สวัสดีค่ะ เพิ่งเขียนเป็นครั้งแรกนะคะ
วันที่ 3 มีนาคม 2013 ของเรา
เป็นวันอาทิตย์ที่ฝนตกหนักมากตั้งแต่เช้ายันเย็น อากาศไม่เป็นใจให้ออกไปข้างนอกอย่างแรง แต่ภารกิจมากมายเหลือเกิน ช่วงเช้าต้องไปทำงาน เพราะบริษัทมีออกงานเลี้ยงลูกค้า ตอนบ่ายนัดเพื่อนดูหนัง แล้วก็ต้องซื้อสายชาร์ตไฟให้พ่อ คือไม่เข้าใจว่าที่อื่นไม่มีขายหรืออะไรทำไมต้องเป็นชั้นไปซื้อ และต้องขับรถเอาไปให้ที่สนามบิน ในตอนเย็น
วันที่ 3 มีนาคม 2013 ของเขา
หลังจากที่แบคแพ็คเที่ยวประเทศไทยคนเดียวเป็นเวลาหนึ่งเดือนก็ได้เวลาที่เขาต้องเดินทางกลับประเทศเกาหลี แต่วันสุดท้ายในเมืองไทย อากาศช่างไม่เป็นใจเอาซะเลย ฝนตกหนักตั้งแต่เช้า แถมยังเช็คเอ้าท์ออกมาเเล้ว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ด้านหลังมันช่างไม่เอื้อให้ออกไปเที่ยวที่ไหน เขาเลยตัดสินใจไปเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิ (เเต่จริงๆเเล้วเครื่องจะออกหกโมงเช้าวันรุ่งขึ้น) เพื่อที่จะเอากระเป๋าไปเช็คอินเเล้วค่อยออกมาชมเเสงสียามราตรีของกรุงเทพเป็นคืนสุดท้าย
บ่ายวันนั้นเราก็ยังลังเลใจว่าจะไปที่สนามบินดีรึเปล่า เพราะว่าฝนตกหนักแถมยังเป็นการขับรถไปสนามบินคนเดียวครั้งแรกด้วย แต่ด้วยความที่พ่ออยากได้สายชาร์ตไฟไปใช้ระหว่างไปเที่ยวที่เกาหลี เราเลยต้องเอาไปให้ เราเป็นคนที่อ่อนเรื่องdirection มาก ชอบหลงทาง แถมขับรถไปสนามบินครั้งแรกด้วย เราเลยขับรถไปก่อนเวลานัดพอสมควรและเเน่นอนเราก็ถึงสนามบินก่อนประมาณ 30 นาที เราเลยเดินไปเดินมาแล้วก็ไปเข้าห้องน้ำ วันนั้นที่สนามบินคนหนาแน่นพอสมควรเพราะเป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม พอเข้าห้องน้ำเสร็จเราเลยหาช่องที่จะเดินกลับไปอีกด้านนึงที่คนไม่เยอะ เราเลยเดินไปในล็อค D และ E ซึ่งเป็นล็อคระหว่าง domestic check-in กับ International check-in กวาดสายตาไปรอบๆหาที่นั่ง เเเละเเล้ว..........
