้าดีกับเราจริงๆ เราว่าดูแลเราดีกว่าสามีซะอีก หลังๆเราเลยกลายเป็นทีมแม่ปั๋ว หาเรื่องนินทาแฟน เลียแข้งขา เอาใจแม่สามีจนแฟนบ่นเลยว่าโดนรุมอยู่ฝ่ายเดียว
ในทางกลับกัน เราก็เป็นห่วงที่บ้านเหมือนกัน แม่เราบอก ลูกผู้หญิง แต่งแล้วก็ไปอยู่บ้านอื่น ไม่ต้องกลับมา แต่เราไม่สนใจหรอก กลับบ้านมันทุกสัปดาห์ มานอนค้างดูว่าที่บ้านมีอะไรขาดเหลือหรือไม่ พ่อแม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือป่าววว เรากลับบ่อยจนโดนแม่เราบ่นจนเลิกบ่นไปล่ะ 55+
อยากให้ลองคุยกะแฟนดูก่อน ถ้าอยู่ไม่ได้จริงๆ แยกมาอยู่โอเคมั๊ย ตกลงให้เรียบร้อย ถ้าวางแผนดีๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเลิกก็ได้ไหมอะ ลองคุยกับแฟนดีๆละกันค่ะ
อาจจะเสียพื้นที่ส่วนตัวไปบ้าง ไม่บ้างอะ พอควรเลย แต่ทางกลับกันอยู่ที่แม่สามีด้วย แรกๆย้ายมาก็กลัวๆเหมือนกัน แต่พอดีเราเจอแบบดี๊ดี เอาใจเราสารพัด ทำข้าวเช้าให้กินทุกวัน ซ่อมเสื้อผ้า บางทีก็แวะทำความสะอาดห้องให้ เราไม่สบายก็ไปหาซื้อยามาให้ คือเราค่อดเกรงใจ แต่เค้าดีกับเราจริงๆ เราว่าดูแลเราดีกว่าสามีซะอีก หลังๆเราเลยกลายเป็นทีมแม่ปั๋ว หาเรื่องนินทาแฟน เลียแข้งขา เอาใจแม่สามีจนแฟนบ่นเลยว่าโดนรุมอยู่ฝ่ายเดียว
ในทางกลับกัน เราก็เป็นห่วงที่บ้านเหมือนกัน แม่เราบอก ลูกผู้หญิง แต่งแล้วก็ไปอยู่บ้านอื่น ไม่ต้องกลับมา แต่เราไม่สนใจหรอก กลับบ้านมันทุกสัปดาห์ มานอนค้างดูว่าที่บ้านมีอะไรขาดเหลือหรือไม่ พ่อแม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือป่าววว เรากลับบ่อยจนโดนแม่เราบ่นจนเลิกบ่นไปล่ะ 55+
อยากให้ลองคุยกะแฟนดูก่อน ถ้าอยู่ไม่ได้จริงๆ แยกมาอยู่โอเคมั๊ย ตกลงให้เรียบร้อย ถ้าวางแผนดีๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเลิกก็ได้ไหมอะ ลองคุยกับแฟนดีๆละกันค่ะ
ความคิดเห็นที่ 10
การแต่งงานอย่าเข้าใจผิดว่าจะมีแค่เราสองคนนะครับ ชีวิตคุณจะต้องมีความสัมพันธ์กับพ่อแม่และญาติๆของทั้งคู่เพิ่มเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะฉะนั้นระหว่างนี้ทั้งสองฝ่ายควรจะเข้าไปเรียนรู้เข้าไปรู้จักอุปนิสัยของครอบครัวอีกฝ่าย เพื่อจะได้ตัดสินใจได้ถูกว่ารับทางบ้านของอีกฝ่ายได้ไหม
ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ควรจะแต่งกันให้เสียหน้ากันทั้งสองฝ่าย. บางคนครอบครัวเล็กบางคนครอบครัวใหญ่ ใช้เวลาให้เยอะๆจะได้ไม่อึดอัดภายหลัง
ไม่ทราบว่าคุณทั้งสองรูจักนิสัยใจคอของพ่อแม่อีกฝ่ายหรือยัง???
