จากเด็กอ่อนภาษาอังกฤษ สู่ชีวิตนักเรียนนอก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

I love living life I am happy. สิ้นเสียงประโยคบอกเล่าสั้น ๆ จากคลิปวิดีโอในยูทูปของนักพูดสร้างแรงใบดาลใจ Nick Vujicic ใบหน้าของผมก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจากความทรงจำบาง ๆ ที่ผุดตัวขึ้นมาจากวันวาน

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ในกรุงเทพ ฯ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสได้รู้จักกับ Nick Vujicic ผ่านทางคลิปวิดีโอจากโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษของครูพี่แนน ใช่ครับ ครูพี่แนนที่สอนนักเรียน ม.ต้น ม.ปลาย นั่นแหละครับ เพราะความที่ผมเป็นคนไม่เก่งภาษาอังกฤษเอามาก ๆ มากในระดับที่ต้องผันตัวเองตอนเรียนปริญญาโทไปนั่งเรียนกับน้อง ๆ ม.4 (อย่าไปบอกใครนะครับ ที่ผมสามารถสอบเข้าป.โทมาได้ก็ด้วยคะแนนภาษาอังกฤษจากการเดาล้วน ๆ ยิ้ม )

ช่วงแรก ๆ ที่ไปเรียนก็ต้องบอกว่าแบกความอายไปด้วยทุกครั้ง จากสายตาของเด็ก ๆ ที่มองมาด้วยความสงสัย จากสายตาพนักงานของสถาบันกวดวิชา ก็ได้แต่คิดในใจว่า “นี้เราหล่อขนาดนั้นเชียว” จริง ๆ แล้วเหตุผลหลักอันเดียวที่ผลักผมให้หันมาตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษใหม่ มาเริ่มตั้งแต่ อะไรคือ ประธาน อะไรคือ กริยา อะไรคือ กรรม ในวัยที่ควรเริ่มมองหาความมั่นคงให้กับชีวิต ก็คือ “ความตั้งใจที่จะเรียนต่อเมืองนอก” และหนึ่งช่องทางที่เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับผมในวันนั้นก็คือ การสอบชิงทุนรัฐบาล

อย่าพูดถึงสอบ IELTS หรือ TOEFL เลยครับ ตอนนั้นผมยังสับสนอยู่เลยว่า ระหว่างประธานเป็นเอกพจน์แล้วกริยาต้องเติม s กับการที่เราเติม s ก็ต่อเมื่อมันอยู่ในรูปพหูพจน์มันต่างกันยังไง เพราะมันดูขัดแย้งกันเอง (กลับไปมองตัวเองแล้วก็เพลียครับ) ความฝันตอนนั้นเหมือนจะใหญ่เกินตัว แต่เชื่อผมไหมครับว่าในคืนวันที่เรารู้ว่าชีวิตมีทางเลือกเหลืออยู่ไม่มากอีกต่อไปแล้ว เพื่อความอยู่รอดของตัวเองและความมั่นคงของคนที่รัก เราก็จะสามารถทุ่มเททุกอย่างที่ทุ่มเทได้ให้กับมัน ผมก็เช่นกันครับ ตอนนั้นจำได้ว่ามีเวลาประมาณครึ่งปีก่อนที่ทุนรัฐบาลจะดำเนินการสอบ (จริง ๆ เขาก็เปิดสอบทุกปีครับแต่ผมมีความจำเป็นบางอย่างที่ต้องสอบให้ได้ภายในปีนั้น ไม่งั้นหมดสิทธิ์) ทั้งเวลา ทั้งเงิน ผมอุทิศให้กับการเรียนภาษาเกือบทั้งหมดครับ “เป็นไงเป็นกัน ลองดูสักตั้งวะ”

มันไม่ง่ายเลยที่จะเตรียมตัวจากคนที่แทบไม่มีความรู้เลย แล้วตั้งเป้าว่าจะสอบทุน ก.พ.ไปต่างประเทศให้ได้ จำได้แม่นว่าช่วงนั้น ตั้งแต่ตื่นนอน ยันหลับแทบจะไม่ได้ออกห่างจากหนังสือภาษาอังกฤษเลย และเพราะด้วยการทุ่มสุดตัว รายได้ที่เคยมีมาจากการสอนพิเศษบ้าง จากเงินเก็บบ้าง ก็เริ่มร่อยหรอลงไปทุกวัน ๆ บางวันมีเงินที่เหลือซื้อข้าวได้แค่ 25 บาท ก็จำเป็นต้องจัดสรรให้ลงตัวกับ 3 มื้อเพื่อไม่ให้ท้องหิวมากเกินไป ยิ่งช่วงที่ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษของครูพี่แนนที่สยาม (ใกล้ที่พักมากที่สุด) เวลาเดินผ่านร้านอาหาร ร้านไอติม เห็นเด็ก ๆ กินกันอย่างอร่อย ผมบอกได้คำเดียวเลยว่า “แปร๊บไปถึงหัวใจ” กลืนน้ำลายแล้วกลืนน้ำลายอีกก็ยังไม่หายอิจฉา (5555555) เวลาที่รู้สึกเหนื่อยเยอะ ๆ ผมก็ชอบเปิดดูคลิปวิดีโอของ Nick Vujicic ที่ครูพี่แนนแจกให้ตอนลงทะเบียนเรียน มันก็ทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้เยอะ

ชีวิตผมช่วงนั้นก็วนเวียนอยู่แบบนี้ครับ จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนก็ไปถึงวันที่ต้องไปลงสนามสอบจริง จากเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่เรียนภาษาอังกฤษมากว่าสิบปี แต่เหมือนจะมีความรู้เข้าใกล้ศูนย์ แต่ก็ด้วยความมุ่งมั่นอันหาประมาณไม่ได้ในช่วงนั้น จนถึงวันนี้ วันที่อีกไม่เกินหนึ่งปีผมก็จะจบปริญญาเอกจากประเทศนอกแล้วก็กลับไปรับใช้ประเทศชาติแล้วครับ โย้วๆๆๆๆๆ

ถ้าผมจะบอกอะไรบางอย่างผมจะบอกว่า
1.    ความขยันไม่น่ากลัว ความจนสิน่ากลัว ช่วงเวลาที่ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าวเนี่ย บอกเลยว่ารันทดมากครับ
2.    เวลาท้อ เทคนิคหนึ่งที่ผมใช้ประจำก็คือ กลับไปสัมผัสกับความตั้งใจแรกที่เรามี มองเห็นภาพให้ชัดว่าเราอยากมีอะไร อยากเป็นใคร อยากทำอะไรให้โลกนี้บ้าง
3.    บางครั้งความพยายาม ความตั้งใจ ความมุมานะก็อาจจะไม่ได้นำมาซึ่งสิ่งที่เราตั้งใจเสมอไป แต่มันจะสอนเราให้รู้ว่า เราควรวางตัวกับโลกนี้อย่างไร

ปล. ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับโรงเรียนครูพี่แนนนะครับ แต่ผมก็อยากจะเอ่ยชื่อพี่แนนไว้เพื่อขอบคุณที่เป็นตัวผลักสำคัญที่ทำให้ผมมาไกลถึงจุดนี้

สุดท้ายผมขอจบบทความนี้ด้วยรอยยิ้มที่กำลังเปื้อนแก้ม และประโยคที่ว่า “I love living life I am happy”
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่