เราก็เจอผู้ชายคนนึง ตี๋ๆ ขาวๆ มีหนวด นั่งอ่านหนังสือ เสียบหูฟัง มีกระเป๋าเป้แบบแบคเเพควางอยู่ที่พื้น และนางก็แลดูไม่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกใบนี้เลย ในใจของเราตอนนั้นคือ โคตรอยากรู้จักผู้ชายคนนี้เลย ขอเล่านิดนึงว่าเราเลิกกับแฟนเก่าได้ประมาณสองปีเเล้ว แล้วผู้ชายที่ผ่านเข้ามาคุยด้วยเนี่ยส่วนใหญ่ทำให้เศร้าตลอด เราเลยบอกกับตัวเองว่า ถ้ามีโอกาสเจอคนที่เราคิดว่าใช่ เราจะไม่ให้เค้าหลุดไป
โชคยังดีที่นางนั่งอยู่คนเดียว เเต่ตรงนั้นเป็นโซนหน้าห้องน้ำ ตรงที่มียักษ์ยืนอยู่ เราเลยไม่แน่ใจว่าเค้ามาคนเดียว มากับเพื่อน มากับแฟน หรือยังไง เราเลยไม่กล้ารีบคุย .... นึกสภาพเก้าอี้ตรงโซนเช็คอินที่สุวรรณภูมิ เป็นเก้าอีกไม้ยาวๆนั่งได้ 3-4 คน ตอนนี้คือ เรากับเค้านั่งอยู่ปลายเก้าอี้คนละด้าน นางยังไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้าง เราก็นั่งลุ้นว่านางมากับใครรึเปล่า
เรามีเวลาอีกประมาณ 20 นาทีก่อนถึงเวลานัด ไม่น้อย แต่ก็ไม่นาน
ในห้วงเวลานั้นเราเลยตัดสินใจว่าถ้าผู้ชายคนนี้เงยหน้าขึ้นมาเเล้วยิ้ม เราจะคุยด้วย แต่นึกออกป่ะว่าจังหวะนั้นที่เค้าเสียบหูฟัง และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกใบนี้ นางจะหันมายิ้มได้ยังไงเรายังนึกไม่ออกเลย
แต่ระหว่างที่เราคิดอยู่ก็มีแม่ชาวยุโรปกับลูกเล็กๆ สองคนขอให้เราขยับไปหน่อย เพราะเค้าไม่อยากนั่งตรงกลาง เราเลยขยับไป นั่งข้างๆนาง
เรานั่งใกล้ๆ กัน ท่ามกลางความเงียบ .....
เสี้ยววินาที ย้ำว่าเสี้ยววินาที ต่อมามีเสียงกรี๊ดจากผู้หญิงมากมาย มองตรงไปจากทาง domestic check-in คิดว่าคงเป็นดาราซักคนมา แล้วมีแฟนคลับตามมาส่ง จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าดาราคนนี้เป็นใคร แต่เพราะเสียงกรี๊ดเหล่านั้นหน่ะ ทำให้โอปป้าหันขึ้นมามองเเล้วยิ้ม ในใจเราแบบ มันต้องตอนนี้แหละ 5555 แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เราเลยทักไปว่า hi ทักไปสองรอบนางก็ยังไม่ได้ยิน เพราะว่ายังใส่หูฟังอยู่ พอทักครั้งที่สามนางได้ยินแล้วนางก็ถอดหูฟังออก นั่นเป็นครั้งแรกที่เราคุยกัน ตอนแรกเราคิดว่าเค้าเป็นคนญี่ปุ่น เพราะเห็นนั่งอ่านหนังสือภาษาญี่ปุ่นอยู่ เราเลยพยายามหาข้อความที่เพื่อนคนญี่ปุ่นเคยส่งมาให้แล้วถามนางว่าอันนี้แปลว่าอะไรเหรอ (คือทั้งๆ ที่ตอบเพื่อนไปเเล้วจะอ่านไม่ออกได้ยังไงฟระ ) แต่โอปป้านางก็เนียนๆแปลให้ฟังตามมารยาท แล้วก็เริ่มคุยว่าเค้าไปเที่ยวเมืองไทยมาหนึ่งเดือนเเล้ว กำลังจะกลับเกาหลีแต่เช็คอินไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลา บลาๆๆๆ