เพราะฉะนั้นระหว่างนี้ทั้งสองฝ่ายควรจะเข้าไปเรียนรู้เข้าไปรู้จักอุปนิสัยของครอบครัวอีกฝ่าย เพื่อจะได้ตัดสินใจได้ถูกว่ารับทางบ้านของอีกฝ่ายได้ไหม
ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ควรจะแต่งกันให้เสียหน้ากันทั้งสองฝ่าย. บางคนครอบครัวเล็กบางคนครอบครัวใหญ่ ใช้เวลาให้เยอะๆจะได้ไม่อึดอัดภายหลัง
ไม่ทราบว่าคุณทั้งสองรูจักนิสัยใจคอของพ่อแม่อีกฝ่ายหรือยัง???
แสดงความคิดเห็น
ยอมขึ้นคานแต่ไม่ยอมแต่งเข้าบ้านแฟน.... เราทำถูกแล้วใช่มั้ย!
แฟนเราเป็นลูกชายคนเล็ก คนเดียวของที่บ้าน ส่วนบ้านเราลูกผู้หญิงล้วนค่ะ
ที่ผ่านมาก็วาดฝันกันไว้มากมาย คิดว่าอีก2-3 ปีคงแต่งงาน ซื้อบ้านสร้างครอบครัวเล็กๆด้วยกัน
ล่าสุดแฟนเรามาเปรยๆว่า ถ้าแต่งงานแล้วย้ายมาอยู่บ้านเค้านะ เค้าอยากอยู่รวมกับพ่อแม่จะได้ดูแลกันไปจนแก่เฒ่า
คือเราเข้าใจสถานะและความรู้สึกแฟนนะ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยที่จะต้องเป็นสะใภ้อยู่รวมบ้านเป็นครอบครัวขยาย
ทันทีที่ได้ยินเราก็แสดงความเห็นไปนะ ว่าเราไม่ค่อยสะดวกใจ เราคิดว่าถึงแยกบ้านออกมาก็แวะเวียนไปมาหาสู่กันได้ เราก็เป็นห่วงและอยากดูแลพ่อแม่เราเหมือนกัน ถ้าขอให้แฟนแต่งเข้ามาอยู่บ้านรวมกับพ่อแม่เรา ตัวแฟนเองก็คงไม่สะดวกใจเหมือนกันใช่มั้ย
กลับมานั่งคิด นอนคิดอยู่หลายตลบ จนวันนี้เราเผลอพูดความในใจของเราออกไปให้แฟนได้รับรู้ค่ะ เรายืนยันว่า ถ้าจะมีการแต่งงาน นั่นหมายถึงเราอยากมาสร้างครอบครัวใหม่ด้วยกัน ถ้าแต่งแล้วต้องไปอยู่รวมกับที่บ้านแฟน เราขอไม่แต่งนะ ช่วงเวลาที่เราคบกันมาหลายปี เรามีความสุขมาก ก็ถือเป็นกำไรชีวิตแล้วกัน
ตอนนี้เรากับแฟนก็ไม่ได้เลิกกันนะคะ แต่พอพูดไปให้เข้าใจตรงกัน ความรู้สึกของคน 2 คน มันก็เย็นๆวาบๆอ่ะค่ะ ต่างคนต่างรู้สึกว่ามองไม่เห็นอนาคตด้วยกันทั้งคู่ เราก็ร้องไห้กับตัวเองไปหลายรอบ เห็นคนรอบข้างที่เป็นแฟนกันและกำลังจะแต่งงานปีนี้ปีหน้า ก็อดรู้สึกเจ็บแปล๊บๆไม่ได้ ว่าคงไม่มีวันนั้นสำหรับคู่เรา
...เราคิดถูกแล้วใช่มั้ย ที่จะไม่ยอมอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่หลังแต่งงานให้กับครอบครัวแฟน แต่ยอมเลือกอยู่ตัวคนเดียวแล้วดูแลพ่อแม่เรา เก็บ7-8ปีที่คบกันแฟนเป็นความทรงจำดีๆก็พอ...
ขอบคุณที่อ่านจนถึงตรงนี้นะคะ เราแค่อยากระบายให้ใครซักคนฟัง ตอนนี้มันรู้สึกมืดมนไปหมดเลยค่ะ...