และแล้วเเม่ก็โทรมา ถึงสนามบินเเล้ว เราก็คิดในใจว่าถ้างั้นอย่างน้อยให้นามบัตรเค้าไปดีกว่า คือ เรายังอยากรู้จักเค้าอยู่อ่ะ (แรดมาก) เค้าเลยขอไลน์เราไป (กรี๊ดๆๆๆๆ) เราพยายามแอด แต่ไม่ได้ ไม่รู้ทำไม เราเลยบอกว่าถ้าเราลองแอดเเล้วยังไม่ได้ก็ให้เค้าส่งเมลล์มาเเล้วกัน
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้รู้จักโอปป้าค่ะ
แต่อย่างที่บอกว่าคืนนั้นเค้ากำลังจะกลับประเทศ แล้วเราก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตของเราเหมือนเดิม ไลน์ก็แอดไม่ได้ เค้ามีแฟนรึยัง แล้วมันจะอะไรยังไงต่อ
ไว้เรามาเล่าใหม่นะคะ
ขอบคุณที่อ่านค่ะ
ปล. ถ้าใครรู้ว่าดาราคนไหนมาในคืนวันนั้นช่วยบอกเราด้วยนะคะ
ประสบการณ์คุยกับหนุ่มเกาหลีที่แอร์พอร์ต
วันที่ 3 มีนาคม 2013 ของเรา
เป็นวันอาทิตย์ที่ฝนตกหนักมากตั้งแต่เช้ายันเย็น อากาศไม่เป็นใจให้ออกไปข้างนอกอย่างแรง แต่ภารกิจมากมายเหลือเกิน ช่วงเช้าต้องไปทำงาน เพราะบริษัทมีออกงานเลี้ยงลูกค้า ตอนบ่ายนัดเพื่อนดูหนัง แล้วก็ต้องซื้อสายชาร์ตไฟให้พ่อ คือไม่เข้าใจว่าที่อื่นไม่มีขายหรืออะไรทำไมต้องเป็นชั้นไปซื้อ และต้องขับรถเอาไปให้ที่สนามบิน ในตอนเย็น
วันที่ 3 มีนาคม 2013 ของเขา
หลังจากที่แบคแพ็คเที่ยวประเทศไทยคนเดียวเป็นเวลาหนึ่งเดือนก็ได้เวลาที่เขาต้องเดินทางกลับประเทศเกาหลี แต่วันสุดท้ายในเมืองไทย อากาศช่างไม่เป็นใจเอาซะเลย ฝนตกหนักตั้งแต่เช้า แถมยังเช็คเอ้าท์ออกมาเเล้ว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ด้านหลังมันช่างไม่เอื้อให้ออกไปเที่ยวที่ไหน เขาเลยตัดสินใจไปเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิ (เเต่จริงๆเเล้วเครื่องจะออกหกโมงเช้าวันรุ่งขึ้น) เพื่อที่จะเอากระเป๋าไปเช็คอินเเล้วค่อยออกมาชมเเสงสียามราตรีของกรุงเทพเป็นคืนสุดท้าย
บ่ายวันนั้นเราก็ยังลังเลใจว่าจะไปที่สนามบินดีรึเปล่า เพราะว่าฝนตกหนักแถมยังเป็นการขับรถไปสนามบินคนเดียวครั้งแรกด้วย แต่ด้วยความที่พ่ออยากได้สายชาร์ตไฟไปใช้ระหว่างไปเที่ยวที่เกาหลี เราเลยต้องเอาไปให้ เราเป็นคนที่อ่อนเรื่องdirection มาก ชอบหลงทาง แถมขับรถไปสนามบินครั้งแรกด้วย เราเลยขับรถไปก่อนเวลานัดพอสมควรและเเน่นอนเราก็ถึงสนามบินก่อนประมาณ 30 นาที เราเลยเดินไปเดินมาแล้วก็ไปเข้าห้องน้ำ วันนั้นที่สนามบินคนหนาแน่นพอสมควรเพราะเป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม พอเข้าห้องน้ำเสร็จเราเลยหาช่องที่จะเดินกลับไปอีกด้านนึงที่คนไม่เยอะ เราเลยเดินไปในล็อค D และ E ซึ่งเป็นล็อคระหว่าง domestic check-in กับ International check-in กวาดสายตาไปรอบๆหาที่นั่ง เเเละเเล้ว..........
เราก็เจอผู้ชายคนนึง ตี๋ๆ ขาวๆ มีหนวด นั่งอ่านหนังสือ เสียบหูฟัง มีกระเป๋าเป้แบบแบคเเพควางอยู่ที่พื้น และนางก็แลดูไม่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกใบนี้เลย ในใจของเราตอนนั้นคือ โคตรอยากรู้จักผู้ชายคนนี้เลย ขอเล่านิดนึงว่าเราเลิกกับแฟนเก่าได้ประมาณสองปีเเล้ว แล้วผู้ชายที่ผ่านเข้ามาคุยด้วยเนี่ยส่วนใหญ่ทำให้เศร้าตลอด เราเลยบอกกับตัวเองว่า ถ้ามีโอกาสเจอคนที่เราคิดว่าใช่ เราจะไม่ให้เค้าหลุดไป
โชคยังดีที่นางนั่งอยู่คนเดียว เเต่ตรงนั้นเป็นโซนหน้าห้องน้ำ ตรงที่มียักษ์ยืนอยู่ เราเลยไม่แน่ใจว่าเค้ามาคนเดียว มากับเพื่อน มากับแฟน หรือยังไง เราเลยไม่กล้ารีบคุย .... นึกสภาพเก้าอี้ตรงโซนเช็คอินที่สุวรรณภูมิ เป็นเก้าอีกไม้ยาวๆนั่งได้ 3-4 คน ตอนนี้คือ เรากับเค้านั่งอยู่ปลายเก้าอี้คนละด้าน นางยังไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้าง เราก็นั่งลุ้นว่านางมากับใครรึเปล่า
เรามีเวลาอีกประมาณ 20 นาทีก่อนถึงเวลานัด ไม่น้อย แต่ก็ไม่นาน
ในห้วงเวลานั้นเราเลยตัดสินใจว่าถ้าผู้ชายคนนี้เงยหน้าขึ้นมาเเล้วยิ้ม เราจะคุยด้วย แต่นึกออกป่ะว่าจังหวะนั้นที่เค้าเสียบหูฟัง และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกใบนี้ นางจะหันมายิ้มได้ยังไงเรายังนึกไม่ออกเลย
แต่ระหว่างที่เราคิดอยู่ก็มีแม่ชาวยุโรปกับลูกเล็กๆ สองคนขอให้เราขยับไปหน่อย เพราะเค้าไม่อยากนั่งตรงกลาง เราเลยขยับไป นั่งข้างๆนาง
เรานั่งใกล้ๆ กัน ท่ามกลางความเงียบ .....
เสี้ยววินาที ย้ำว่าเสี้ยววินาที ต่อมามีเสียงกรี๊ดจากผู้หญิงมากมาย มองตรงไปจากทาง domestic check-in คิดว่าคงเป็นดาราซักคนมา แล้วมีแฟนคลับตามมาส่ง จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าดาราคนนี้เป็นใคร แต่เพราะเสียงกรี๊ดเหล่านั้นหน่ะ ทำให้โอปป้าหันขึ้นมามองเเล้วยิ้ม ในใจเราแบบ มันต้องตอนนี้แหละ 5555 แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เราเลยทักไปว่า hi ทักไปสองรอบนางก็ยังไม่ได้ยิน เพราะว่ายังใส่หูฟังอยู่ พอทักครั้งที่สามนางได้ยินแล้วนางก็ถอดหูฟังออก นั่นเป็นครั้งแรกที่เราคุยกัน ตอนแรกเราคิดว่าเค้าเป็นคนญี่ปุ่น เพราะเห็นนั่งอ่านหนังสือภาษาญี่ปุ่นอยู่ เราเลยพยายามหาข้อความที่เพื่อนคนญี่ปุ่นเคยส่งมาให้แล้วถามนางว่าอันนี้แปลว่าอะไรเหรอ (คือทั้งๆ ที่ตอบเพื่อนไปเเล้วจะอ่านไม่ออกได้ยังไงฟระ ) แต่โอปป้านางก็เนียนๆแปลให้ฟังตามมารยาท แล้วก็เริ่มคุยว่าเค้าไปเที่ยวเมืองไทยมาหนึ่งเดือนเเล้ว กำลังจะกลับเกาหลีแต่เช็คอินไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลา บลาๆๆๆ
และแล้วเเม่ก็โทรมา ถึงสนามบินเเล้ว เราก็คิดในใจว่าถ้างั้นอย่างน้อยให้นามบัตรเค้าไปดีกว่า คือ เรายังอยากรู้จักเค้าอยู่อ่ะ (แรดมาก) เค้าเลยขอไลน์เราไป (กรี๊ดๆๆๆๆ) เราพยายามแอด แต่ไม่ได้ ไม่รู้ทำไม เราเลยบอกว่าถ้าเราลองแอดเเล้วยังไม่ได้ก็ให้เค้าส่งเมลล์มาเเล้วกัน
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้รู้จักโอปป้าค่ะ
แต่อย่างที่บอกว่าคืนนั้นเค้ากำลังจะกลับประเทศ แล้วเราก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตของเราเหมือนเดิม ไลน์ก็แอดไม่ได้ เค้ามีแฟนรึยัง แล้วมันจะอะไรยังไงต่อ
ไว้เรามาเล่าใหม่นะคะ
ขอบคุณที่อ่านค่ะ
ปล. ถ้าใครรู้ว่าดาราคนไหนมาในคืนวันนั้นช่วยบอกเราด้วยนะคะ